หวางซื่อเจียพูดต่อ “ข้าเคยไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามาก่อน ในตอนนั้นข้าก็ได้พบกับสาวน้อยเข้า…นางใช้เวลาเพียงแค่ 6 ปีเท่านั้นก็ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบ นางเป็นผู้มีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แล้วยังไงล่ะ”
โจวยู่ไคเงยหน้ามอง ในตอนนี้นิ้วมือของเขาสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด คอของเขาเหือดแห้ง “พลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์และยังมีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบ…ใน 6 ปีอย่างงั้นเหรอ?” โจวยู่ไคมั่นใจว่าความเร็วในการฝึกยุทธของสาวน้อยคนนี้จะต้องเป็นความเร็วที่ไวที่สุดในหมู่ผู้ฝึกยุทธรุ่นใหม่
เพียงแค่การฝึกฝนร่างกายจะต้องใช้เวลากว่าหลายปี การที่จะเชื่อว่ามีคนฝึกฝนตัวเองโดยใช้เวลาเพียงแค่ 6 ปีก็ฝึกไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไงก็ยากที่จะเชื่อได้อยู่ดี ดูเหมือนว่าโจวยู่ไคจะต้องทำความเข้าใจศาลาปีศาจลอยฟ้าใหม่ซะแล้ว
หมิงซี่หยินกลอกตา ‘เจ้าพวกนี้ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหอยสังข์อีกสินะ?’
ลู่โจวเป็นผู้ที่เงียบมาโดยตลอด ในตอนนั้นเองตัวเขาได้ลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าพวกศิษย์ไม่รักดี” คำพูดของเขาสื่อไปถึงศิษย์ทั้งสองคนอย่างยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตง
หวางซื่อเจียและโจวยู่ไคที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับผงะ
“เจ้าพวกนั้นสามารถจัดการกับหม่าลู่ปิงได้เร็วกว่านี้แท้ๆ การที่จะอยู่ที่นั่นต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลาไปซะเปล่าๆ” ลู่โจวยังคงวิจารณ์ต่อ “พลังสืบสายราชันย์ของยู่เฉิงไห่เป็นพลังที่ใช้โจมตีเป็นวงกว้าง การที่คลื่นกระบี่พลังงานจำนวนมากถูกใช้เพียงเพื่อจู่โจมคนเพียงคนเดียวมันช่างเสียเปล่า ส่วนรากฐานแห่งการฟื้นฟูของยู่ฉางตงจะต้องใช้เวลาในการรวบรวมพลังงานเพื่อปลดปล่อยดาบพลังงานออกมา แม้ว่ามันจะทรงพลังแต่มันก็ยังไม่อาจปิดฉากการโจมตีได้ เจ้านั่นยังคงตั้งใจที่จะปกปิดความแข็งแกร่งที่ตัวเองมีเอาไว้…ถ้าหากทั้งสองคนนั้นยอมร่วมมือกัน จนป่านนี้ก็คงจะฆ่าหม่าลู่ปิงได้นานแล้ว การที่ต่อสู้ยืดเยื้อต่อไปก็มีแต่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย ทั้งสองคนยังเด็กเกินไปจริงๆ”
คำวิจารณ์ของลู่โจวได้ทำให้หวางซื่อเจียและโจวยู่ไคถึงกับพูดไม่ออก ทั้งสองคนที่ได้ฟังแบบนั้นจะไปพูดอะไรได้อีก?
‘ถ้าหากข้ามีศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหมือนกับทั้งสองคนนี้ ข้าก็คงจะยิ้มได้แม้กระทั่งตอนหลับ! แต่ถึงแบบนั้นเขากำลังตำหนิถึงสิ่งที่ศิษย์ทั้งสองคนกำลังทำ? นี่มันอะไรกัน?’
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ชี้ไปทางมณฑลหยาน “ท่านอาจารย์ ตรงนั้นมีกำลังเสริม”
โจวยู่ไคเหลือบมองไปทางทิศทางนั้น “พวกนั้นไม่ใช่สาวกของสถานศึกษาผืนฟ้า เหว่ยซู่หยานเองก็น่าจะอยู่ในมณฑลเหลียง!”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นสับสน “มณฑลเหลียงอย่างงั้นเหรอ?”
