บทที่ 540 หลานชายคนเล็กได้น้อยกว่าพวกเราสองคนอีก

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 540 หลานชายคนเล็กได้น้อยกว่าพวกเราสองคนอีก

บทที่ 540 หลานชายคนเล็กได้น้อยกว่าพวกเราสองคนอีก

เสี่ยวเถียนพยักหน้า จากนั้นก็ยื่นแขนให้ดู

“อาเขยดูสิ อันนี้คือนาฬิกาที่คริสติน่าให้หนูค่ะ”

เฉินจื่ออันเคยเห็นนาฬิกาบนข้อมือหลานมาก่อน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นของขวัญจากเพื่อนต่างชาติ และเมื่อมองอย่างละเอียดก็ตกใจ

มันไม่ใช่นาฬิกาแบรนด์ติโตนีหรือแบรนด์เซี่ยงไฮ้ที่เคยเห็นในประเทศเราบ่อย ๆ

เขาเคยเห็นพวกนักธุรกิจต่างชาติใส่นาฬิการุ่นนี้ด้วยได้ยินว่ามันคือ Golden Ellipse ของปาเต็ก ฟิลิปป์ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมันจะมีค่าเอามาก ๆ แล้วอีกฝ่ายยกมันให้เสี่ยวเถียนเนี่ยนะ?

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันยังไงกันแน่เนี่ย? นักธุรกิจต่างชาติคนนี้เป็นใครกัน?

ในฐานะที่เป็นนายกเทศมนตรี เฉินจื่ออันกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเรื่องการทำการค้า

เพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ สิ่งนี้เลยทำให้เขาต้องคิดหนักเล็กน้อย

คงจะดีถ้าเราติดต่อกับนักธุรกิจต่างชาติผ่านความสัมพันธ์นี้ได้

ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะเอาเด็กมาใช้ประโยชน์เพื่อบรรลุเป้าหมายนะ แต่เขาพยายามมากจริง ๆ!

หม่านซิ่วไม่รู้ว่าสามีคิดอะไรอยู่ เพราะเธอมุ่งประเด็นไปที่เรื่องหาเงินของเสี่ยวเถียนมากกว่า

“หลานหาเงินได้เยอะขนาดนั้นจากการแปลงานหรือ?”

หม่านซิ่วไม่อยากเชื่อเท่าไร แม้เธอจะมีรายได้มากกว่าคนทั่วไป แต่คงไม่สามารถหาจนซื้อเรือนสี่ประสานได้สองเรือนหรอกใช่ไหม?

“ไม่ใช่ค่ะ หนูไปเจอของโบราณมา! ก็เลยได้เงินมาจากการขายมันนี่แหละค่ะ”

พูดถึงเรื่องนี้เธอพลันรู้สึกผิดจึงไม่กล้าพูดต่อ นับว่าเธอโชคดีมาก ทุกครั้งที่ไปไม่เคยเดินให้เมื่อยเปล่าเลย

ส่วนสองพี่น้องผู้อำนวยการหลี่เคยไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ได้อะไรมาสักอย่าง

เธอรู้สึกว่าตอนนี้มันไม่ค่อยเหมาะที่จะเอาของโบราณออกมาขาย เพราะงั้นเลยเอาที่ได้กลับมาจากถนนโบราณเก็บไว้ก่อน ในอนาคตราคามันจะสูงกว่านี้ ถ้าขายได้เธอจะเป็นมหาเศรษฐี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสมบัติได้จากในถ้ำนั่น ประเมินค่าไม่ได้เลย! แต่สิ่งนี้เธอพูดออกไปไม่ได้ เพราะทุกคนจะตกใจแน่นอน คงจะไม่ดีเท่าไรถ้าทำให้พวกเขาตกใจในวันส่งท้ายปีเก่า

รายได้พวกหลานชายเยอะจนตกใจแล้วนะ แต่พอถึงตาเสี่ยวเถียนกลับทำให้ทุกคนเหมือนฝันไป

สามพี่น้องบ้านซูได้แต่สงสัยว่าทำไมรายได้ที่พวกเราบากบั่นทำงานมาหลายปีถึงไม่ดีเท่าได้เด็กพวกนี้เลยนะ?

