ตอนที่ 420 ดูแลชีวิตที่สงบสุขของจักรพรรดิมนุษย์ที่สละโลกแล้ว (2)
“มนุษย์ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าภัยธรรมชาติจะมาถึงหรือไม่ แต่มนุษย์ก็สามารถต่อสู้กับภัยธรรมชาติได้และมนุษย์ยังเป็นผู้สร้างภัยพิบัติให้เกิดขึ้นได้ด้วยกำลังของมนุษย์เองเช่นกัน”
จากนั้นเขาก็เจาะลึกลงไปในความคิดของเขา
“ในยามนี้ เผ่ามนุษย์เป็นตัวเอกในระหว่างสวรรค์และปฐพี ดังนั้น เราจึงควรพึงระวัง พัฒนาตนเอง เชื่อมั่นในตนเอง และพึ่งพาตนเองอยู่เสมอ เราควรใช้ภัยธรรมชาติเพื่อฝึกฝนตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเผ่าพันธุ์อื่นเข้ามาเป็นตัวเอกแทนที่”
สุดท้าย เขาก็ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวความคิดของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
“มนุษย์ตามกฎแห่งโลก เต๋าตามกฎแห่งธรรมชาติ แน่นอนว่า ธรรมชาติไม่ได้เพียงอ่อนโยนเท่านั้น แต่ยังมีความโหดร้ายและความรุนแรงอีกด้วย เผ่ามนุษย์ควรเรียนรู้ที่จะเคารพสวรรค์และปฐพี เพียงเท่านั้น พวกเขาจึงจะรุ่งเรืองและคงเป็นตัวเอกอยู่ได้ตลอดไป”
เช่นเดียวกับที่เขาได้รับคะแนนเต็มใน “การทดสอบแห่งวังจักรพรรดิที่สละโลกแล้ว” ที่ถูกปล่อยออกมา
เขายังสามารถสร้างสูตรเพื่อรวมเนื้อหาอื่นๆ เข้าไปด้วยได้
ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวจบ ต้าอวี่ก็ขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมาเบาๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็อดจะรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ เขาจึงถามว่า “ผู้อาวุโส ผู้น้อยกล่าวอันใดผิดไปหรือไม่?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น คำตอบของเจ้าดีมาก แต่ก็เป็นมาตรฐานเกินไปสักหน่อยจนดูเหมือนว่าเจ้าได้เตรียมคำตอบเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ข้าเลยไม่อาจประเมินได้”
ต้าอวี่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าผ่านข้อนี้ได้แล้ว คำถามที่สองคือ หากวันหนึ่งจักรพรรดิแห่งสวรรค์ต้องการลงไปยังโลกมนุษย์เพื่อเดินท่องไปรอบๆ และสัมผัสชีวิตมนุษย์ในสภาวะต่างๆ เจ้าจะหยุดเขาหรือช่วยเขา? เจ้าเพียงแค่ตอบมาว่าจะหยุดเขาหรือช่วยเขาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เพียงแค่ฟังคำถาม ข้าก็ปวดหัวแล้ว…”
หลี่ฉางโซ่วนิ่งงันเมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องไปใส่ใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่องค์เง็กเซียนดำริเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้น้อย”
“ดีมาก คำถามที่สาม…หากเจ้าถูกภรรยาดุว่าด้วยเรื่องเล็กน้อย เจ้าจะให้อภัยนางหรือโต้กลับ?”
แน่นอนว่า เขาย่อมเลือกให้อภัยนาง!
หลี่ฉางโซ่วเกือบจะโพล่งออกมา แต่แล้ว ก็ตระหนักได้ว่าปัญหานี้อาจไม่ง่ายเช่นนั้น
คำถามแรก ดูเหมือนจะถามถึงภัยธรรมชาติที่เกิดจากจักรพรรดิแห่งสวรรค์ แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นการถามในเรื่องของมนุษย์และธรรมชาติ
คำถามที่สอง ดูเหมือนจะถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิแห่งสวรรค์กับเผ่ามนุษย์ แต่จริงๆ แล้ว มันก็มีนัยบางอย่างว่า น่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ฝูซีที่ทำนายไว้แล้วว่า องค์เง็กเซียนจะลงมายังโลกมนุษย์เพื่อสัมผัสชีวิตมนุษย์
ไม่เช่นนั้น หยางเจี้ยน หลานชายขององค์เง็กเซียนจะมาในช่วงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพได้อย่างไร? องค์เง็กเซียนต้องกลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อฝึกฝนก่อนจะพาน้องสาวกลับไปสู่ศาลสวรรค์ได้
คำถามที่สาม ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดามาก เป็นคำถามที่สามีถูกภรรยาดุว่าได้ถาม…
มันน่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างชายหญิงในเผ่ามนุษย์!
หลี่ฉางโซ่วไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “โต้กลับ เราต้องโต้กลับ”
“โอ้?!”
