ตอนที่ 592 ฟางเว่ยกั๋วเปลี่ยนไป

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 592 ฟางเว่ยกั๋วเปลี่ยนไป

ฟางจั๋วหรานต้องไปเข้าเวรในวันแรกของปี ดังนั้นเขาจึงนอนดึกมากไม่ได้ ผล็อยหลับไปตั้งแต่ประมาณสี่ทุ่ม

ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือแค่หลินม่ายกับลูกสาว ฟางจั๋วเยวี่ย ฟางเว่ยกั๋ว คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางซึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ และพูดคุยกัน

ทุกคนไม่เข้านอนจนกว่าเวลาจะผ่านไปถึงเที่ยงคืน

ถึงเมื่อคืนจะนอนดึกแค่ไหน แต่หลินม่ายก็ตื่นนอนตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าในวันแรกของปีใหม่ ต้มบะหมี่ชามใหญ่ให้ฟางจั๋วหรานกำลังจะไปทำงานกิน โดยไม่ลืมใส่กะหล่ำปลีดอง ลูกชิ้นกุ้ง กับเต้าหู้ลงไปด้วย

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเป็นทุกข์ “ทำไมคุณไม่นอนต่ออีกหน่อย ใช่ว่าผมทำอาหารเช้าเองไม่ได้ซะหน่อย ไม่เห็นต้องกลัวว่าผมจะหิวเลย”

หลินม่ายตอบกลับ “ฉันอยากทำอาหารให้คุณค่ะ”

ถ้าคุณรักใครสักคน คุณจะยินดีเข้าครัวเพื่อเขาโดยไม่มีข้อแม้

พอคิดอย่างนี้แล้ว ดูเหมือนว่าชาติที่แล้วเธอแทบไม่เคยเข้าครัวทำอาหารให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเลยสักครั้ง

อาจเป็นเพราะเธอตระหนักโดยจิตใต้สำนึกว่าเขาปฏิบัติต่อเธอไม่ดี ก็เลยไม่มีใจอยากทำอาหารให้เขา

ฟางจั๋วหรานโอบเธอไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็พรมจูบเธอหลายครั้ง

พอมีรถการเดินทางก็สะดวกขึ้น

หลังจากรับประทานอาหารเช้า หลินม่ายก็ขับรถไปส่งฟางจั๋วหราน แล้วพาคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ กลับไปที่ชนบทเพื่อไหว้บรรพบุรุษ ก่อนจะกลับเข้าตัวเมืองในเวลาบ่ายโมงตรง

เนื่องจากพวกเขาโทรบอกฟางเว่ยหมินและฟางเว่ยตั่งไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะกลับไปที่ชนบทเพื่อไหว้บรรพบุรุษในตอนเช้า ทั้งสองครอบครัวจึงเดินทางมาอวยพรปีใหม่ประมาณบ่ายสองโมง

วันปีใหม่แบบนี้ไม่มีกิจกรรมอื่นเลยนอกจาก กิน กิน กิน

หลินม่ายและคนอื่น ๆ ต่างก็ยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน

เธอจึงเข้าครัวทำอาหารมื้อใหญ่ให้ทุกคนได้ร่วมวงรับประทานอาหาร

ครอบครัวของฟางเว่ยตั่งและฟางเว่ยหมินกินมื้อกลางวันก่อนจะมาที่นี่แล้ว

แต่พวกเขาไม่มีภูมิต้านทานต่ออาหารแสนอร่อยฝีมือหลินม่าย ต่อให้ท้องอิ่มแค่ไหนก็ยังอยากกินอีก

ฟางถิงชอบแกะย่างเสียบไม้โรยผงยี่หร่าของหลินม่ายเป็นพิเศษ แค่หล่อนคนเดียวก็กินหมดไปหลายไม้

จากนั้นก็ถามหลินม่ายว่าอาคารในเขตชุมชนถนนชิงเหนียนมีห้องนอนแบบสามห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นหรือเปล่า เพราะหล่อนต้องการซื้อมัน

หลินม่ายส่ายหน้า อธิบายว่าเธอออกแบบห้องชุดให้เป็นแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น และแบบสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น เพราะพิจารณาจากวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่

เธอไม่กล้าออกแบบห้องชุดที่มีสามห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น เนื่องจากพื้นที่ใช้สอยอาจใหญ่เกินไป ในขณะที่คนส่วนใหญ่มีกำลังทรัพย์น้อย กลัวขายออกยาก

จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ใครอยากซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นกัน?”

