ตอนที่ 599 เป็นแผนตบตาเท่านั้น
พอได้ยินวาจานี้ แววตาซางซูชิงก็ส่องประกายขึ้นมา ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจเรื่องในโลกบำเพ็ญเพียร แต่ยังคงเข้าใจในรูปการณ์ของแคว้นเยี่ยนพอสมควร ยามนี้นับเป็นโอกาสดีสำหรับชิงพื้นที่จริงๆ
ทุกคนในที่แห่งนี้มองกันไปมองกันมา
กลุ่มคนจากสำนักเขามหายานก็ใคร่ครวญตามเช่นกัน ดูเหมือนคำพูดของหนิวโหย่วเต้าจะค่อนข้างสมเหตุสมผล
หวงเลี่ยก็หวั่นไหวขึ้นมาแล้ว เอ่ยอย่างลังเล “เจ้าคิดจะฉวยโอกาสนี้ยึดครองติ้งโจว?”
เจตนาของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องขบคิดถึงปัญหาอย่างหนึ่ง เนื้อมาวางอยู่ตรงปากแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ว่าตนจะคว้าชัยมาได้ ด้วยกำลังของสำนักเขามหายาน ไม่มีทางรักษาพื้นที่ทั้งสองมณฑลไว้ได้
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พวกเรายังไม่จำเป็นต้องละโมบขนาดนั้น เพียงฉวยโอกาสเล่นงานพวกเขาสักหน่อยก็พอ ส่วนจะยึดมาได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความเร็วในการจู่โจมของท่านอ๋อง ก่อนที่สามสำนักใหญ่จะเข้ามาแทรกแซงได้”
หวงเลี่ยขมวดคิ้ว “ก็อย่างที่น้องหนิวว่ามา สามสำนักใหญ่ไม่มีทางยอมอยู่เฉยแน่ เกรงว่าสามสำนักใหญ่คงจะบังคับให้พวกเราคืนออกไป!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าไม่ใช่คนที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจนต้องหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ข้ารับมือกับทางสามสำนักใหญ่ได้ สำนักเขามหายานเพียงให้ความร่วมมือ เข้าโจมตีพร้อมทัพใหญ่ก็พอ ส่วนที่เหลือข้าจะรับผิดชอบเอง! ส่วนอาณาเขตที่ชิงมาได้ก็คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่เชิญเจ้าสำนักหวงมาชมในครานี้ ไม่ทราบว่าสำนักเขามหายานยินดีจะลงเรือลำเดียวกับข้าหรือไม่?” ในวาจาแฝงเจตนาไต่สวนอันเย็นชาไว้นิดๆ
แม้คำพูดจะดูน่าฟัง แต่กลุ่มคนจากสำนักเขามหายานกลับแปลความได้ว่า เสนอเรื่องดีเช่นนี้ให้พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่ยอมตกลงอย่างนั้นหรือ?
ในวาจาของอีกฝ่ายมักจะแฝงความเคลือบแคลงสงสัยบางอย่างหนึ่งเอาไว้ คล้ายจะสงสัยว่าเรื่องที่คฤหาสน์กระท่อมฟางถูกโจมตีในครั้งนี้เป็นการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างพวกเขากับราชสำนัก สงสัยว่าราชสำนักจะกุมจุดอ่อนอันใดที่ทำให้พวกเขาต้องร่วมมือไว้ เนื่องด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าแตะต้องราชสำนัก
สรุปแล้วก็คือ หากพวกเจ้าไม่กล้าเล่นงานราชสำนัก ก็แปลว่าพวกเจ้าคิดไม่ซื่อ
ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็กล่าวว่าเชื่อใจว่าสำนักเขามหายานว่าจะไม่ทำเช่นนั้นแน่ แล้วตอนนี้ก็ยังเสนอแผนการที่เป็นประโยชน์ต่อสำนักเขามหายานให้อีก แต่ในคำพูดนั้นมักจะมีความรู้สึกว่ากำลังใช้เรื่องนี้มาลองหยั่งเชิงสำนักเขามหายานอยู่ ให้ความรู้สึกว่าหากทำพลาดไปแม้แต่นิดเดียวก็จะแตกหักกันทันที!
หวงเลี่ยเหลือบมองชายในชุดลายดอกและคนชุดดำโพกหน้าเหล่านั้น ยังไม่ตอบตกลง แต่มองเหล่าผู้อาวุโสของสำนักเขามหายานที่ติดตามมาด้วยแล้วเอ่ยถาม “เรื่องนี้พวกเจ้ามีความเห็นเช่นไร?”
