บทที่ 594 บทเรียน

วันถัดมา

ฮ่องเต้โจวได้ให้การต้อนรับคณะราชทูตของซยงหนู นอกเหนือจากฮ่องเต้โจวแล้วยังมีเจ้ากรมพิธีการต้วนโส่วฝู่ที่รับผิดชอบในการดูแลแขกจากต่างแดน รวมถึงเว่ยฉิงด้วย เขาได้มายืนตรงนี้เพราะว่าฮ่องเต้โจวให้ความสำคัญกับเขามาก

ในท้องพระโรงใหญ่ ฮ่องเต้โจวนั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงสุด ส่วนขุนนางจากต้าโจวและราชทูตของซยงหนูแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฮ่าวตุ้นที่อยู่ในคณะราชทูตมองไปยังฝั่งตรงข้ามของตัวเอง ชายผู้นั้นมองสบตาเขา ต่างรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดาเลย

เว่ยฉิงถอนสายตาออก เขาครุ่นคิดบางอย่าง ดวงตาของคนผู้นั้นเฉียบคมดุร้ายราวกับหมาป่า ภรรยาของเขาบอกว่าในคณะราชทูตครั้งนี้มีองค์ชายรองของเผ่าซยงหนูปะปนมาด้วย จากที่เขาเห็นและประเมินจากสายตาของตน คนผู้นี้น่าจะเป็นฮ่าวตุ้นไม่ผิดแน่

ฮ่องเต้โจวทรงมีปฏิสันถารสองสามประโยค จากนั้นจึงได้มอบหมายให้เว่ยฉิงเป็นผู้เจรจา เมื่อเปรียบเทียบกับต้าโจวแล้ว ซยงหนูเป็นเพียงแคว้นเล็กๆและยังป่าเถื่อนอยู่มาก ฮ่องเต้โจวจึงทรงทัมีพระราชปฏิสันถารเล็กน้อยพอเป็นพิธีแล้วจึงส่งต่อให้ข้าราชบริพารในพระองค์ให้จัดการดูแล

สายตาของฮ่าวตุ้นจับจ้องไปที่เว่ยฉิง ชายคนนี้ชื่ออู่อวี้ เป็นสามีของถังหลี่คนที่ฆ่ากู้อิ๋น ความเย็นเยียบพาดผ่านดวงตาของเขา เว่ยฉิงน้อมรับพระราชดำริของฮ่องเต้โจวในการเจรจากับคณะทูตของซยงหนู ทว่าการเจรจาเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ราชทูตของซยงหนูได้เรียกร้องอย่างไร้เหตุผล พวกเขากล่าววาจาหยาบกระด้างราวกับต้องการที่จะยั่วโมโห

เว่ยฉิงไม่มีทางเลือกนอกจากระงับโทสะ และซักถามพวกเขาทีละคน แต่กลับไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด

ในที่สุด คณะราชทูตของซยงหนูต้องการกลับไปที่เรือนรับรองเพื่อพักผ่อนโดยอ้างว่าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการเดินทาง เว่ยฉิงไม่อาจทัดทานได้ การเจรจาในวันแรกจึงได้ยุติลงเช่นนั้นเอง

….

เว่ยฉิงกลับไปที่จวนอู่โหวอย่างเหนื่อยล้า จนถังหลี่สังเกตได้ นางนำผ้าขนหนูมาเช็ดใบหน้าของเขา

“สามีเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” ถังหลี่ถามด้วยความเป็นห่วง เขาคว้ามือของนางไว้อีกมือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกไป เขาจูบที่นิ้วของนางเบาๆ เว่ยฉิงพูดถึงเรื่องที่ทำให้เขาขุ่นเคืองใจ ในตอนที่ได้เจรจากับเผ่าซยงหนู

“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามีจุดประสงค์เร้นลับอะไรซ่อนเอาไว้หรือไม่”