จักรพรรดิต้าอวี่ตกตะลึง เขาอดจะถามเสียงต่ำออกมาไม่ได้ว่า “ไฉนเจ้าถึงตั้งใจเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น?”
“ตั้งแต่เทพีหนี่วาสร้างมนุษย์ เหล่าบรรพชนได้ตัดสินใจแต่งงาน ชายและหญิงก็ควรจะเท่าเทียมกัน ฝ่ายชายแข็งแรงดี ก็จะทำงานหนัก จัดหาอาหารและเสื้อผ้าให้ครอบครัว ฝ่ายหญิงจะมีความละเอียดอ่อนและพิถีพิถันมากกว่า พวกนางก็จะให้กำเนิดบุตรและช่วยบุรุษทำงานเช่นกัน ทั้งสองต่างได้เลี้ยงดูบุตรด้วยกันเพื่อให้เผ่ามนุษย์สามารถขยายเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด หากมีพลังมากเกินไป ก็จะทำให้เสียสมดุลหยินหยาง หากฝ่ายหนึ่งไม่มั่นคง อีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมไม่มั่นคงเช่นกัน หากเผ่าไม่มั่นคง ทั้งเผ่าพันธุ์ก็จะตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน ดังนั้น หากท่านได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ก็ควรจะตอบโต้อย่างมีเหตุผลเพื่อรักษาสมดุลหยินหยาง!”
ทันใดนั้น ดวงตาของต้าอวี่ก็เปล่งประกายสว่างวาบขึ้นมาขณะกล่าวว่า “สหายเต๋า เจ้ากำลังพูดถึงหลักการแห่งเต๋าใหญ่! ใช่แล้ว สามีภรรยาควรเคารพซึ่งกันและกัน ข้ายังคงเป็นอดีตจักรพรรดิมนุษย์ที่ปกครองเก้าดินแดน ข้าจะถูกสตรีผู้หนึ่งดุว่าทุกวันหลังจากสละบัลลังก์แล้วได้อย่างไรกัน!?!”
สีหน้าของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่ว ซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของเซียนชราแข็งค้างกะทันหัน
จักรพรรดิผู้นี้…
เกิดอันใดขึ้น?
ในขณะนั้น ต้าอวี่ก็ยืนขึ้นและคว้าแขนบางของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วเอาไว้
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า
เขาพูดยิ้มๆ “ไปกันเถิด! สหายเต๋า ตามข้ามา! วันนี้ข้าจะคุยกับนางต่อหน้าเจ้า!”
ทว่าจู่ๆ คำพูดของจักรพรรดิที่สละโลกแล้วก็หยุดลงกะทันหัน และหน้าผากของเขาก็มีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา
ทันใดนั้น ท้องฟ้าภายในรัศมีหลายร้อยลี้รอบๆ ทะเลสาบใหญ่ก็สลัวลงและมืดมิดในทันที หลี่ฉางโซ่ว เงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัวและเห็นร่างที่งดงามยืนอยู่สูงขึ้นไปนับร้อยจั้งบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ขณะที่เหยียดยื่นมือขวาลงไปหาคนสองคนบนเรือลำเล็กด้านล่าง
ต้าอวี่ตัวสั่นและร้องตะโกนว่า “ฮูหยินอย่าลงมือ! มีแขกอยู่!”
“เหอะ!”
เพียงหลี่ฉางโซ่วได้ยินเสียงพ่นลมเย็นยะเยียบมาจากเมฆด้านบน เขาก็รู้สึกว่าพลังเซียนของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาหยุดโคจรไปแล้ว และจักรพรรดิต้าอวี่ที่อยู่ต่อหน้าเขาก็กลายเป็นหินแข็งไปในทันที
ทว่าก่อนที่หลี่ฉางโซ่วจะทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ เขาก็ได้กลายเป็นรูปปั้นหินสองรูปพร้อมกับต้าอวี่ไปแล้ว ทั้งเสื้อผ้าและสมบัติของพวกเขาก็ล้วนเป็นเฉกเช่นกัน
จากนั้น ร่างบนก้อนเมฆก็หายไป แล้วโลกก็กลับมากระจ่างใสอีกครั้ง ในขณะที่ชายสองคนที่อยู่ข้างล่างต่างหลั่งน้ำตาสำนึกผิดในใจ…
ครู่ต่อมา ก็มีสายลมพัดโชย ทำให้เกิดระลอกคลื่นบนผิวน้ำกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย
ครึ่งชั่วยามต่อมา ก็มีวิหคสองตัวผ่านมาหยุดอยู่บนหน้าผากของจักรพรรดิต้าอวี่และหลี่ฉางโซ่วครู่หนึ่ง จากนั้นพวกมันก็กางปีกและบินจากไป “เอ่อ…”
หลี่ฉางโซ่วได้ยินเสียงของต้าอวี่ดังขึ้นในใจของเขาว่า “เทพแห่งท้องทะเล ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าถูกพาดพิงไปด้วย”