กลุ่มคนจากสำนักเขามหายานต่างรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจนัก ล้วนแอบสังเกตการณ์ชายในชุดลายดอกและกลุ่มคนชุดดำโพกหน้าอยู่เช่นกัน
พูดกันตามตรง พวกเขาล้วนทราบแก่ใจดี ด้วยกำลังของสำนักเขามหายานในเวลานี้ยังไม่ถึงขั้นจะขยายขอบเขตได้แน่นอน แต่บรรยากาศในตอนนี้กลับค่อนข้างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต้าซ่อนคมมีดไว้ด้านหลัง หากก้าวผิดไปเพียงก้าวเดียวก็ยกขึ้นมาพาดคอพวกเขาทันที
แต่ในเมื่อหนิวโหย่วเต้าไม่ได้เปิดเผยออกมา พวกเขาก็ไม่สะดวกจะเผยออกมาเช่นกัน ทันทีที่เปิดเผยออกมา ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีทางคุยกันดีๆ ได้อีก
หากจะบีบให้หนิวโหย่วเต้าพูดจาทำนองว่าสรุปแล้วพวกเจ้าจะยอมทำหรือไม่ออกมาจริงๆ ล่ะก็ สำนักเขามหายานก็จะต้องลำบากใจ ยากจะหาทางลงให้ตัวเองได้ เมื่อถึงเวลานั้นถ้าตอบตกลงก็คือยอมสยบ หากไม่ตอบตกลงก็ต้องแตกหักกัน!
“ไยจึงไม่ตอบล่ะ? หรือว่าสำนักเขามหายานมีใจเป็นอื่น?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกดดันอีกประโยค
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยออกมา “นี่มิใช่เรื่องเล็กๆ เลย พวกเราจำเป็นต้องใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ เจ้ารับรองได้จริงๆ หรือว่าสามสำนักใหญ่จะไม่บังคับให้พวกเราคืนพื้นที่ที่ชิงมาได้?”
หนิวโหย่วเต้ากลับไม่ได้รับปากเป็นมั่นเหมาะอันใดกับพวกเขา “เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องรับรองหรือไม่รับรอง ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ สรุปคือพวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลกับสามสำนักใหญ่ หากเกิดปัญหาขึ้นมา พวกท่านผลักความรับผิดชอบมาให้ข้าได้เลย”
ผู้อาวุโสคนนั้นหันไปเอ่ยกับคนในสำนักทันทีว่า “ด้วยสถานการณ์ของราชสำนักในปัจจุบันนี้ พวกเขาไม่กล้าพอจะก่อเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ ทางเราก็เหมือนจะไม่มีอะไรเสียหายเช่นกัน ไม่สู้ลองดูเถิด”
เขาหาทางลงให้กับทุกคนแล้ว ทำให้ผู้อาวุโสที่เหลือเห็นพ้องคล้อยตามทันที
สุดท้ายห่วงเลี่ยพยักหน้าเอ่ยว่า “ก็จริง เช่นนั้นก็ลองดูก็ได้ ดูสิว่าพวกเราพอจะแย่งชิงพื้นที่มาได้บ้างหรือไม่ น้องหนิว หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเราขอกลับไปเตรียมการเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน” อยู่ไปก็อึดอัดใจ จึงไม่อยากรั้งอยู่ต่อ
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เอ่ยเช่นนี้คือสำนักเขามหายานยอมตกลงเข้าโจมตีติ้งโจวแล้ว ฝั่งข้าเองก็ต้องเตรียมการเช่นกัน คงไม่ได้กล่าวโป้ปดหลอกลวงแซ่หนิวกระมัง?”
หวงเลี่ยตอบว่า “น้องหนิวคิดมากไปแล้ว สำนักเขามหายานหาใช่คนตระบัดสัตย์ไม่”
“ดี!” หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับส่ง ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
เขาเพียงต้องการให้อีกฝ่ายยอมเอ่ยปากตกลงเท่านั้น แค่ตอบตกลงก็พอแล้ว หนานโจวในยามนี้ไม่ใช่สถานที่ที่จะปล่อยให้ใครมาพูดจากลับไปกลับมาได้ง่ายๆ
ระวังที่เฝ้ามองกลุ่มคนจากไป ก่วนฟางอี๋ขยับเข้ามาใกล้หนิวโหย่วเต้า กระซิบว่า “เจ้าทำเช่นนี้ เท่ากับบีบบังคับให้อีกฝ่ายยอมตกลงชัดๆ!”