โจวยู่ไครู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังพูดมากไป และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงรีบเอามือปิดปาก
หมิงซี่หยินพูดต่อ “อันที่จริงการที่เหว่ยซู่หยานจะนำทัพบุกตีเมืองมณฑลเหลียงจากพรมแดนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยากที่จะพิชิตมณฑลเหลียงได้อยู่ดี…ในตอนนี้ยังมีสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่จากสำนักอเวจีทั้งสามปกป้องมณฑลเหลียงเอาไว้ เว้นแต่ว่า…เหว่ยซู่หยานจะร่วมมือกับชนเผ่าอื่นเท่านั้นถึงจะพิชิตมณฑลเหลียงได้”
ทั้งโจวยู่ไคและหวางซื่อเจียต่างก็พูดไม่ออก
นับตั้งแต่โบราณกาล การสมรู้ร่วมคิดกับชนเผ่าอื่นถือเป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ เมื่อใดก็ตามที่มีคนพยายามทำผิดร้ายแรง ชื่อของคนคนนั้นก็จะถูกจารึกให้กลายเป็นชื่อของผู้ทรยศชั่วลูกชั่วหลาน
…
ภายในเมืองมณฑลหยาง
กองทัพทหารหุ้มเกราะและกองกำลังทหารม้ากำลังมุ่งหน้ามาทางกำแพงเมืองทางด้านตะวันออก
ในตอนนั้นเองก็มีรถม้าลอยฟ้าปรากฏขึ้น มันไม่ใช่รถม้าที่ใหญ่โตอะไร แต่จากรูปลักษณ์ที่มี เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เป็นเจ้าของเป็นผู้ที่มีฐานะไม่ธรรมดา
มีผู้ฝึกยุทธกว่าหลายคนตามรถม้าลอยฟ้ามาติดๆ ทุกคนต่างก็สวมใส่ชุดเกราะและหน้ากากสีดำ
…
“อัศวินดำอย่างงั้นเหรอ?”
“ท่านอาจารย์ นั่นจะต้องเป็นอัศวินดำแห่งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิดแน่”
หวางซื่อเจียพูดต่อ “หลังจากที่เล้งลั่วหัวหน้าของเหล่าอัศวินดำจากไปแล้ว อัศวินดำก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เคยเป็น ไม่ว่าจะยังไงก็ตามข้าก็ยังอยากที่จะรู้อยู่ดี…ใครกันแน่ที่จะเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินดำคนใหม่?”
โจวยู่ไคส่ายหัวก่อนจะพูดต่อ “บอกตามตรงว่าข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
ลู่โจวยังคงมองต่อไป
…
ภายในมณฑลหยาน
ยู่ฉางตงและยู่เฉิงไห่กำลังเผชิญหน้ากันจากในระยะไกล
หม่าลู่ปิงกำลังยืนอยู่ระหว่างสองคน ตัวเขาได้แต่จ้องมองศิษย์ทั้งสองแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างประหม่า ท้ายที่สุดแล้วหม่าลู่ปิงก็ลงสู่พื้น
ยู่เฉิงไห่เริ่มต้นพูดอีกครั้ง “ศิษย์น้องรอง ในเมื่อกำลังเสริมก็มาถึงที่นี่แล้ว ให้ข้าได้ฆ่าหม่าลู่ปิงซะเถอะ ถ้าขืนมัวชักช้าสถานการณ์การต่อสู้ก็คงจะวุ่นวายมากขึ้นแน่ ทำไมพวกเราไม่พักการแข่งขันเอาไว้ก่อนล่ะ?”
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่พูดถึงเช่นนี้ ข้าจะปฏิเสธได้ยังไงกัน? สถานการณ์เริ่มที่จะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น พวกเรามาจบเรื่องกันเถอะ!”
“ดี!”
ทั้งสองคนที่ทะเลาะกันมาโดยตลอดในตอนนี้ทั้งคู่กับเลือกที่จะประนีประนอมกัน?
ในตอนนั้นเองหม่าลู่ปิงก็เริ่มรู้สึกแย่มากยิ่งขึ้น ตัวเขารู้ว่าโอกาสเดียวที่จะรอดได้ก็คือการหนี หม่าลู่ปิงไม่รอช้าได้ใช้เท้าทั้งสองข้างยันเข้ากับพื้นอย่างรุนแรง ร่างกายของเขาเปล่งแสงสีทองออกมา ในตอนนี้หม่าลู่ปิงกำลังใช้พลังงานปกคลุมร่างกายอีกครั้ง หม่าลู่ปิงได้พุ่งไปที่กำแพงใกล้ๆ โดยความเร็วสูงสุด
ตู๊ม!
ยู่ฉางตงไม่ได้มองไปที่หม่าลู่ปิง แต่ถึงแบบนั้นดาบยืนยาวก็เริ่มออกเคลื่อนไหว
กระบี่นิลโลหิตเองก็เช่นกัน อาวุธทั้งสองชิ้นต่างก็พุ่งออกมาจากตัวของผู้เป็นเจ้าของ
คราวนี้กระบี่และดาบไม่ได้เข้าปะทะกัน พวกมันต่างก็เคลื่อนที่กันเป็นเส้นขนาน ในขณะที่พุ่งออกไปอาวุธทั้งสองชิ้นก็สร้างกระบี่และดาบพลังงานจำนวนมากขึ้น
กระบี่พลังงานเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ คลื่นยักษ์ที่จะบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง ในขณะที่ดาบพลังงานก็ไม่ได้ต่างอะไรจากฝูงดาวตก มันเป็นเหมือนกับฝูงดาวตกที่สามารถแยกผืนปฐพีให้เป็นสองส่วนได้
ทั้งกระบี่และดาบต่างก็โจมตีในเวลาเดียวกัน!