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีสงครามแย่งชิงกันในราชสำนักของซยงหนู ทำให้พวกเขาอ่อนแอลง ในเมื่อฮ่าวตุ้นมาที่นี่ เขาสมควรทูลขอให้ฝ่าบาทช่วยเหลือเขา แต่กลับมีทีท่าแข็งกระด้างไม่เหมือนผู้ที่จะมาขอความช่วยเหลือเอาเสียเลย”

ถังหลี่ได้ฟังคำพูดของสามี นางก้มหน้าครุ่นคิด

“สามี ฮ่าวตุ้นอาจจะเล็งเป้าหมายมาที่ท่าน” ในเนื้อเรื่องหลัก ฮ่าวตุ้นเป็นเพียงตัวประกอบฝ่ายชายเท่านั้น ครั้งแรกที่ฮ่าวตุ้นและนางเอกพบกันเป็นตอนที่นางเอกช่วยเขาในเมืองหลวง พวกเขาจึงมีความผูกพันกัน การมาเมืองหลวงครั้งนี้ฮ่าวตุ้นอาจจะได้พบกับจินเซ่อ นางและสามีเป็นศัตรูคู่อาฆาตของจินเซ่อ จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลว่าเหตุใดฮ่าวตุ้นจึงเล็งเป้ามาที่สามีของนาง

“หากในการเจรจาระหว่างสองแคว้น ฮ่าวตุ้นเล็งเป้ามาที่ข้าเพราะจินเซ่อเป็นต้นเหตุจริง เปลือกตาของเขาก็ตื้นเขินเกินไปแล้ว” เว่ยฉิงกล่าว นี่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแคว้น การนำสตรีเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยไม่ใช่เหตุผลที่ดี

จินเซ่อไม่ใช่สตรีธรรมดาแต่นางเป็นนางเอกของเรื่อง ส่วนฮ่าวตุ้นเป็นผู้ช่วยนางเอกในนวนิยาย การที่จ้าวชูขึ้นครองบัลลังก์ได้เป็นเพราะนางช่วยเขา

ในนวนิยาย ชาวซยงหนูแสร้งทำเป็นโจมตีต้าโจว ฮ่องเต้ให้แม่ทัพเหลียงออกไปรบแต่สกุลเหลียงและองค์ชายหกกลับไม่ได้รับการสนับสนุน

“นอกจากนี้ฮ่าวตุ้นยังเป็นคนมีความทะเยอทะยาน เรื่องนี้จึงไม่ง่ายเลย”

ถังหลี่พูด

เว่ยฉิงพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อนึกถึงดวงตาราวกับหมาป่าของฮ่าวตุ้นแล้ว การเคลื่อนไหวของฮ่าวตุ้นอาจจะเพื่อจินเซ่อรวมไปถึงแอบแฝงเรื่องอื่นด้วย

“สามี เราต้องรอดูเหตุการณ์ไปก่อน ดูท่าทีทั้งของฮ่าวตุ้นและจินเซ่อ”

“ฮูหยินพูดถูกแล้ว”

เว่ยฉิงกอดและจุมพิตนาง จากนั้นจึงได้พากันเข้าไปหาทารกแฝดทั้งสองคน

เด็กทั้งสองคนอายุได้สี่เดือนแล้ว แม้จะยังเป็นแค่ทารกน้อย แต่สติปัญญาและร่างกายของพวกเขาพัฒนาไปเร็วมาก ถังเป่าเปานอนเอาหัวพิงพนัก ในขณะที่มู่เป่าเปานอนก้นโด่ง ถังหลี่จับเสี่ยวมู่พลิกตัว ทว่าเด็กชายกลับพลิกตัวกลับเหมือนเดิมอีกครั้ง

เว่ยฉิงตบก้นน้อยๆ ของเขาที่ช่างนุ่มนิ่มราวกับไข่ต้ม คิ้วน้อยๆ ขมวด ปากบางยู่ลง เขาบิดก้น พยายามสลัดให้พ้นจากมือของบิดา เว่ยฉิงชักมือกลับ หันไปเอานิ้วแหย่บุตรสาวแทน แต่นางกลับดุร้ายมากกว่า ถังเป่าเปาอ้าปากทำท่ากัดนิ้วของเว่ยฉิง เขารีบชักนิ้วหนีหันไปโอดครวญกับถังหลี่