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองนางเล็กน้อย กระซิบตอบเช่นกัน “พูดเหลวไหลอันใดอยู่ ระวังจะส่งผลกระทบเอาได้ ข้าไม่ได้บังคับพวกเขาเลย”
ก่วนฟางอี๋พลันแสดงสีหน้าเหยียดหยาม รังเกียจคนที่ทำชั่วแต่ก็อ้างตัวว่าเป็นคนดีเช่นนี้ หากแน่จริงก็ลองบอกสำนักเขามหายานก่อนจะเผยให้พวกเขาเห็นถึงความแข็งแกร่งของทางนี้สิ ดูสิว่าสำนักเขามหายานจะยอมตกลงหรือไม่ เห็นๆ อยู่ว่าจงใจใช้กำลังขู่เข็ญอีกฝ่าย
หนิวโหย่วเต้าไม่เถียงเรื่องนี้กับนางอีก หันหลังเดินเข้าไปหาสามเจ้าสำนัก เอ่ยขึ้นว่า “ลำบากเจ้าสำนักทั้งสามแล้ว ข้าไม่ปล่อยให้สามสำนักลงแรงกับศึกนี้เปล่าๆ แน่ ไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถอะ จากนั้นค่อยมาหาข้าใหม่อีกครั้ง”
ทั้งสามสบตากัน เช่นนี้หมายความว่าจะมอบผลประโยชน์ให้พวกเขา พวกเขาก็อยากเห็นนักว่าจะเป็นผลประโยชน์เช่นไร
มีเลือดเปื้อนทั่วตัว ไม่เหมาะจะเจรจาจริงๆ จึงกล่าวอำลาจากไปพร้อมกัน…
….
พวกหวงเลี่ยโดยสารวิหคยักษ์ตัวหนึ่งโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า หวงเลี่ยทอดมองคฤหาสน์กระท่อมฟางที่อยู่ท่ามกลางป่าเขาด้านล่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “ไม่คิดเลยว่าเบื้องหลังของคนผู้นี้จะซุกซ่อนกองกำลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ไว้ ท่าทีของเขาที่มีต่อราชสำนักในครานี้แข็งกร้าวมาก!” ว่าพลางส่ายหน้านิดๆ
คนที่เหลือทราบดีว่าเขาไม่ได้สะเทือนใจเพราะเรื่องนี้ หากแต่เป็นเพราะเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าใช้อำนาจกดดันให้พวกเขายอมตอบตกลง
เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง ทุกคนล้วนทราบกระจ่างอยู่แก่ใจ ก่อนที่จะมีการแตกหักผิดสัญญา ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางที่จะพูดออกมาตรงๆ กลับไปแล้วก็ไม่มีทางพูดมันออกไปเช่นกัน ไม่อย่างนั้นตนจะเป็นฝ่ายเสียหน้า
บางครั้งความแข็งแกร่งก็เป็นตัวแทนของเหตุผล ครั้งนี้หนิวโหย่วเต้าเรียกพวกเขามาเพื่อแสดงความแข็งแกร่งประจักษ์ ของขวัญชิ้นใหญ่บ้าบออันใดกัน เห็นๆ อยู่ว่าต้องการเตือนให้พวกเขาทำตัวซื่อตรงกันหน่อย
“ชายในชุดลายดอกคนนั้นเป็นใครกันแน่?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ว่ากันว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีสุดยอดวิชาอยู่วิชาหนึ่ง นามว่า ‘เคล็ดกระบี่เมฆขจี’ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อาศัยเคล็ดวิชานี้สร้างชื่อสะท้านปฐพี แต่น่าเสียด้ายที่พอสืบทอดกันมาได้สามรุ่นก็ไม่มีผู้ใดฝึกสำเร็จอีก ทำให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตกต่ำลง พวกเจ้าไม่คิดว่ามันค่อนข้างคล้ายคลึงกันหรือ? ในหลายรุ่นที่ผ่านมาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล้วนไม่มีผู้ใดฝึกฝนให้สำเร็จได้ ในบรรดาคนที่เกี่ยวข้องกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ณ ปัจจุบันนี้ ยังจะมีผู้ใดที่มีพรสวรรค์มากพอจะฝึกสำเร็จได้เล่า? ยังจะมีผู้ใดที่พลังสภาวะสูงส่งถึงเพียงนี้อีก?”
“เจ้าสงสัยว่าจะเป็นจ้าวสยงเกอแห่งยอดเขาภูตมารหรือ?”
“ข้าก็สงสัยเช่นกัน แต่ได้ยินว่าเคล็ดกระบี่เมฆขจีที่มีบันทึกไว้เป็นกระบี่สีเขียว แต่ของคนผู้นี้กลับเป็นสีแดง ก็ดูไม่คล้ายสักเท่าไร”
“หนิวโหย่วเต้ามาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นจ้าวสยงเกอ มิเช่นนั้นเขาจะไปเสาะหายอดฝีมือเช่นนี้มาจากที่ไหนกัน?”
