ตอนที่ 600 เจ้าเห็นข้าเป็นลูกน้องของเจ้าไปแล้วจริงๆ หรือ?

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 600 เจ้าเห็นข้าเป็นลูกน้องของเจ้าไปแล้วจริงๆ หรือ?

หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามอีกว่า “เหตุใดต้องรีบร้อนให้ราชสำนักลงมือกับเจ้าในเวลานี้ด้วย?”

หนิวโหย่วเต้าเดินลงไปนั่งลงข้างโต๊ะทำงาน เตรียมจะเขียนจดหมายส่งให้ซางเฉาจง ครั้งนี้ไม่ได้ง่ายดายเพียงเข้าโจมตีติ้งโจวเท่านั้น หาแต่ชิงมาแล้วก็ต้องรักษาไว้ให้ได้ด้วย เรื่องที่จำเป็นต้องจัดการอย่างละเอียดอ่อนบางเรื่องจะต้องกำชับซางเฉาจงไว้ให้ชัดเจน พอได้ฟังก็อดหัวเราะไม่ได้ “ดูเหมือนท่านจะสนใจเรื่องของทางนี้ขึ้นมาแล้วนะ”

ก่วนฟางอี๋ที่ตามหลังเข้ามาก็รู้หน้าที่เป็นอย่างดี เป็นฝ่ายรินน้ำฝนหมึกให้เอง สีหน้าดูเหมือนจะราบเรียบ แต่ความจริงก็เงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสองอยู่

ชายในชุดลายดอกถามว่า “ก็ไม่ได้สนใจอันใดนักหรอก ทำไม บอกข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “แค่แปลกใจนิดหน่อย ท่านดูไม่เหมือนจะเป็นคนที่ชอบถามเรื่องพวกนี้เลย”

“เจ้าเพิ่งเคยเจอข้าเพียงสองหนเท่านั้น จะรู้จักข้ามากเท่าไรกันเชียว?”

“มันก็ใช่ เดิมคิดไว้ว่าท่านมิใช่คนช่างพูดนัก”

“แล้วบอกได้หรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าหยิบกระดาษมาปูไว้ตรงหน้าพลางเอ่ยว่า “เรื่องผ่านไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่บอกไม่ได้ สาเหตุนั้นมีมากมาย ประการแรก ข้ารู้ดีว่าซางเจี้ยนสยงจะลงมือกับข้าในไม่ช้าก็เร็ว ถึงข้าหลบซ่อนก็ซ่อนไปได้แค่ระยะหนึ่ง ไม่มีทางซ่อนตัวในระยะยาวได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องได้ปะทะกับเขาแน่ ข้าเองก็มองหาโอกาสสำหรับเผชิญหน้ากับปัญหานี้อยู่”

“ประการที่สอง เพื่อรับมือกับแคว้นจ้าวและแคว้นเยี่ยนที่คุกคามจินโจวและหนานโจว ไพร่พลและเสบียงทัพของหนานโจวถูกระดมสะสมไว้แล้ว หากสลายทัพแล้วระดมกำลังใหม่ ยุบๆ รวมๆ กันซ้ำหลายรอบจะสิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพยากรเกินไป ถือโอกาสนำมาใช้ประโยชน์ได้พอดี”

“ประการที่สาม สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แคว้นหานและแคว้นซ่งส่งทัพใหญ่เข้ากดดัน ราชสำนักถูกถ่วงมือถ่วงเท้าไว้ ถือเป็นโอกาสดีที่นำมาใช้ประโยชน์ได้”

“ประการที่สี่ ท่านเองก็ได้เห็นคนชุดดำเหล่านั้นแล้ว เป็นคนที่ข้าขอยืมกำลังมา กองกำลังเหล่านี้ไม่ได้รับคำสั่งจากทางฝั่งข้าโดยตรง ข้าขอยืมกำลังมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีทางรั้งอยู่ข้างกายข้าไปในระยะยาว ข้าต้องเร่งจัดการสถานการณ์แข่งกับเวลา”

“ประการที่ห้า กล่าวโดยสรุปคือ หลังจากราชสำนักทำพลาดในการลอบสังหารข้าที่จินโจว ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ ข้าก็จำเป็นต้องฉวยโอกาสในยามที่ข้าสามารถระดมกำลังอันแข็งแกร่งได้และอยู่ในช่วงเวลาที่เอื้อประโยชน์ต่อข้าที่สุด ลงมือในช่วงเวลาที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อราชสำนักที่สุด!”