“ฮูหยิน ถังเป่าเปาดุมาก” ถังหลี่หัวเราะ สามีของนางคงเป็นคนเดียวที่กล้าฟ้องบุตรสาวของตนเอง

เด็กทั้งสองตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาทำตัวติดหนึบกับถังหลี่ ทำให้เว่ยฉิงสำนึกได้ว่าเด็กทั้งสองคนเกิดมาเพื่อแย่งความรักจากภรรยาของเขาจริงๆ! ช่างไม่น่ารักเลย!

……

วันถัดมา

คณะราชทูตของซยงหนูไม่ต้องการพูดคุยกับเว่ยฉิง พวกเขาทูลขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยตรง เว่ยฉิงมองไปทางพวกเขาด้วยแววตาดุร้าย การที่ราชทูตทำแบบนี้เท่ากับเป็นการทูลฟ้องต่อฝ่าบาทว่าเขาทำงานได้ไม่ดี เว่ยฉิงให้คนไปกราบทูลฮ่องเต้ เมื่อพระองค์ทรงอนุญาต ราชทูตจึงพากันเดินตามไปเข้าเฝ้า คนที่เหลือจึงยืนรอกันอยู่ที่ด้านนอก

“ใต้เท้าอู่ ที่จริงแล้วพวกข้าไม่อยากทำเช่นนี้หรอก แต่ทูตของเราไม่เข้าใจคำพูดของท่าน จึงเป็นเหตุให้พวกเราต้องพูดคุยกับผู้อื่นแทน ท่านได้โปรดอย่าถือสาพวกเราเลยนะ”

จู่ๆ ฮ่าวตุ้นก็เอ่ยขึ้นมา การกระทำเช่นนี้ของเขาถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาทในทางการทูต ทั้งยังทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจได้

“ฝ่าบาทมีเรื่องที่ต้องดูแลทุกวัน หากราชทูตมีคำขอมากมายเช่นนี้ ท่านไม่กังวลว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงพอพระทัยหรอกหรือ?” เว่ยฉิงว่าแล้วก็หัวเราะออกมา

“ข้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงพอพระทัย” ฮ่าวตุ้นพูดอย่างมีนัยลึกซึ้ง

เมื่อพิจารณาจากท่าทีของฮ่าวตุ้นแล้ว เว่ยฉิงคิดว่าภรรยาของเขาคาดเดาได้ถูกต้อง ราชทูตของซยงหนูมีเรื่องที่อยากพึ่งพา จึงได้กล้าที่กระทำการเสียมารยาทเช่นนี้

ในขณะเดียวกัน เมื่อราชทูตได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้โจว เขาถวายพระพรด้วยความเคารพทันที

“ทูลฝ่าบาท เนื่องจากเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ใต้เท้าอู่ไม่อาจจะทำงานสำคัญเช่นนี้ได้พะย่ะค่ะ”

“สำคัญมากหรือ?” ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรไปที่ราชทูต

“พะย่ะค่ะ แคว้นฉีและแคว้นฉู่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกันพวกเขาต้องการให้เผ่าซยงหนูเข้าร่วมด้วยเพื่อบุกโจมตีแคว้นต้าโจวพะย่ะค่ะ”

เมื่อราชทูตกล่าวจบ พระโอษฐ์ของฮ่องเต้โจวเม้มเข้าหากัน แม้พระพักตร์จะไม่เปลี่ยน แต่ฝ่าพระหัตถ์กำแน่นอย่างไม่รู้พระองค์

กว่าร้อยปีที่ผ่านมา ที่ทั้งสามแคว้นยืนหยัดมาได้จนทุกวันนี้ก็เพราะมีการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ต้าฉี และต้าโจวเป็นแคว้นที่แข็งแกร่ง ในขณะที่แคว้นฉู่ค่อนข้างอ่อนแอ