“ไม่จำเป็นต้องเดาแล้ว จงหยวนถูกสังหาร ทำเนียบโอสถต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงแน่นอน พอถึงเวลานั้นดูจากลำดับรายชื่อที่เปลี่ยนแปลงก็รู้แล้ว”
….
ตูม! เกิดเสียงระเบิดแว่วดังขึ้นในป่าเขา ในหมู่คนชุดดำโพกหน้าห้าคนที่ร่วมมือกันโจมตี มีคนผู้หนึ่งถูกซัดจนกระเด็นออกไป ก่าเหมี่ยวสุ่ยพุ่งทะยานออกจากวงล้อมขึ้นไปบนฟ้า
อินทรีแดงนักล่าสองตัวโฉบลงมาจากบนฟ้าอย่างรวดเร็ว คนชุดดำโพกหน้าคนหนึ่งที่บังคับวิหคอยู่ยื่นมือไปรับตัวคนชุดดำที่ถูกซัดปลิวออกมาไว้ ส่วนแขนอีกข้างก็หนีบตัวเกาเซ่าหมิงที่สลบอยู่ไว้
คนชุดดำโพกหน้าทั้งสี่ประสานงานกัน กระโดดขึ้นสู่วิหคยักษ์อย่างรวดเร็ว
ก่าเหมี่ยวสุ่ยพลิกตัวตีลังกากลางอากาศ พุ่งถลาเข้าหาอินทรีแดงนักล่าทั้งสองตัวที่โฉบต่ำๆ อยู่
คนชุดดำโพกหน้าทั้งสี่ปาก้อนกลมสีดำออกไปพร้อมกัน ล้วนระเบิดตัวกลางอากาศกลายเป็นควันหนาทึบ
ก่าเหมี่ยวสุ่ยรีบหมุนตัวหลบเลี่ยงควันเหล่านั้น กระทั่งเขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง อินทรีแดงนักล่าทั้งสองตัวก็บินสูงขึ้นไปแล้ว เขาไม่มีทางไล่ตามไปได้
หลังจากร่วงลงสู่พื้น ก่าเหมี่ยวสุ่ยมองตามจุดดำๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป สีหน้าโหดเหี้ยม ตวัดกระบี่อ่อนเงาวับในมือทีหนึ่ง กระบี่ม้วนตัวพันรอบเอวเสมือนงูตัวหนึ่ง
เขาหันหลังเหินทะยานออกไป ก่อนจะพบซากอินทรีหยกทมิฬที่ตายอย่างน่าอนาถตัวนั้น เขาจ้องมองมันอยู่พักใหญ่
ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดเลยว่าทางฝั่งคฤหาสน์กระท่อมฟางจะมีอินทรีแดงนักล่าด้วย มิเช่นนั้นหลังเกิดเรื่องขึ้นเขาคงจะไม่ไปเฝ้าสังเกตดูต่อสู้ง่ายๆ สุดท้ายความเร็วของสัตว์พาหนะสู้อีกฝ่ายไม่ได้ จึงถูกไล่ตามมาทัน
เขารั้งอยู่ไม่นานก็เหินทะยานจากไป
บนหลังวิหคยักษ์ที่บินอยู่กลางอากาศ คนชุดดำโพกหน้าคนหนึ่งสำลักโลหิตออกมาหลายคำ
เพื่อนร่วมงานประคองเขาไว้พลางเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
คนชุดดำที่กระอักโลหิตส่ายหน้าตอบไปว่า “เกรงว่าคงต้องพักฟื้นไปอีกระยะหนึ่ง เป็นแค่ขันทีบัดซบจากในวัง อีกทั้งไม่เคยได้ยินประวัติของเขาในโลกบำเพ็ญเพียรมาก่อน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นยอดฝีมือที่แอบซ่อนฝีมือไว้ ขนาดพวกเราร่วมมือกันแล้วก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้”
ทั้งกลุ่มต่างมองกันและกัน นอกจากคนที่คอยจับตัวเกาเซ่าหมิงเอาไว้ อาภรณ์บนร่างของคนที่เหลือล้วนมีรอยฉีกขาด ปรากฏบาดแผลอาบเลือดให้เห็นกันทั่ว
….