“เหตุผลเหล่านี้แสดงความจริงใจที่ข้ามีต่อท่านมากพอแล้วกระมัง?” หนิวโหย่วเต้าผายมือทั้งสองข้าง

ก่วนฟางอี๋ฟังแล้วกลอกตาทันที มีความจริงใจมากนักนะ ยังไม่เคยแสดงความจริงใจต่อข้าเช่นนี้มาก่อนเลย

ถึงแม้นางจะติดตามหนิวโหย่วเต้าและได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่ค่อยเข้าใจอะไรสักเท่าไร นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เข้าใจในเจตนาของหนิวโหย่วเต้าอย่างแจ่มแจ้ง หลายเรื่องราวที่ไม่เข้าใจพลันกระจ่างแจ้งในทันใด

ชายในชุดลายดอกใคร่ครวญแล้วเอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “แม้จะให้เวลาราชสำนักได้เตรียมตัว แต่ในช่วงเวลานั้นก็ทำให้ราชสำนักไม่อาจเตรียมตัวอย่างเต็มที่ได้ แม้ว่าทำเช่นนี้จะเลี่ยงไม่ให้ตนเสียเปรียบได้ แต่ก็เป็นการเผยกำลังของเจ้าที่นำออกมาเขย่าขวัญราชสำนักเช่นกัน ทำให้หลังจากนี้ไปราชสำนักจะไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือกับเจ้าอีก!

จู่ๆ ก็เงยหน้าจ้องมองเขาแล้วถามออกมาอีกครั้ง “เรื่องราชทูตแคว้นซ่งใช่ฝีมือของเจ้าหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มแต่ไม่ตอบ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วลูบเส้นขนที่ชี้ออกมาจากปลายพู่กัน เท่ากับว่ายอมรับโดยปริยายแล้ว เรื่องเช่นนี้เขาไม่มีทางเอ่ยยอมรับกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่ก็ไม่อยากจะโกหกอีกฝ่ายเช่นกัน ให้อีกฝ่ายคิดเอาเองจะดีกว่า

สายตาที่ชายในชุดลายดอกมองเขาพลันฉายแววซับซ้อนขึ้นมา

เขาเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว สถานการณ์ที่ทัพใหญ่แคว้นหานและแคว้นซ่งที่เข้ากดดันแคว้นเยี่ยนเกิดจากการปลุกปั่นขอคนผู้นี้

หลังจากนั้นก็ติดต่อให้เขามาคอยคุ้มกันล่วงหน้า แปลว่าคนผู้นี้ทราบแต่แรกแล้วว่าราชสำนักจะลงมือกับตน เตรียมการถ่วงมือถ่วงเท้าราชสำนักไว้แต่เนิ่นๆ เฝ้ารอให้ราชสำนักมาลงมือกับเขา

สาเหตุประการที่สองที่คนผู้นี้กล่าวถึง ที่บอกว่าไพร่พลและเสบียงทัพของมณฑลหนานโจวถูกรวบรวมไว้พร้อมใช้งานพอดี หมายความว่าคนผู้นี้เตรียมการสำหรับโจมตีตอบโต้ไว้แต่แรกแล้ว

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาคำใดมาใช้นิยามถึงคนรุ่นหลังผู้นี้ดี จึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “ดูเหมือนว่าถ้าครั้งนี้เจ้าไม่ได้ขย้ำเนื้อราชสำนักหลุดมาสักชิ้นสองชิ้น เจ้าก็คงไม่มีทางยอมรามือกระมัง”

หนิวโหย่วเต้ายกพู่กันจุ่มหมึก ส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน กว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ข้าก็พยายามเลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก เว้นแต่ข้าจะยอมละทิ้งหนานโจวไป แต่ด้านนอกยังมีพวกพ้องที่เชื่อมั่นในตัวข้าคอยติดสอยห้อยตามข้าอยู่ หากข้ายอมละทิ้งไปง่ายๆ ข้าก็ไม่มีทางไปอธิบายกับพวกเขาได้ ไพร่พลของสกุลซางในหนานโจวก็จะต้องเผชิญกับการถูกกวาดล้างเช่นกัน”

“ส่วนฝั่งราชสำนักก็อยู่ไม่สุข เอาแต่คิดเล่นงานทางนี้อยู่ตลอด หากไม่สั่งสอนให้พวกเขาหลาบจำเสียบ้าง พวกเขาก็คงไม่มีทางยอมหดมือที่ยื่นออกมาก่อกวนกลับไป ยอมปะทะในวันนี้เพื่อเลี่ยงปัญหาที่ใหญ่กว่าในภายภาคหน้า หลังจากผ่านเรื่องในครั้งนี้ไป ขอเพียงไม่เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น ก็น่าจะไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกับคฤหาสน์กระท่อมฟางของข้าส่งเดชอีก!”