หากแคว้นฉีและแคว้นฉู่เข้าร่วมกันเป็นหนึ่งและเพิ่มพวกฮั่นเข้ามาด้วย ต้าโจวจะตกอยู่ในอันตราย

หากสิ่งที่ราชทูตผู้นี้พูดเป็นเรื่องจริง นั่นย่อมหมายถึงว่าแคว้นอื่นๆ ต้องการที่จะจัดการกับต้าโจว ฮ่องเต้สีพระพักตร์ไม่เปลี่ยน พระองค์สรวลขึ้นมา

“ฉีกับฉู่ผนึกกำลังกันทำลายต้าโจวหรือ? แคว้นฉีแข็งแกร่งส่วนต้าฉู่อ่อนแอ ต้าฉู่จะถูกแคว้นฉีกลืนไปเสียมากกว่า เผ่าซยงหนูของเจ้าตกลงในร่วมเป็นพันธมิตรกับต้าฉีหรือไม่เล่า?”

“ทูลฝ่าบาท ซยงหนูเป็นเพียงชนเผ่าเล็กๆ กระหม่อมไม่รู้ว่าต้าฉีและต้าฉู่สมรู้ร่วมคิดกันได้อย่างไร เพียงแต่ต้าฉีส่งราชทูตมาที่ซยงหนูเพื่อตั้งใจจะผูกเป็นพันธมิตรด้วย แต่ต้าโจวกับชาวซยงหนูมีสัมพันธไมตรีมาอย่างยาวนาน ท่านข่านของเราหวังในการร่วมมือกับต้าโจวมากกว่าพะย่ะค่ะ” ราชทูตจากฮั่นกล่าว

สัมพันธไมตรีที่ยาวนาน?

ชาวฮั่นนั้นเปรียบเสมือนหมาป่าที่หิวกระหาย พวกเขาอยากได้ผืนดินที่สมบูรณ์ของต้าโจวเป็นอย่างมาก ท่าทีของพวกเขาหวังที่จะถลกหนังเสือเสียมากกว่า ฮ่องเต้โจวเม้มพระโอษฐ์พลางใช้ความคิด

พระองค์ไม่ทรงทราบว่าแท้จริงแล้วแคว้นฉีและแคว้นฉู่ร่วมเป็นพันธมิตรกันจริงหรือไม่ ? แต่ด้วยคำพูดของราชทูตจากฮั่นผู้นี้ทำให้พระองค์ตระหนักถึงคำว่าวิกฤต

ฮ่องเต้โจวจึงตัดสินใจพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตัวแทนของพระองค์ได้พูดคุยปรึกษาหารือกับราชทูตต่อ ในขณะเดียวกันก็ทรงมีพระรับสั่งให้ตรวจสอบความจริงเรื่องการร่วมมือของแคว้นฉีและแคว้นฉู่โดยเร็ว

ฮ่องเต้โจวทรงไว้วางพระทัยเว่ยฉิงเป็นอันมาก ตรัสกับเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งปลอบใจอย่าให้เขาได้คิดมากเกินไป

เว่ยฉิงเข้าใจเรื่องอย่างกระจ่าง เขากลับบ้านเล่าให้ถังหลี่ฟัง

“นี่คือไพ่ของฮ่าวตุ้น” ถังหลี่วิเคราะห์ หากเรื่องนี้เป็นความจริง การตัดสินใจของเผ่าฮั่นจะมีนัยที่สำคัญต่อแคว้นต้าโจวเป็นอย่างมาก เพราะถ้าฮั่นตกลงเป็นพันธมิตรด้วยแล้ว แคว้นต้าโจวจะถูกบุกจากทุกทิศ

ต้าโจวจะต้องเอาใจชาวซยงหนูให้ได้และต้องทำตามคำขอของชาวซยงหนู ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดราชทูตจึงกล้าเอาแต่ใจและสร้างความอับอายให้เว่ยฉิงพร้อมทั้งมีข้อเรียกร้องมากมายเช่นนี้