ตู๊ม! ตู๊ม!
กระบี่พลังงานและดาบพลังงานผสานกันก่อนที่จะเจาะไปยังด้านหลังของหม่าลู่ปิง
ยู่ฉางตงได้ดึงมือกลับมา ท้ายที่สุดแล้วดาบยืนยาวก็กลับเข้าสู่ฝัก
กระบี่นิลโลหิตได้หมุนไปบนอากาศก่อนที่จะเฉือนไปที่คอของหม่าลู่ปิง
ยู่เฉิงไห่ที่เห็นแบบนั้นบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ตัวเขาได้หันมาพูดกับยู่ฉางตง “ศิษย์น้องรอง ยังไงซะเจ้าก็เป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบ ไว้เมื่อเจ้ามีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเมื่อไหร่พวกเราไว้ค่อยประลองกันอีกครั้งก็แล้วกัน”
“ท่านพูดได้ตรงใจข้าจริงๆ”
ยู่เฉิงไห่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ตัวเขาเลือกที่จะบินไปอีกทิศทางหนึ่งก่อนที่จะคว้าหัวของหม่าลู่ปิงไป
ยู่ฉางตงเองก็เช่นกัน ตัวเขาเลือกที่จะบินไปยังอีกทิศทางด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
ในขณะเดียวกันกำลังเสริมอย่างทหารรักษาการณ์ก็เคลื่อนที่ไปยังกำแพงทางด้านตะวันออก
เหล่าอัศวินดำและทหารหุ้มเกราะทั้งหมดได้มาถึงที่หมายแล้ว
“หม่าลู่ปิงอยู่ที่ไหนกัน?” เสียงอันแหบห้าวดังมาจากบนรถม้า
ในเวลาเดียวกันยู่เฉิงไห่ก็บินไปหาพวกเขา
ทั้งอัศวินดำและทหารหุ้มเกราะทั้งหมดต่างก็จ้องมองยู่เฉิงไห่อย่างกังวล
ยู่เฉิงไห่กำลังยืนอยู่บนกระบี่นิลโลหิตของตน ตัวเขาหันกลับมาก่อนที่จะหยุดเคลื่อนไหว
มีอะไรบางอย่างหลุดมาจากมือของยู่เฉิงไห่
ตุ๊บ!
ศีรษะของใครบางคนได้กลิ้งลงบนรถม้าลอยฟ้า เลือดที่ไหลออกจากศีรษะนั้นยังคงไหลริน
ทุกๆ คนที่เห็นศีรษะต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ท่านแม่ทัพ!”
“ท่านแม่ทัพ!”
ยู่เฉิงไห่เอามือไขว้หลังก่อนที่จะเหลือบมองไปยังรถม้าลอยฟ้าอย่างดุดัน “นี่ก็คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่กล้าใช้ชาวเมืองคนธรรมดาทั่วไปให้มายุ่งเกี่ยว…ข้าเคยบอกแล้วว่าสำนักอเวจีจะไม่ทำร้ายคนธรรมดา ข้าอยากที่จะขอคำอธิบายกับองค์จักรพรรดิเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้เป็นการส่วนตัว” เสียงของยู่เฉิงไห่ดังกังวาน เสียงของเขาเป็นเหมือนกับเครื่องปลอบโยนสำหรับชาวเมือง
สำหรับคนธรรมดาอย่างชาวเมือง ไม่ว่าใครจะอยู่บนบัลลังก์ สิ่งที่พวกเขาต้องการมีเพียงอย่างเดียว สิ่งนั้นก็คือการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี แน่นอนว่าไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ยู่เฉิงไห่พูด คำพูดของยู่เฉิงไห่ได้เพิ่มขวัญและกำลังใจของพวกเขา ทุกๆ คนในตอนนี้ได้แต่กล่าวโทษหม่าลู่ปิงและราชสำนัก
เสียงอันแหบห้าวดังมาจากรถม้าอีกครั้ง “การจับชาวเมืองเป็นตัวประกันทำให้หม่าลู่ปิงสมควรตายแล้ว ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งดินแดนหยานจะต้องประหารชีวิตทั้งครอบครัวของหม่าลู่ปิงแน่ แต่ถึงแบบนั้นเรื่องในครั้งนี้ก็ไม่อาจหักล้างได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้สำนักอเวจีไปเพราะเรื่องนี้แน่”
องค์รัชทายาท?