ชายในชุดลายดอกครุ่นคิดเงียบๆ จู่ๆ ก็เอ่ยโพล่งออกมา “ไฉนตงกัวเฮ่าหรานจึงรับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายกันนะ?”

หนิวโหย่วเต้าคลี่กระดาษ ยกพู่กันจุ่มหมึกเขียนอักษรพลางเอ่ยว่า “เห็นแก่ที่ท่านเป็นยอดฝีมือ ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน”

ชายในชุดลายดอกพลันถอนหายใจ เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ามีประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่าข้ามากนัก! ข้าถูกขับไล่ออกจากสำนักก็เพราะข้าทำผิด ข้าสมควรได้รับโทษแล้ว แต่พวกเขาไม่สมควรขับไล่เจ้าออกมาเลย ช่างเลอะเลือนนัก!”

อะไรคือเจ้าข้าพวกเขา? ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าเข้าใจความหมายในวาจาของเขาหรือไม่ แต่ก็ทำเหมือนอย่างที่ว่ามาเมื่อกี้นี้จริงๆ ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ปริปากเอ่ย เขียนจดหมายของตนไป

ชายในชุดลายดอกเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง จมดิ่งอยู่ในสภาวะอารมณ์แปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทอดถอนใจออกมาเป็นครั้งคราว

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว หลังจากองครักษ์สองนายเข้าไปจุดตะเกียงในโถงองอาจเสร็จก็ถอยออกไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกซางเฉาจงที่ได้รับจดหมายตอบกลับจากคฤหาสน์กระท่อมฟางก็เข้าสู่ห้องโถงอย่างเร่งร้อน หลานรั่วถิงเข็นเหมิงซานหมิงที่อยู่บนรถเข็นไปหยุดอยู่ตรงหน้าแผนที่

ซางเฉาจงชี้พิกัดในแผนที่ บอกทิศทางที่ไพร่พลอยู่ในขณะนี้ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ตอนนี้กำลังหลักของราชสำนักเฝ้าระวังแคว้นหานและแคว้นซ่งอยู่ กำลังทหารภายในแคว้นมีน้อยนิด ทางเรารวบรวมไพร่พลและเสบียงทัพไว้พร้อมสรรพแล้ว เรียกได้ว่าแค่ออกคำสั่งก็ดำเนินการได้ทันที เป็นโอกาสดีที่จะเคลื่อนทัพ เพียงแต่ข้าค่อนข้างกังวล หากทางสำนักเขามหายานไม่ยอมให้ความร่วมมือ ศึกครั้งนี้ก็ไม่อาจดำเนินการได้ ไหนจะยังมีสามสำนักใหญ่อีก หากพวกเขาเข้ามาแทรกแซง เกรงว่าพวกเราคงเหนื่อยเปล่า”

เหมิงซานหมิงลูบเครากล่าวไปว่า “เต้าเหยี่ยย่อมพิจารณาถึงเรื่องนี้แล้วแน่นอน ในเมื่อเต้าเหยี่ยบอกมาเช่นนี้ คาดว่าคงวางแผนไว้แต่แรกแล้ว ท่านอ๋องสามารถเคลื่อนพลได้อย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”

“ดี!” ซางเฉาจงถูไม้ถูมือด้วยความตื่นเต้น เขาให้ความสนใจกับเรื่องขยายอาณาเขตอย่างยิ่ง หลังจากหายตื่นเต้นก็ถามขึ้นมาอีก “เจตนาของเต้าเหยี่ยที่อยู่ในจดหมายแจ่มชัดนัก ถึงอย่างไรราชสำนักก็เป็นถึงราชสำนัก หนานโจวเราต้องเคลื่อนทัพอย่างเปิดเผย ควรใช้ข้ออ้างใดมาปลุกปั่นดี?”