“ใครเป็นคนเจรจากับราชทูต?” ถังหลี่ถาม

“รุ่ยอ๋อง..จ้าวชู” เว่ยฉิงตอบ

“ฮ่าวตุ้นกำลังต่อกรกับองค์ชายแปด เขาต้องได้รับการสนับสนุน แน่นอนว่าเขาอยากให้ต้าโจวช่วยเขาให้ได้ตำแหน่งข่าน”

“ตำแหน่งข่านของเขายังสามารถช่วยให้จ้าวชูได้ครองบัลลังก์อีกด้วย เป็นข้อตกลงที่หอมหวน” เว่ยฉิงกล่าว

ถังหลี่และเว่ยฉิงอยากให้ความหวังของจ้าวชูและฮ่าวตุ้นเสียเปล่า

“สามีท่านจำพั่วหนูได้ไหม?” ถังหลี่ถาม

ในระหว่างการเดินทางไปยังเมืองฉินโจวครั้งนั้น นางและสามีได้ช่วยเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเอาไว้ เขาเป็นคนต่างถิ่นที่รูปงามที่ชื่อพั่วหนู

“จำได้ เขาคือองค์ชายแปดของซยงหนู” เว่ยฉิงตอบ

ในครั้งนั้นภรรยาของเขาอดไม่ได้ที่จะช่วยชีวิตเด็กหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ พวกเขาไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะเป็นองค์ชายแปดของเผ่าซยงหนู เป็นเพราะสาเหตุนั้น สถานการณ์จึงได้เปลี่ยนไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งข่านย่อมตกเป็นของฮ่าวตุ้นไปแล้ว

“ข้าหวังว่าพั่วหนูจะกล้าหาญและจัดการกับฮ่าวตุ้นได้” ถังหลี่พูด

“ฮ่าวตุ้นและจ้าวชูมีแผนที่ดี แต่พั่วหนูและเราไม่ใช่คนโง่ ฮูหยิน เรามารอดูกันดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เว่ยฉิงพูด

พวกเขาเฝ้าดูฮ่าวตุ้นและจ้าวชูอย่างใกล้ชิดด้วยสายตาที่วางเฉย

ไม่กี่วันต่อมา ฮ่องเต้โจวพบว่าราชทูตของแคว้นฉีกำลังอยู่ในแคว้นต้าฉู่จริง พวกเขากำลังหารือปรึกษาเรื่องการเป็นพันธมิตรต่อกัน ในยามนี้สถานะของราชทูตของชาวซยงหนูจึงมีความสำคัญขึ้นมาในทันที

คำขอที่ไร้เหตุผลและเอาแต่ใจ ของราชทูตอย่างเช่นการขออาหารและม้า ต้าโจวไม่เห็นด้วย ทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มถึงทางตัน แต่ในการกินและดื่มของราชทูตนั้นต้าโจวไม่ได้ตระหนี่เลยแม้แต่นิด รุ่ยอ๋องให้การต้อนรับพวกเขาอย่างดี ในขณะที่อยู่ในงานเลี้ยงถังหลี่และอู่อวี้ก็ถูกเอ่ยถึง จ้าวชูเกลียดอู่อวี้ ในขณะที่ฮ่าวตุ้นคิดว่าถังหลี่เป็นคนฆ่ากู้อิ๋น

วันนี้ถังหลี่ออกไปนอกบ้าน นางพบคนเมาสองคนมาขวางทางนาง ชายทั้งสองมีรูปร่างสูงมากกว่าคนปกติ เบ้าตาลึกและดั้งจมูกโด่งเป็นสัน พวกเขามีลักษณะของคนต่างถิ่น ดูเพียงแว่บเดียวก็รู้ว่าเป็นชาวฮั่น พวกเขามารุมล้อมนางมองถังหลี่อย่างมีเจตนาร้าย