ตอนที่ 598 เนื้อจ่ออยู่ข้างปาก

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 598 เนื้อจ่ออยู่ข้างปาก

“อื้อๆ…” จินอู๋กวงส่งเสียงอู้อี้ โลหิตไหลออกมาจากปากและจมูก ท่าทางสะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง

“ไอ้ชาตชั่ว! ไอ้ชาติชั่ว! เจ้าต้องไม่ตายดี…” เฉาอวี้เอ๋อร์ที่ถูกลากตัวออกไปก่นด่าอย่างคลุ้มคลั่ง ในเสียงด่าทอแฝงความสิ้นหวังเอาไว้

เจ้าสำนักทั้งสองต่างคิดไม่ถึงเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมเช่นนี้ ทำเช่นนี้คือต้องการทำลายล้างสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องอย่างถึงที่สุด!

เจ้าสำนักผู้ทรงเกียรติถูกแขวนไว้บนกำแพงเมือง ซ้ำยังมีเหล่าผู้อาวุโสที่รอดชีวิตมาได้จำนวนหนึ่งถูกแขวนไว้บนกำแพงเมืองเช่นกัน แล้วบรรดาศิษย์ของสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องเหล่านั้นจะมาช่วยหรือไม่?

ช่วยหรือ? จะเอาอะไรมาช่วยกันเล่า? ยอดฝีมือในสำนักแทบจะล้มตายสิ้นซาก ด้วยพลังสภาวะที่ไม่ได้เรื่องของลูกศิษย์เหล่านั้นจะสามารถช่วยคนไปได้หรือ? ชีวิตของเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสตกอยู่ในกำมือของทางนี้แล้ว หากลงมือก็กลัวจะส่งผลกระทบ แล้วจะช่วยได้อย่างไร? วิ่งมาหาที่ตายอย่างนั้นหรือ?

เสาะหายอดฝีมือจากที่อื่นมาช่วยหรือ? หนิวโหย่วเต้ามิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่กุมอำนาจในโลกคนธรรมดาไว้ในระดับหนึ่ง คนที่ไม่มีภูมิหลังในระดับหนึ่งไม่มีทางเข้ามาข้องแวะกับเรื่องเช่นนี้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือขนาดมีมือสังหารจำนวนมากขนาดนั้นลงมือก็ยังล้มเหลว แม้แต่จงหยวนยอดฝีมืออันดับเจ็ดของทำเนียบโอสถก็ยังเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ ผู้ใดยังจะกล้าสอดมือเข้ามาง่ายๆ อีก?

ไม่ช่วยหรือ? โลกบำเพ็ญเพียรแตกต่างไปจากโลกคนธรรมดา มีการให้ความสำคัญกับเรื่องถ่ายทอดวิชาและสืบทอดสำนักอะไรทำนองนั้นอยู่ นี่คือรากฐานของโลกบำเพ็ญเพียร

เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้วว่าหากไม่ช่วยจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร ภายภาคหน้าศิษย์ของสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องจะไม่มีวันโงหัวขึ้นมาในโลกบำเพ็ญเพียรได้อีก จะไม่มีขวัญกำลังใจไปแก่งแย่งช่วงชิงกับโลกภายนอก ผลสุดท้ายจะกลายเป็นแตกแยกกระจัดกระจายไปคนละทิศ หลังจากสลายตัวไปแล้ว จะไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าตนคือศิษย์ของสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องอีกต่อไป สองสำนักจะล่มสลายหายไปแต่เพียงเท่านี้

เรื่องนี้ทำให้พวกเขาปวดใจเสียยิ่งกว่าสังหารพวกเขาทั้งสองคนเสียอีก ความทุ่มเทที่บรรพจารย์รุ่นก่อนๆ สั่งสมมาถูกทำลายลงในยุคสมัยของพวกเขา

เดิมทีต่อให้พวกเขาสองคนตายไป แต่ขอเพียงยังมีคนของสองสำนักหลงเหลืออยู่ สำนักพวกเขาก็ยังมีโอกาสจะฟื้นฟูกลับมาได้

ตอนนี้หนิวโหย่วเต้ากลับต้องการทำลายรากฐานที่สองสำนักพึ่งพาและพยายามรักษาไว้ ต้องการทำลายสองสำนักให้สิ้นซาก ต้องการลบสองสำนักออกไปจากโลกบำเพ็ญเพียร!