หลานรั่วถิงคิดแผนไว้ก่อนแล้ว “สั่งการให้กองคาราวานขบวนหนึ่งเปิดเผยความมั่งคั่งระหว่างผ่านแถบชายแดน จ้างวานสาวงามสักสองสามนางให้ไปพร้อมขบวนคาราวาน ขณะที่เคลื่อนขบวนผ่านก็ให้ดึงดูดล่อลวงทหารรักษาการณ์ของติ้งโจวเข้ามาปล้นทรัพย์ พอเห็นสาวงาม กองทหารรักษาการณ์ของติ้งโจวต้องเข้ามาชิงตัวแน่ ทันทีที่อีกฝ่ายตกหลุมพราง ท่านก็สามารถเคลื่อนกำลังพลได้ทันที อ้างว่านั่นคือสาวงามที่ท่านอ๋องเตรียมจะแต่งเข้าบ้านมาเป็นอนุภรรยา แย่งชิงสตรีของท่านอ๋องหาใช่เรื่องเล็กน้อยไม่ เป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้ หากราชสำนักสั่งให้ท่านอ๋องระงับการโจมตี ท่านอ๋องก็ซัดทอดไปหาเซวียเซี่ยวได้ ยืนกรานไปว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าทำเรื่องนี้หากไม่มีเซวียเซี่ยวคอยบงการ เรียกร้องให้ราชสำนักปลดเซวียเซี่ยวเพื่อมอบคำอธิบายต่อท่านอ๋อง เซวียเซี่ยวเป็นถึงผู้ปกครองมณฑล มีอิทธิพลในราชสำนักคอยปกป้อง อีกทั้งทราบดีว่าเป็นแผนของทางเรา ราชสำนักไม่มีทางยอมถอยให้ง่ายๆ แน่นอน ท่านอ๋องสามารถฉวยโอกาสจากช่องโหว่นี้รุกเข้าโจมตีชิงดินแดนได้พ่ะย่ะค่ะ!

ซางเฉาจงพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นถามเหมิงซานหมิงต่อ “ท่านลุงเหมิงคิดว่าอย่างไร?”

เหมิงซานหมิงพยักหน้ารับ “ใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงมีสีหน้าชื่นมื่น ให้หลานรั่วถิงไปจัดการเรื่องแผนยั่วยุเปิดศึกทันที ส่วนตัวเขาก็หารือเรื่องกองทัพกับเหมิงซานหมิง

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หลานรั่วถิงถึงกลับมาพร้อมถือจดหมายมาด้วยฉบับหนึ่ง “ท่านอ๋อง จดหมายจากท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ แจ้งว่าเต้าเหยี่ยยกเลิกเรื่องย้ายมาพำนักในจวนแล้ว”

ยกเลิกหรือ? ทั้งสองคนที่อยู่หน้าแผนที่หันกลับมาพร้อมกัน ตะลึงงันทั้งคู่ ทางนี้เตรียมการต้อนรับไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แต่ไม่มาแล้วอย่างนั้นหรือ?

ซางเฉาจงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หรือทางเราจัดการได้ไม่ดี จึงทำให้เต้าเหยี่ยไม่พอใจ?”

หลานรั่วถิงส่ายหน้า ยื่นจดหมายให้เขา

“สร้างข่าวเท็จให้สมจริง วางแผนตบตาหรือ?” หลังจากซางเฉาจงอ่านจดหมายจบก็ถามด้วยสีหน้างุนงง “หมายความว่าอย่างไร?”

ในจดหมายไม่ได้แจ้งอย่างชัดเจน หลานรั่วถิงเองก็พึมพำขึ้นมา “ล้มเลิกแผนตบตา เช่นนั้นแปลว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่อจากนี้ หากจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้นในยามนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงเรื่องที่คฤหาสน์กระท่อมฟางถูกโจมตี…น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่คฤหาสน์กระท่อมฟางถูกโจมตีพ่ะย่ะค่ะ”

อันที่จริงเรื่องราวที่ทางนี้ทราบมีจำกัด แม้แต่เรื่องที่หนิวโหย่วเต้าเผชิญการลอบสังหารในจินโจวก็ยังไม่ทราบ ไม่มีอะไรมาใช้อ้างอิงสำหรับการวิเคราะห์เลย

เหมิงซานหมิงหยิบจดหมายมาอ่านพลางใคร่ครวญเงียบๆ ไม่กระจ่างเช่นกันว่ามีเจตนาใด เขาโบกจดหมายเอ่ยไปว่า “จดหมายจากท่านหญิงไม่ได้แจ้งรายละเอียดที่ชัดเจนไว้ เต้าเหยี่ยกดดันให้สำนักเขามหายานตอบตกลงเรื่องช่วยโจมตีติ้งโจวแล้ว ท่านอ๋องสามารถระดมกำลังทหารได้อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องแผนตบตาอันใดหาได้สำคัญกับพวกเราไม่ พวกเราจัดการงานของตนให้ดีก็พอ เรื่องอื่นเต้าเหยี่ยย่อมรู้ดีว่าควรจัดการอย่างไร”