แต่เสี่ยวเถียนเป็นคนที่หาเงินได้เยอะที่สุดแถมยังเป็นของโบราณอีกด้วย ทุกคนคิดว่ามันก็สมเหตุสมผลดี ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน เพราะเสี่ยวเถียนเป็นคนที่โชคดีมาก!

คงจะแปลกมากกว่าถ้าหลานสาวหาเงินไม่ได้เลยต่างหาก

ตอนนั้นเองที่ทุกคนเริ่มคิด การที่คุณย่าซูบอกว่าเสี่ยวเถียนเป็นที่โปรดปรานของราชามังกรใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

“ไม่แปลกที่ใครต่อใครก็บอกว่า เมืองหลวงเป็นสวรรค์ที่อยู่ใต้เท้า มีทองอยู่ทุกหนทุกแห่ง ก้มหัวไปก็ได้เงิน”

หวังเซียงฮวาหัวเราะลั่น ท่าทางไม่สนใจอะไร

ลูกชายเธอหาเงินได้ คนละพันกว่าด้วย พอให้ตบแต่งภรรยาในอนาคตแล้ว ต่อให้บ้านฝ่ายหญิงขอสามเครื่องจักรหนึ่งเครื่องเสียง (วิทยุ จักรยาน จักรเย็บผ้า นาฬิกา) ก็ไม่มีปัญหา

ทำไมเด็กพวกนี้ถึงเอาใจใส่ขนาดนี้นะ? ทำให้การเป็นแม่ของเธอไม่ลำบากเลย

กลับกันเป็นฉีเหลียงอิงที่เสียใจอยู่บ้าง ทำไมตอนนั้นถึงยังยืนกรานจะเป็นคนงานอยู่นะ?

ถ้าไปเมืองหลวงคงหาเงินได้ไม่น้อยเลยแต่ก็คิดได้นิดเดียว เพราะในตอนนั้นความคิดที่ว่าลูกชายหาเงินได้ตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอโล่งใจมาก

เด็ก ๆ ก็หาเงินได้ มันก็เหมือนกับเธอไม่ใช่หรือไง?

เมื่อนึกถึงลูกชายทั้งสี่คน แม้พวกเขาจะไม่ดีเท่าครอบครัวน้องสามแต่ก็ดีกว่าครอบครัวเหล่าต้าอยู่ดี ความรู้สึกในใจจึงดีขึ้นเล็กน้อย

ส่วนพี่ชายบ้านซูทั้งสามไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอาย เมื่อรายได้พวกเขาสามคนรวมกันยังไม่เท่าเด็กคนหนึ่ง

ยังไงเราก็เป็นคนที่ถูกเขี่ยทิ้งอยู่แล้ว รอดูผลงานเด็ก ๆ ดีกว่า เพราะคิดเช่นนั้นจึงได้แต่หัวเราะอย่างมีความสุข

ผู้คนจะไม่เป็นแบบนี้ไปตลอดหรอก รุ่นหนึ่งจะเก่งกว่ารุ่นหนึ่งแน่นอน ขนาดเราสามคนจะยังเก่งกว่าคนรุ่นเก่าเลย การที่คนรุ่นใหม่ดีกว่าเราก็ไม่เห็นจะใช่เรื่องแปลกตรงไหน

หลังจากที่คนบ้านซูรายงานรายได้กันเสร็จ เฉินจื่ออันผู้ที่ไม่คิดจะทำตัวเป็นคนนอกก็ขอรายงานกับเขาบ้าง

อย่าว่าแต่คนบ้านนี้ตกใจเลย ภรรยาตัวเองยังตกใจ

เธอกระแอมไอเบา ๆ ตั้งใจเตือนสามีไม่ให้ร่วมวงกับเขาด้วย บ้านเราทำเป็นปกติอยู่แล้ว ทำไมเขาต้องเข้าร่วมล่ะเนี่ย?