ขอถามหน่อยเถิดว่าจะไม่ให้สองเจ้าสำนักสะเทือนใจได้อย่างไร!

แรกเริ่มกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรยังไม่ตระหนักถึงเจตนาของหนิวโหย่วเต้าที่ใช้วิธีการนี้ ภายหลังต่างค่อยๆ ตระหนักขึ้นมาได้ เพราะถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นคนในโลกบำเพ็ญเพียรกันทั้งสิ้น

“ทำให้พวกเขาหุบปากเสีย รักษาให้ดี อย่าปล่อยให้พวกเขาตายง่ายๆ!”

พอเห็นเฉาอวี้เอ๋อร์ด่าทอไม่หยุด ถึงตายก็จะสาปแช่งด่าทอหนิวโหย่วเต้าให้ได้ เซี่ยฮวาจึงโบกมือเอ่ยสั่งการเล็กน้อย ศิษย์ระดับล่างเข้าไปจัดการให้เฉาอวี้เอ๋อร์หุบปากทันที เฉาอวี้เอ๋อร์ที่พูดไม่ได้แล้วได้แต่เชิดหน้ามองฟ้าเปล่งเสียงอู้อี้ น้ำตาไหลปนคราบเลือด เงยหน้ามองท้องนภา เจ็บปวดอยู่ภายในใจ!

สามเจ้าสำนักกลับรู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าทำเช่นนี้เหมาะสมแล้ว หากไม่ทำลายล้างสองสำนัก มันก็ไม่เพียงพอจะชำระแค้นนี้ได้ แล้วก็นับว่าเป็นการมอบคำอธิบายให้คนในสำนักทั้งคนที่ตายและคนที่ยังอยู่ด้วย

อีกทั้งสามสำนักก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้อย่างยิ่ง เรียกได้ว่ายอมให้ความร่วมมืออย่างกระตือรือร้นโดยไม่มีความลังเลเลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาเพราะหนิวโหย่วเต้าหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็เป็นสามสำนักที่คฤหาสน์เรือนมุงจากเอาไว้ เมื่อทำลายสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องลงได้ ชื่อเสียงของสามสำนักในโลกบำเพ็ญเพียรจะเพิ่มพูนขึ้นมากเช่นกัน นี่เรียกได้ว่าเป็นผลงานการรบของทั้งสามสำนัก!

กลุ่มคนจากสำนักเขามหายานก็ไม่ได้ออกความเห็นใดกับเรื่องนี้ ในใจก็โน้มเอียงไปทางเห็นชอบด้วยเช่นกัน ทำลายสองสำนักเก่าแก่ที่เคยปกครองมณฑลหนานโจวทิ้งก็ดีเหมือนกัน ลดปัญหาจุกจิกให้หมดสิ้นไป เพียงแต่วิธีการเช่นนี้ออกจะโหดเหี้ยมไปหน่อย การตัดรากถอนโคนเช่นนี้โหดเหี้ยมกว่าเข่นฆ่าสังหารเสียอีก!

หวงเลี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “น้องหนิว เจ้าเอาคนไปแขวนบนกำแพงเมือง ทุกคนต่างทราบกันดีว่าพวกเขาทำงานให้ราชสำนัก แล้วแบบนี้ราชสำนักจะไม่ช่วยพวกเขาหรือ? เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการตบหน้าราชสำนักนะ!”

หนิวโหย่วเต้าถามอย่างเย็นชา “เจ้าสำนักหวงกำลังช่วยพูดแทนราชสำนักอยู่หรือ?”