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงมองหน้ากัน สำนักเขามหายานถูกเต้าเหยี่ยหาวิธีกดดันให้ยอมรับปากแล้ว นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา

สุดท้ายหลานรั่วถิงยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้า “วิธีการของเต้าเหยี่ยเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้า นับวันจะยิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ราชสำนักยั่วโทสะเต้าเหยี่ยเข้าแล้ว ครั้งนี้เต้าเหยี่ยแสดงออกชัดเจนว่าต้องการตอบโต้กลับ แปลว่าคงอยากเล่นงานราชสำนักให้เจ็บแสบบ้าง เต้าเหยี่ยช่วยถางอุปสรรคที่ในเส้นทางเบื้องหน้าให้พวกเราแล้ว จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วว่าควรจะสู้เต็มที่อย่างไรตามที่เต้าเหยี่ยว่ามา

เหมิงซานหมิงพยักหน้า มองไปยังแผนที่ “ท่านอ๋อง นี่เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา ในเมื่อเต้าเหยี่ยต้องการให้พวกเราแสดงความทะเยอทะยาน เช่นนั้นพวกเราก็สู้ให้เต็มที่เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

….

ในยามราตรีก่อนรุ่งสาง ป่าเขารอบข้างเงียบสงัด

ภายในลานเรือนปราศจากผีเสื้อจันทรา หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่เงยหน้าชมดาว หยวนกังเดินออกมาจากความมืด เข้ามาหาแล้วกระซิบบอก “จัดการให้พวกเขาจากไปอย่างลับๆ แล้ว ทุกอย่างราบรื่นดีครับ”

พวกเขาที่กล่าวถึงคือกองกำลังกลุ่มนั้นของหอจันทร์กระจ่าง หลังจากเผยตัวแล้วก็ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน หากอยู่นานไปจะถูกคนจับตามองได้ ซึ่งนี่มิใช่เรื่องที่หอจันทร์กระจ่างอยากเห็นเลย

มีคนมากมายปานนั้นจึงไม่เหมาะจะเดินทางช่วงกลางวัน ทำได้เพียงฉวยโอกาสจากไปในยามฟ้ามืด

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ หันหลังเดินเข้าไปในห้อง ไปหาชายในชุดลายดอกที่ดื่มสุราอยู่ในห้อง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงจะอยู่ต่อก็ได้นะ ทางข้ามีสุราอาหารเลิศรส ไม่ด้อยไปกว่ายอดเขาภูตมารของท่านกระมัง?”

ชายในชุดลายดอกเงยหน้ามอง “เจ้าเห็นข้าเป็นลูกน้องของเจ้าไปแล้วจริงๆ หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ โบกมือเอ่ยไปว่า “ไหนเลยจะกล้า ข้าคิดว่าตัวตนของท่านคงถูเปิดเผยออกไปแล้ว”

ชายในชุดลายดอกเงียบไปครู่หนึ่ง “จะสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าหรือไม่”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “หากเป็นในอดีตคงรับมือไม่ไหว เรียกท่านมาคงถูกโจมตีได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้ต่างกันออกไปแล้ว ในอาณาเขตหนานโจวแห่งนี้ ข้าไม่ใช่คนที่ผู้ใดนึกอยากเล่นงานก็จะเล่นงานได้ง่ายๆ อีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้ารับมือได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่เชิญท่านมา”

ชายในชุดลายดอกถอดหนังหน้าปลอมออกจากใบหน้า เผยโฉมหน้าจริงออกมา เขายกสองมือนวดหน้า จากนั้นก็ถอดชุดลายดอกทิ้ง โยนออกไปด้านข้างด้วยสีหน้ารังเกียจ ยื่นมือไปคว้าสุราไหโตที่ทางนี้ส่งมาให้เขาขึ้นมาใบหนึ่ง

“ลาล่ะ” เอ่ยจบก็ย่างเท้าออกเดิน

“ช้าก่อน” หนิวโหย่วเต้ายื่นมือขวางเล็กน้อย จากนั้นประสานมือขอคำชี้แนะ “ท่านเองก็เคยพบท่านหญิงซางซูชิงแล้ว ไม่ทราบว่าคิดเห็นประการใด?”