ฟางถิงชี้นิ้วเข้าตัวเอง “ฉันไง”

“เธอคนเดียวซื้อห้องชุดแบบสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นก็เหลือเฟือแล้ว” หลินม่ายคีบเนื้อปลาตุ๋นกากเหล้าชิ้นหนึ่งเข้าปาก

ฟางถิงพูดด้วยท่าทางอวดรวย “ฉันมีเงิน ทำไมจะซื้อห้องใหญ่ ๆ ให้ตัวเองไม่ได้ล่ะ?”

นับตั้งแต่เปิดร้านขายเสื้อผ้าเฟรนไชส์จิ่นซิ่วตั้งแต่เดือนตุลาคม จนถึงตอนนี้หล่อนก็ทำธุรกิจมาเกือบสี่เดือนแล้ว มีเงินเก็บไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นหยวน

ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคืออยากซื้อบ้านให้ตัวเองสักหลัง

ตอนนี้หล่อนประกอบอาชีพอิสระ ไม่มีทางได้รับการจัดสรรบ้านจากหน่วยงานไหนแน่ ๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยด้วยตัวเอง

หลินม่ายรู้สึกว่าฟางถิงฉลาดล้ำที่มีความคิดอยากซื้อบ้านให้ตัวเอง

เธอแนะนำให้ฟางถิงซื้อห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น และแบบสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นควบคู่กัน จากนั้นก็ทุบกำแพงเปลี่ยนให้มันกลายเป็นอะพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ที่มีสามห้องนอน สองห้องนั่งเล่น และสองห้องน้ำ

ฟางถิงเห็นด้วยมาก ๆ แต่แม่ของหล่อนกลับคิดว่าห้องน้ำสองห้องค่อนข้างสิ้นเปลืองเกินไป

นอกจากนี้ การดัดแปลงห้องครัวสองห้องให้รวมกันเป็นห้องเดียวสิ้นเปลืองพื้นที่มากเกินไป ไม่คุ้มทุนเปล่า ๆ

สองแม่ลูกทะเลาะกันอยู่นาน

หลังมื้ออาหาร หลินม่ายเห็นว่ายังเช้าอยู่ จึงแนะนำให้ฟางถิงกับแม่ของหล่อนแวะไปที่สำนักงานขายของอาคารชุด เพื่อเยี่ยมชมห้องตัวอย่างในสถานที่จริงก่อนจะตัดสินใจ

คนอื่น ๆ ก็นึกสนุกอยากไปด้วย

ทันทีที่ไปถึงสำนักงานขาย เมื่อมองเข้าไปก็เห็นผู้คนจำนวนมาก พนักงานขายสาวทั้งสี่คน รวมถึงหัวหน้าฝ่ายขายอีกหนึ่งคนทำงานมือเป็นระวิงอย่างกับปลาหมึก

หลินม่ายดีใจมาก เธอคาดการณ์ไว้แล้วว่าช่วงเทศกาลปีใหม่ต้องมีลูกค้าจำนวนมากสนใจมาดูบ้านแน่ ๆ แล้วมันก็จริงอย่างที่คาด

ตราบใดที่มีคนสนใจมาดูห้องตัวอย่างเยอะขนาดนี้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนมาซื้อห้องชุดอีกต่อไป

หลินม่ายรับบทเป็นพนักงานขายจำเป็น พาฟางถิงและคนอื่น ๆ ขึ้นไปดูบ้านตัวอย่าง

หยางรั่วหลันคิดว่าห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นนั้นกำลังดี จึงแนะนำให้ฟางถิงซื้อห้องชุดแบบที่ตัวเองถูกใจ

ปัจจุบันครัวเรือนส่วนใหญ่ที่มีรายได้สองทาง ต่างก็มีบ้านแค่หลังเดียวเท่านั้น ห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นไม่นับว่าคับแคบอีกต่อไป

นอกจากนี้ตามนโยบายการวางแผนครอบครัว คู่สมรสก็สามารถมีลูกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

บ้านที่มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นจึงเพียงพอต่อการอยู่อาศัย