เอาอีกแล้ว จะดึงไปเข้าเรื่อง ‘สมคบกับคนใน’ อีกแล้ว หวงเลี่ยโบกมือกล่าวไปว่า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่หากราชสำนักหาข้ออ้างมาทวงตัวคนจากเจ้าจะทำอย่างไร? จะขัดราชโองการหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มาทวงคนข้าก็ต้องให้หรือ? บุกมาเพื่อสังหารข้าแล้วยังคิดว่าข้าจะยอมคืนตัวคนให้อีกหรือ? หากราชสำนักยังอยากรักษาหน้าไว้ อย่าใช้ไม้นี้เลยจะดีที่สุด เรื่องที่จะเป็นการตบหน้าอย่างแท้จริงอยู่หลังจากนี้ต่างหาก!”

หวงเลี่ยอมยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดมากอีก หาเรื่อง ในเมื่อชอบมีเรื่องกับราชสำนัก เช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆ มีเรื่องกับราชสำนักไปแล้วกัน แล้วอย่ามาหาว่าสำนักเขามหายานของข้านิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือแล้วกัน!

กลุ่มคนจากสำนักเขามหายานมีความคิดต่างไปสารพัด

ก่วนฟางอี๋ที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างกลับทราบดีว่าน้อยครั้งนักที่หนิวโหย่วเต้าจะปะทะกับคนอื่นตรงๆ เช่นนี้ ครั้งนี้กลับตัดสินใจแล้วว่าจะปะทะกับราชสำนักตรงๆ!

ซางซูชิงที่คอยฟังอยู่ด้านข้างมีสีหน้าหม่นหมอง นางมีส่วนร่วมในเรื่องราวของหนิวโหย่วเต้าน้อยมาก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นถึงความโหดเหี้ยมไร้เมตตายามอยู่ในโลกบำเพ็ญเพียรของหนิวโหย่วเต้า แต่นางก็ทราบหลักการที่ว่าไม่มีความเห็นใจในการศึกเป็นอย่างดี

ชายในชุดลายดอกก็เฝ้าสังเกตอยู่ด้านข้างตลอด อีกทั้งไม่คิดจะยุ่งอะไรด้วย เพียงอยากเห็นเจ้าหนุ่มที่มีอำนาจขึ้นมาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่กี่ปีจะจัดการเรื่องราวอย่างไร

คนชุดดำโพกหน้ากลับมาจากการเก็บกวาดศพของเพื่อนร่วมงานที่ตีนเขาแล้ว ได้หามศพของจงหยวนกลับมาด้วย คนมีศักดิ์ฐานะถึงตายแล้วก็ยังได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษอยู่ดี ไม่ได้จัดการอย่างขอไปที

“นี่คือผู้ใดกัน?” เซี่ยฮวาเอ่ยถาม

ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ยอดฝีมือลำดับที่เจ็ดของทำเนียบโอสถ หนึ่งในกลุ่มคนที่บุกโจมตีคฤหาสน์”

“อันดับเจ็ด…เขาคือจงหยวนหรือ?” เซี่ยฮวาตกใจจนหน้าถอดสี เฟ่ยฉางหลิวและเจิ้งจิ่วเซียวก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากเช่นกัน จงหยวนก็เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรือ?

ก่อนหน้านี้พัวพันอยู่กับการต่อสู้ พวกเขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นการต่อสู้ระหว่างชายในชุดลายดอกและจงหยวน

ก่วนฟางอี๋ก็พยักหน้ารับอย่างสะท้อนใจ

สามเจ้าสำนักมองไปที่หนิวโหย่วเต้าพร้อมกัน ตอนนี้นับว่าได้รู้ซึ้งถึงอำนาจของหนิวโหย่วเต้าใหม่อีกครั้งแล้ว แม้แต่จงหยวนก็ยังกำจัดทิ้งได้!

เซี่ยฮวาถามขึ้นมาอีก “ต้องการให้นำไปแขวนไว้บนกำแพงเพื่อข่มขวัญพร้อมกันเลยหรือไม่?”