นอกคฤหาสน์กระท่อมฟาง กองทัพยังคงออกตรวจค้นอยู่ ต้องตรวจสอบพื้นที่แถบนี้ดูอย่างละเอียด ป้องกันไม่ให้มีคนร้ายดักซุ่มอยู่
ภายในศาลาริมน้ำ ซูเจี๋ยเหรินเข้ามาพบหนิวโหย่วเต้า
“โอสถที่ใช้สำหรับบำเพ็ญเพียรไม่มีประโยชน์กับพวกเจ้า ทิ้งไว้เถอะ แต่ทรัพย์สินอื่นๆ ที่ค้นมาได้ไม่จำเป็นต้องนำมาให้ ส่งไปให้ท่านอ๋องจัดการเถอะ” หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะดันหีบที่ยื่นส่งมากลับไป จากนั้นส่งสัญญาณให้ก่วนฟางอี๋เล็กน้อย อีกฝ่ายหยิบตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมา “นี่คือตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญทอง จงตกรางวัลเหล่าทหารแทนข้าด้วย”
ซูเจี๋ยเหรินรีบเอ่ยปฏิเสธ “ทรัพย์สินที่ตรวจค้นมาได้ก็มีมากพอแล้ว จะรับเงินจากเต้าเหยี่ยอีกได้อย่างไร เต้าเหยี่ยทำเพื่อหนานโจว…”
หยวนกังเอ่ยขึ้นมาว่า “พล่ามอะไรอยู่ ให้เจ้ารับก็รับไว้เสีย ครอบครัวของเหล่าทหารที่ล้มตายในสงครามต้องได้รับการเยียวยาอย่างถ้วนทั่ว ทุกครอบครัวของผู้เสียชีวิตล้วนต้องได้รับน้ำใจจากเต้าเหยี่ย เข้าใจหรือไม่?”
ซูเจี๋ยเหรินเหลือบมองซางซูชิง พอเห็นซางซูชิงพยักหน้าให้เล็กน้อย เขาก็ทำได้เพียงรับไว้แล้วกล่าวขอบคุณแทนพวกพ้อง
กระทั่งเขาจากไปแล้ว ซางซูชิงถึงลองถามขึ้นว่า “เต้าเหยี่ย เสด็จพี่ส่งจดหมายมาแจ้งว่าทางนั้นจัดเตรียมเรือนพำนักให้เรียบร้อยแล้ว แต่ฟังจากที่เต้าเหยี่ยคุยกับเจ้าสำนักหวง คงจะเปลี่ยนใจแล้วใช่หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ายกมือตบหน้าผากทีหนึ่ง “รบกวนท่านหญิงช่วยส่งจดหมายกลับไปอธิบายแทนกระหม่อมที กระหม่อมไม่เคยคิดจะย้ายไปพำนักในตัวมณฑลแต่แรกแล้ว เป็นเพียงแผนตบตาเท่านั้น ที่ไม่ได้บอกความจริงกับท่านอ๋องก็เพราะอยากทำให้ข่าวลือในเมืองดูสมจริง ฝากขออภัยแทนกระหม่อมด้วย ลำบากท่านอ๋องเสียแล้ว”
ซางซูชิงงุนงง แผนตบตาหรือ แผนตบตาอันใดกัน? นางไม่ค่อยเข้าใจนัก
อย่าว่าแต่นางเลย หลายคนในฝั่งหนิวโหย่วเต้าก็มึนงงกันทั้งสิ้น เกี่ยวข้องกับการโจมตีในครั้งนี้อย่างนั้นหรือ?
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้มอบคำตอบให้นาง แต่ลุกขึ้นเดินออกไป กลับไปที่เรือนพำนักของตน
ชายในชุดลายดอกตามเขามาด้วย พอตามเข้ามาถึงห้องของเขาก็ทนไม่ไหว ถามออกไปว่า “แผนตบตาที่พูดมาเมื่อกี้นี้หมายความว่าอย่างไร?”
เรื่องราวที่เขาทราบมีจำกัดจริงๆ
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปิดบังเขา “ข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าหลังจากราชสำนักพลาดจากการโจมตีหนานโจว พวกเขาจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีแน่ แต่ข้าก็ไม่อาจก้าวไปตามจังหวะของราชสำนักได้เช่นกัน ต้องทำให้ราชสำนักเป็นฝ่ายก้าวตามจังหวะของข้า ทันทีที่ข้าหลบไปพักในจวนผู้ว่าการมณฑล หากพวกเขาอยากจะลงมือกับข้าอีกก็คงจะยากแล้ว!”
ชายในชุดลายดอกร้องโอ้ด้วยเสียงราบเรียบ เข้าใจแล้ว ทำเช่นนี้เพราะต้องการบีบให้ราชสำนักลงมือภายในระยะเวลาที่เขากำหนดไว้