ฟางถิงกับแม่ของหล่อนโต้เถียงกันอีกครั้งเกี่ยวกับบ้านที่ต้องการซื้อ ในขณะที่หลินม่ายยืนฟังอยู่เงียบ ๆ

ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับครอบครัวของฟางถิงจะคลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่เพราะอยากรักษาความสัมพันธ์แบบนี้ไปนาน ๆ เธอเลยไม่อยากเป็นตัวกลางทำให้ครอบครัวเกิดความขัดแย้ง

ไม่ว่าเธอจะเข้าข้างฝ่ายไหน อีกฝ่ายหนึ่งก็โกรธเธออยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่าเข้าไปยุ่งเลยดีกว่า

ท้ายที่สุดคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ต้องออกโรงห้ามทัพ โดยแนะนำให้ฟางถิงซื้อห้องชุดแบบสองห้องนอนแทน

ในเมื่อหล่อนมีสภาพทางการเงินคล่องตัวดี ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อบ้านหลังใหญ่ไปเลย หลังจากนี้ถ้ามีโอกาสได้แต่งงานและมีลูก ในอนาคตก็ต้องให้ลูกแยกห้องนอนอยู่ดี

ฟางถิงจึงตัดสินใจก็เลือกซื้อห้องชุดแบบสองห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสาม

สมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลฟางไม่ออกความคิดเห็นอะไรก็จริง แต่ทุกคนต่างก็อิจฉาหล่อน

ถึงแม้สำหรับพวกเขาแล้วการจ่ายเงินเพื่อซื้อบ้านสักหลังจะไม่ใช่เรื่องยากก็ตาม

แต่ไม่มีใครสามารถเก็บหอมรอมริบเงินออมมากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนในเวลาเพียงสี่เดือนได้เหมือนฟางถิง

สำหรับหล่อนแล้ว การซื้อบ้านอาจไม่ใช่เรื่องง่ายดายเหมือนการซื้อผักกาดขาว แต่ถ้าเปรียบเทียบแล้วก็เหมือนกับการซื้อเนื้อหมูโดยไม่ต้องคิดคำนวณอะไรมาก

คนที่ประกอบอาชีพอิสระไม่เห็นน่าอับอายตรงไหน พวกเขาไม่มีนายจ้างด้วยซ้ำ แต่กลับร่ำรวยกว่า!

วันที่สองหลังจากขึ้นปีใหม่ ลูกสาวคนเดียวของตระกูลฟางก็มาเยี่ยมเยียนพวกเขา

หลินม่ายมีโอกาสได้พบกับฟางเสียนจิ้งและสามีของหล่อนเป็นครั้งที่สอง

ปีใหม่ปีที่แล้วพวกเขาพาลูกมาด้วย แต่ครั้งนี้พวกเขามากันแค่สองสามีภรรยา

หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานหมั้นหมายกันเรียบร้อยแล้ว ฟางจั๋วหรานจึงเล่าเรื่องราวในอดีตของตระกูลฟางให้เธอฟัง

ทำให้เธอรู้ว่าครั้งหนึ่งฟางเสียนจิ้งเคยมีประสบการณ์เกือบโดนศัตรูกระทำย่ำยี

ประสบการณ์ทำนองนี้ ไม่ว่าลูกหลานของนักปฏิวัติคนไหนก็ต้องประสบพบเจอทั้งนั้น

ฟางเสียนจิ้งไม่ได้มีความขุ่นเคืองใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่เพราะสามีของหล่อนต้องเผชิญอุปสรรคบางประการในการเลื่อนตำแหน่ง เขาจึงมาขอให้คุณปู่ฟางช่วย แต่กลับถูกปฏิเสธ

คราวนี้ฟางเสียนจิ้งก็เริ่มบังเกิดความไม่พอใจ คิดว่าพ่อแม่สามารถผลักดันลูกตัวเองให้ก้าวหน้าได้แท้ ๆ แต่กลับไม่ยอมช่วยเหลือ

ดังนั้นนอกจากช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว พวกเขาก็ไม่เคยแวะมาเยี่ยมคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางอีกเลย

ครั้งนี้ฟางเสียนจิ้งมีสภาพซีดเซียวมากกว่าครั้งก่อนที่หลินม่ายเห็นหล่อนเสียอีก

ฟางเว่ยกั๋วพักอาศัยอยู่ที่วิลล่าตั้งแต่วันที่เขามาเยี่ยมเยียนในวันส่งท้ายปี

ฟางเสียนจิ้งประหลาดใจเมื่อเห็นเขา รีบถามว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้