ชายในชุดลายดอกเปล่งเสียงเย็นชา “ถ้านำศพเขาไปแขวนบนกำแพงเมืองจะทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคืองพวกเจ้า อีกทั้งเป็นคนที่พวกเจ้าไม่อาจล่วงเกินได้ทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าจะป้ายความอัปยศอดสูให้แก่ผู้ใดก็ได้ ข้าขอเตือนพวกเจ้าว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีที่สุด”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ “เสาะหาสถานที่สักแห่งทำพิธีฝังให้เหมาะสมเถอะ”

เซี่ยฮวาก็ทราบเช่นกันว่าตนปากพล่อยไปแล้ว จึงรีบเรียกศิษย์ในสำนักมาแบกศพจงหยวนไปจัดการทันที…

หลังจากผ่านมรสุมหนักหนามา ดวงตะวันคล้อยต่ำเป็นยามอัสดงแล้ว มวลวิหคผกผินคืนพณา กลุ่มคนที่ยืนอยู่นอกประตูใหญ่ของคฤหาสน์ถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ยามอัสดง มีคนเดินผ่านเข้าออกนอกคฤหาสน์เพื่อรายงานสถานการณ์

ตรวจนับทำรายงานสถานการณ์รบออกมาแล้ว สามสำนักประสบความเสียหายไปไม่น้อย มีศิษย์ล้มตายและบาดเจ็บเพราะการต่อสู้เกือบสามพันคน

ฝั่งกองทัพอารักขายิ่งประสบความสูญเสียอย่างหนัก เผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรนับหมื่นทำให้มีทหารบาดเจ็บล้มตายไปเกือบเจ็ดพันคน

หนำซ้ำนี่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้มีการเข้าปะทะกันตรงๆ อันใดเลยด้วย เนื่องจากหยวนกังเห็นท่าไม่ดีจึงรีบสั่งให้กองทัพล่าถอย มิเช่นนี้จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจะหนักหนายิ่งกว่านี้ แล้วก็จะทำให้สองสำนักสามารถทะลวงฝ่าเข้ามาได้ง่ายๆ

สำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องก็ประสบความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน หลังจากนับกันอย่างชัดเจนแล้ว มีผู้เสียชีวิตถึงเก้าพันกว่าคน ส่วนใหญ่ล้วนตายอยู่ในห่าลูกศร คนของสองสำนักที่หนีรอดไปได้ในตอนสุดท้ายมีไม่เกินสองร้อยคน อีกทั้งมีผู้บาดเจ็บหลายร้อยคนที่ถูกจับเป็น

ผลลัพธ์หลังจากที่ทำการสรุปออมาทำให้มองเห็นว่า ถึงแม้ทางนี้จะเอาชนะมาได้ แต่ถ้ามองจากจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายแล้ว อันที่จริงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไรเลย

ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหอบุปผาล่องและสำนักจิตกระจ่างแข็งแกร่งกว่าทางนี้จริงๆ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพหลายหมื่นนายที่ใช้อาวุธโจมตีในระยะไกล ทำให้สลายกำลังส่วนใหญ่ของอีกฝ่ายไปแล้วล่ะก็ ทางนี้ก็ไม่มีทางต้านรับการโจมตีของสองสำนักได้เลย

หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว การลงมือของราชสำนักในครั้งนี้นั้นมีโอกาสที่จะชนะอยู่!

สูญเสียกำลังคนไปมากมายขนาดนี้ หนิวโหย่วเต้าถอนใจออกมา เอ่ยกับสามเจ้าสำนักว่า “เรื่องในครั้งนี้เป็นฝีมือของราชสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกท่านโปรดว่ามาเถิดว่าพวกท่านจะเอาอย่างไร? จะยอมกล้ำกลืนโทสะนี้ไว้หรือว่าสู้อย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน?”