แต่เฉินจื่ออันกลับทำตัวปกติมาก และเข้าร่วมบทสนทนาอย่างกระตือรือร้น และสามีก็คำนวณเงินพร้อมทั้งอธิบายตั้งแต่ต้นจนจบจริง ๆ แจกแจ้งรายละเอียดทุกรายการ

ตอนได้ยินพวกหลานชายถึงกับผงะ

นายกเทศมนตรีผู้สง่างามเข้าถึงง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? แถมยังทำตัวติดดินอีกต่างหาก

ภายใต้สายตาตกตะลึง การรายงานของเฉินจื่ออันเป็นอันเสร็จสมบูรณ์

“รายได้ของครอบครัวเรามีประมาณนี้ล่ะ ซิ่วเอ๋อร์หาเงินได้มากกว่าฉันอีก ต่อไปนี้ต้องพึ่งพาเธอแล้ว!”

เขาเองก็มีรายได้ตายตัวและมาจากแหล่งเดียว ระดับเงินเดือนเรียกว่าดีแต่เทียบกับเงินที่คนอื่น ๆ ทำไม่ได้เลย กลับกันภรรยาที่เขียนหนังสือกลับทำเงินได้มากตั้งแต่เล่มแรก ถึงจะได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ แต่รายได้ค่าลิขสิทธิ์เยอะกว่าเขาพอตัว

การบอกว่าหม่านซิ่วเป็นคนหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวจึงไม่แปลกอะไร ยิ่งเห็นจื่ออันเป็นแบบนี้ด้วยคนบ้านซูก็หัวเราะร่า

พวกเรายินดีกับหม่านซิ่วจริง ๆ หากไม่ได้พบกับจื่ออันก็คงไม่รู้ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร

เฉินจื่ออันเอ่ยด้วยความปลื้มปีติ คนไม่รู้ก็คงคิดว่าเขากำลังอวดอะไรอยู่

“ผม พ่อครับ มีผม!” สหายตัวน้อยอย่างเฉินซิ่วหย่วนยื่นมือป้อม ๆ ออกมา

ทุกคนคาดไม่ถึงว่าจะมีเจ้าเด็กคนหนึ่งที่ยังอยากมีส่วนร่วม

ตอนนั้นพวกเขาต่างหัวเราะ

สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน!

เจ้าเด็กเห็นทุกคนหัวเราะราวกับไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของตน

เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ เด็กน้อยจึงควักเงินขนาดเล็กใหญ่ออกมาจากกระเป๋า

ในมือมีแบงก์สิบหยวน แล้วก็อีกห้าหยวน น้อยที่สุดคือเงินสองหยวน ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลยนะนั่น

“เก่งจังเลย เสี่ยวหย่วนของเรา!” คุณย่าซูกอดหลานชายตัวน้อยแล้วหอมแก้มอย่างรักใคร่

“เงินปีใหม่คับ!” เฉินซิ่วหย่วนอธิบายที่มาของมันให้พ่อแม่ฟังเป็นพิเศษ

ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความตกใจ ลูกชายเก็บเงินได้มากขนาดนั้นตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?

ดูจำนวนสิ คนอื่นให้มาหรือ? ไม่ยอมรั้งท้ายพวกพี่ ๆ เลย

อันที่จริงก็ไม่ได้รั้งท้ายจริง ๆ พี่สาวเสี่ยวเถียนให้น้องชายคนนี้ตั้งสิบหยวน

สองพี่น้องบ้านซูอย่างเหล่าต้าและเหล่าเอ้อร์เอ่ยอย่างมีความสุข “ยังดี ๆ หลานชายคนเล็กได้น้อยกว่าพวกเราสองคนอีก!”

ทุกคนต่างขบขันกับคำพูดนั่นมาก