“ผู้อาวุโส นั่น…”
“ข้าทำให้ฮูหยินของข้าต้องผิดหวังเสียใจในระหว่างการควบคุมแม่น้ำ ข้าเป็นหนี้นาง จึงไม่อาจโกรธนางได้จริงๆ” ต้าอวี่กระแอมไอสองครั้ง “พลังเวทของนางจะหายไปเองในสามวัน เทพแห่งท้องทะเล เจ้ารีบร้อนหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะรีบช่วยเราสองคนเอง”
“ไม่รีบ ไม่รีบ”
หลี่ฉางโซ่วใจกระตุกไปชั่วขณะหนึ่ง โชคยังดีที่จิตใจของเขาเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกระงับไปด้วย เขาคุยกับต้าอวี่อย่างอึดอัดเล็กน้อยขณะที่ทิ้งจิตส่วนหนึ่งเอาไว้ที่นี่
ในขณะนี้ เขาไม่อาจสื่อสารกับจักรพรรดิต้าอวี่ได้มากนัก นั่นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่น่ากระดากใจมากที่สุดช่วงหนึ่งของจักรพรรดิต้าอวี่…
ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงรู้สึกชื่นชมผู้อาวุโสเซียนหยวนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าจักรพรรดิหวงเซียนหยวนเป็นร่างกลับชาติมาเกิดของเต่าดำใหญ่ในดินแดนเทวะอุดร เขามีบุญที่จะสนับสนุนสวรรค์และสิ่งมีชีวิตแห่งโลกบรรพกาลก็เป็นหนี้กรรมของเขา
หากเป็นผู้อื่น พวกเขาคงไม่อาจทนแบกรับพรเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน
……
เป็นวันที่สองหลังจากที่พวกเขาได้ผ่านพ้นความทุกข์ยากหนักหนามาด้วยกันกับจักรพรรดิต้าอวี่ บนยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วกำลังเฝ้าเตาหลอมโอสถเพื่อปรุงยา
ก่อนหน้านี้เมื่อกลุ่มตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ล่าสมบัติค้นหาที่อยู่ของเหรียญทองแดงลั่วเป่าในดินแดนเทวะมัชฌิมา พวกเขาก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายหลักในขณะที่ได้บรรลุเป้าหมายเล็กอื่นๆ แล้ว
ไม่ต้องเอ่ยถึงบันทึกสมบัติวิญญาณบรรพกาล มันไม่มีคุณค่าที่แท้จริงในทางปฏิบัติใดๆ
หลี่ฉางโซ่วยังรวบรวมสมุนไพรและสมุนไพรวิญญาณบางอย่างได้ในระหว่างทาง และเขาก็สามารถเตรียมการหลอมโอสถประเภท ‘ความเข้าใจ’ เพื่อช่วยผู้อาวุโสว่านหลินหยุนและอาจารย์ของเขาให้ทะลวงฝ่าจุดตีบตันได้
เป็นเพราะต้องเพ่งจิตใส่ใจไปที่ถ้ำเมฆไฟตลอดเวลา หลี่ฉางโซ่วจึงไม่กล้าวอกแวกให้มากเกินไป เขาเพียงกล้าจะศึกษาเต๋าหลอมโอสถที่นั่นเท่านั้น
ขณะที่รู้สึกเบื่อ จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านขึ้นเล็กน้อยจากห้องเดินหมากเล่นไพ่ที่ด้านหลังภูเขา ราวกับว่ามีคนบุกทะลวงเข้ามา…
สัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วมองผ่านชั้นกฎห้ามและเห็นได้ทันที เขาเห็นหลิงเอ๋อร์ กำลังเปล่งประกายด้วยแสงวิญญาณ
ในขณะนั้น ดอกบัวโปร่งใสแปดดอกที่มีแปดกลีบก็ลอยออกมาจากร่างของหลิงเอ๋อร์ เรือนร่างวิจิตรงดงามของนางยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้น และระดับฐานพลังของนางก็อยู่ห่างจากคืนกลับเต๋าวิถีไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฐานเต๋าของนางยังไม่ชัดเจนและมั่นคงพอ หากนางใช้ถุงของขวัญข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ให้เป็นประโยชน์ได้ผลดี อัตราความสำเร็จของการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของนางก็จะอยู่ที่เพียงราวเก้าสิบห้าในร้อยส่วนเท่านั้น
ถุงของขวัญนั้นแข็งแกร่งกว่าที่หลี่ฉางโซ่วเตรียมไว้ให้ตัวเขาเองในตอนนั้นมากนัก
“ดูเหมือนว่า ข้ายังต้องจัดค่ายฝึกบำเพ็ญแล้ว”
ข้าไม่คาดหวังให้เจ้าข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์และทะยานขึ้นสู่เซียน…
แต่เจ้าต้องรอดชีวิต หลิงเอ๋อร์
………………………………………………………………..