ก่วนฟางอี๋ร้องในใจว่าแย่แล้ว นางรู้ดีว่าครั้งนี้หนิวโหย่วเต้าตัดสินใจแล้วว่าจะปะทะกับราชสำนักซึ่งๆ หน้า การที่เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา คล้ายว่าจะไม่ยอมรามือกับราชสำนัก!

สามเจ้าสำนักมองหน้ากันไปมา ทุกคนต่างได้รับความเสียหาย แต่หากไม่ยอมจบลงเท่านี้จะให้ทำอย่างไร? จะให้สู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชสำนักเช่นกกัน!

เซี่ยฮวาลูบไหล่ข้างที่ได้รับบาดเจ็บของตนพลางมองไปที่หนิวโหย่วเต้า ลองถามดู “เต้าเหยี่ย ท่านคิดเห็นเช่นไร?”

สองมือหนิวโหย่วเต้ากุมด้ามกระบี่ เชิดหน้าเล็กน้อย ยิ้มเยียบเย็นเอ่ยไปว่า “อีกฝ่ายบุกมาเล่นงานพวกเราถึงที่ จะยอมเงียบเฉยได้อย่างไร? ในเมื่อพวกเขาชอบสู้มากนัก เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงให้ความร่วมมือแล้ว ครั้งนี้หากไม่ทำให้ราชสำนักได้รับรู้เสียบ้างว่ารสชาติของความเจ็บปวดเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะคิดว่าพวกเราพวกไร้พิษสงที่นึกจะรังแกยังไงก็ได้ เจ้าลิง!”

หยวนกังก้าวเข้ามา “เต้าเหยี่ย”

หนิวโหย่วเต้ากระดิกนิ้วทั้งสิบเคาะด้ามกระบี่เบาๆ “เซวียเซี่ยวใจกล้าไม่เบา นักโทษที่ข้าส่งไปยังไม่ได้รับการไต่สวนตัดสินจากทางการ เขากลับกล้าปล่อยตัวไป! ส่งข่าวไปแจ้งท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ อ้างว่าเกิดเหตุยั่วยุขึ้นทางชายแดนติ้งโจวแล้วส่งกำลังทหารไป! ส่วนกำลังพลและเสบียงกรังที่เรียกตัวกลับมาจากทางจินโจวไม่จำเป็นต้องสลายทัพ จงระดมพลขึ้นใหม่อีกครั้ง ปรับเปลี่ยนทิศทางมุ่งไปยังติ้งโจว เข้าโจมตีเขตของเซวียเซี่ยว จงรุกโจมตีอย่างหนัก ต้องแสดงอำนาจของกองกำลังหนานโจวเราให้เป็นที่ประจักษ์! แจ้งท่านอ๋องว่าให้เขาเร่งกำลังเข้าเก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่ โอกาสหากพลาดไปแล้วจะไม่มีวันย้อนกลับมาอีก ยึดพื้นที่มาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ขอเพียงเขาสามารถยึดมาได้ พื้นที่เหล่านั้นล้วนจะตกเป็นของเขาทั้งสิ้น ข้าไม่มีทางยอมมอบคืนให้ง่ายๆ แน่นอน!”

ทันทีที่เขาเอ่ยมาเช่นนี้ ทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี แม้แต่ชายในชุดลายดอกก็ดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด ทำเช่นนี้คิดจะประกาศศึกกับราชสำนักหรือ?

ซางซูชิงอ้าปากค้าง อิ๋นเอ๋อร์ยังกินอาหารของตนอยู่ตรงนั้นอย่างสำราญ ถึงอย่างไรนางก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้วว่าคุยอะไรกัน

กลุ่มคนจากสำนักเขามหายานทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกข้าเพิ่งจะลงหลักปักฐานในมณฑลหนานโจวก็เกิดเรื่องขึ้นไม่หยุด เมื่อครู่เพิ่งถูกราชสำนักเขย่าขวัญไป จิตใจยังไม่สงบมั่นคง เจ้าก็เป็นฝ่ายหาเรื่องใส่ตัว ประกาศศึกกับราชสำนักก่อน นี่ล้อเล่นอะไรอยู่? หากเจ้าอยากบ้าก็เชิญบ้าไปคนเดียว อย่าลากพวกเราเข้าไปเกี่ยวด้วย!