ฟางเว่ยกั๋วยิ้มพลางตอบกลับ “พี่ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะหมดวันหยุดช่วงเทศกาลแล้วค่อยกลับ”

ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คน ฟางเว่ยกั๋วคือคนที่ไม่ลงรอยกับพ่อแม่มากที่สุด

ส่วนลูกชายอีกสองคนก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพ่อแม่เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากพี่ชายคนโต

พอได้ยินฟางเว่ยกั๋วบอกว่าเขาจะอยู่จนสิ้นสุดเทศกาล ฟางเสียนจิ้งยิ่งรู้สึกแปลกใจกว่าเดิม เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หล่อนคิดว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า หรือว่าฟางเว่ยกั๋วจะมีปัญหาทางสมอง

จนกระทั่งฟางเว่ยกั๋วอธิบายเหตุผลด้วยตัวเองว่าตอนนี้มุมมองทางความคิดของเขาเปลี่ยนไป

ในอดีตความรักชาติสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

พ่อแม่ถูกสังคมบีบบังคับให้ต้องทอดทิ้งครอบครัวของตัวเองไว้เบื้องหลัง เพื่อประเทศชาติและส่วนรวม

ช่วงเวลาที่ชาติบ้านเมืองตกอยู่ในความหายนะ ถ้าไม่ทำแบบนั้น ประเทศชาติคงสูญสิ้น แม้แต่ครอบครัวก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้

จากทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น ทำให้เขาต้องการใช้พ่อแม่เป็นบันไดเพื่อให้พวกเขาปีนป่ายขึ้นไป ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์

ในอนาคตถ้าเขาอยากเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น เขาจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองเท่านั้น ไม่ขอพึ่งพาพ่อแม่อีกต่อไป

ฟางเสียนจิ้งรู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ยินแบบนั้น

เมื่อต้นปีที่แล้ว พวกเขาสองสามีและภรรยาทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ลูกสาวผู้น่ารักเพียงคนเดียวของหล่อนได้ทุนสาธารณะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

แต่หลังจากลูกสาวไปถึงอเมริกา หล่อนก็โทรมาขอเงินทุกสามวัน ทำให้สภาพทางการเงินของครอบครัวเริ่มร่อยหรอ แม้แต่เงินออมของครอบครัวก็เกือบหมด

จนกระทั่งวินาทีนั้น หล่อนถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าพ่อแม่ตัวเองรู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่ลูก ๆ แวะเวียนกันมาเรียกร้อง

คราวนี้ฟางเสียนจิ้งและสามีของหล่อนไม่ได้ขอตัวกลับทันทีหลังเสร็จสิ้นมื้อกลางวัน พวกเขาเข้าไปช่วยล้างจาน และพูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนจะออกเดินทาง

วันที่สองหลังจากขึ้นปีใหม่ผ่านไป โจวฉายอวิ๋น เถาจืออวิ๋น และหลี่หมิงเฉิงต่างก็นำของขวัญมากมายมามอบให้เธอถึงบ้านเพื่ออวยพรปีใหม่ ทั้งยังเชิญครอบครัวของหลินม่ายไปที่บ้านของพวกเขา

เนื่องจากหลินม่ายมอบรางวัลให้พวกเขาเป็นห้องชุดคนละหลัง พวกเขาทั้งหมดจึงทยอยย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่หลังจากปรับปรุงเสร็จเมื่อปลายปีที่แล้ว

ช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้ โจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงต่างก็พาพ่อแม่ของตัวเองที่อยู่ในชนบทเข้ามาพักในตัวเมืองสองสามวัน เพื่อให้พวกเขาได้เที่ยวเล่นชมแสงสีในเจียงเฉิงอย่างสนุกสนาน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เวลาเป็นตัวเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งจริงๆ แต่ก่อนไม่เคยคิดได้ พอเวลาผ่านไป ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ก็จะเริ่มคิดได้ แต่ก็ขึ้นกับนิสัยด้วยค่ะ ถ้านิสัยยังเป็นแบบเดิมก็ยากที่จะเปลี่ยน

ไหหม่า(海馬)