หยวนกังพยักหน้ารับ ไม่พูดเหลวไหลเลย หันหลังออกไปจัดการตามสั่ง

สีหน้าหวงเลี่ยมืดมนลง กัดฟันเอ่ยไปว่า “น้องหนิว เจ้าล้อเล่นอยู่กระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าหันมองเขาพลางเอ่ยถามว่า “กลิ่นคาวเลือดที่ราชสำนักทำกับทางนี้ยังไม่ทันจางหายเลย ข้าดูเหมือนกำลังล้อเล่นอยู่หรือ?”

หวงเลี่ยมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมา อยากจะบอกเขานักว่าหากเจ้าอยากสู้ก็สู้ไปเลย สำนักเขามหายานเราไม่ขอเอาด้วย หากไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักเขามหายานเราคอยคุ้มกันทัพ ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะสู้อย่างไร!

แต่พอเห็นแววตาเย็นชาเจือไอสังหารของหนิวโหย่วเต้า ในใจพลันหนาวสะท้าน มองคนชุดดำรอบข้างและชายในชุดลายดอกทันที

มุมปากก่วนฟางอี๋กระตุกเล็กน้อย เข้าใจแล้ว นางเพิ่งจะเข้าใจเอาในยามนี้ว่าที่แท้ข้อกล่าวหาที่ว่า ‘สมคบกับคนใน’ ก็เตรียมไว้เพื่อเรื่องนี้ ไม่แปลกเลยที่จะเอ่ยเตือนสำนักเขามหายานทั้งทางตรงทางอ้อมอยู่ตลอด เวลานี้สำนักเขามหายานกำลังถูกกดดันเป็นอย่างมาก หากพลาดไปเพียงนิดก็จะถูกยัดข้อหานั้นใส่มือ!

หวงเลี่ยกลืนวาจาที่จ่อมาถึงปากแล้วลงไป เอ่ยเสียงเครียด “น้องหนิว เจ้าน่าจะรู้ดี จริงอยู่ที่หนานโจวนั้นมีกองทัพแกร่งกล้า แต่ถ้าจะใช้กำลังของมณฑลหนึ่งไปปะทะกับราชสำนักจริงๆ นั่นมันไม่ต่างจากเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงเลยนะ! เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ยังจะมีผลลัพธ์ใดได้อีก? ราชสำนักระดมกำลังส่วนหนึ่งเข้าคุมเชิงแคว้นหานไว้ที่เป่ยโจว ต่อมาก็ระดมกำลังอีกส่วนหนึ่งไปเฝ้าระวังแคว้นซ่งไว้ ตอนนี้ภายในแคว้นเยี่ยนเหลือไพร่พลให้เรียกใช้งานไม่มาก ไพร่พลและผู้บำเพ็ญเพียรของติ้งโจวก็ถูกดึงตัวไปไม่น้อยเช่นกัน กำลังป้องกันอ่อนแอ เป็นช่วงเวลาเหมาะที่หนานโจวของเราจะเคลื่อนพล ด้วยความแข็งแกร่งของทัพหนานโจวแล้ว ไพร่พลติ้งโจวจะต้านรับไหวหรือ? หากเป็นเช่นนี้แล้วท่านอ๋องยังพ่ายศึกอีก ข้าว่าหนานโจวแห่งนี้ก็คงรักษาไว้ไม่อยู่เช่นกัน! ทางเหนือมีแคว้นหานจ้องตาเป็นมัน ทางตะวันออกมีแคว้นซ่งที่พร้อมจะเข้าประชิด ราชสำนักจะยังกล้าแตกหักกับพวกเราหรือ? เนื้อจ่ออยู่ตรงปาก ยื่นมือคว้าก็ได้มาแล้ว ไม่รุกยามนี้จะให้รอไปถึงยามใด?”