หลายคนประหลาดใจและสับสนเกี่ยวกับการปรากฏตัวขององค์รัชทายาท
ในเวลานั้นเองก็มีใครบางคนปรากฏตัวออกมาจากรถม้า คนคนนั้นสวมเสื้อคลุมลายปักอันงดงามทั้งตัว สีหน้าของเขามั่นคง แน่วแน่ และยังเยือกเย็น คนคนนั้นจ้องมองไปที่ยู่เฉิงไห่ด้วยจิตสังหาร เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นเขาก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า ใครคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือหลิวจือ องค์รัชทายาทแห่งราชสำนักดินแดนหยาน
การปรากฏตัวของหลิวจือได้ช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับทหารทั้งหลาย
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับพวกกบฏ ”..
ยู่เฉิงไห่ไม่คิดว่ารัชทายาทอย่างหลิวจือจะปรากฏตัวที่นี่ “ด้วยกองทัพแค่นี้น่ะเหรอ?”
แม้ว่ารัชทายาทหลิวจือจะเป็นผู้ฝึกยุทธอัจฉริยะก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ ยิ่งไปกว่านั้นหม่าลู่ปิงในตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว เหว่ยซู่หยานเองก็ยังอยู่ที่มณฑลเหลียง อะไรกันที่ทำให้หลิวจือมั่นใจมากพอที่จะเผชิญหน้ากับสำนักอเวจีได้?
หลิวจือลอยสูงขึ้น ตัวเขาลอยสูงขึ้นจนอยู่ในระดับเดียวกับยู่เฉิงไห่
อัศวินดำทั้งสี่คนและอัศวินดำที่เหลือต่างก็ลอยขึ้นมา
หลิวจือมองไปที่ยู่เฉิงไห่ก่อนที่จะพูดตอบกลับมา “ถูกต้องแล้ว…แต่มันไม่ได้มีเพียงแค่นั้นหรอกนะ” หลิวจือที่พูดจบก็ได้โบกแขนขวา
ในท้องฟ้าอันไกลโพ้นมีผู้ฝึกยุทธชุดขาวนับไม่ถ้วนกำลังบินเข้ามาหา
ผู้ฝึกยุทธชุดขาวทั้งหลายปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางม่านหมอกระหว่างหุบเขา ทุกคนกำลังมุ่งหน้ามาจากทางตะวันตก เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ถึงสถานการณ์ทุกอย่างในเมืองมณฑลหยานดี
เมื่อผู้ฝึกยุทธกว่าหลายพันคนปรากฏตัวขึ้น ความมั่นใจของทหารทั้งหลายก็เพิ่มขึ้น
ในตอนนั้นเองสีวู่หยาที่อยู่บนรถม้าก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน “พวกเขามาแล้วสินะ…”
…
เม้งหนานเฟ่ย ประมุขแห่งสถานศึกษาผืนฟ้าได้บินทางทิศใต้เป็นเวลานานก่อนที่จะเคลื่อนไปทางทิศตะวันออก
“ท่านประมุข พวกเราใกล้ที่จะถึงมณฑลหยานแล้ว!”
“เอาล่ะ ฟังคำสั่งข้าให้ดีเมื่อพวกเราบินไปถึงเมืองมณฑลหยานแล้ว!”
“ครับ ท่านประมุข!”
เมื่อผู้ฝึกยุทธชุดขาวกว่าหลายพันคนบินไปทางตะวันออกและเข้าสู่เมืองมณฑลหยานได้ หนึ่งในนั้นก็ชี้ไปทางยอดเขาที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขา “ท่านประมุข นั่นมันอะไรกัน?”
ในตอนแรกเม้งหนานเฟ่ยไม่ได้สนใจคำพูดของสาวกคนนั้น ตัวเขายังคงบินต่อไปด้วยความเร็วสูง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ตัวเขาก็มองเห็นพลังอวตารขนาดใหญ่ลอยอยู่บนยอดเขา จากความสูงของร่างอวตารนั้นมันคงจะมีความสูงได้ราวๆ 150 ฟุต ไม่นานนักดอกบัวทองคำก็เริ่มปรากฏขึ้นมา
แสงสว่างได้ส่องมาจากทางตะวันออกในทันที!
สาวกกว่าหลายพันคนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ในตอนนี้ทุกคนรู้สึกกดดันราวกับถูกใครบางคนกำลังจ้องมอง
เมื่อเม้งหนานเฟยสังเกตเห็นพลังนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น “หยุด!”
สาวกกว่าหลายพันคนหยุดเคลื่อนไหวในทันที
เวลากว่า 10 วินาทียาวนานเหมือนกับ 10 ปี ทุกวินาทีกำลังผ่านไปอย่างช้าๆ
ไม่มีสาวกของสถานศึกษาผืนฟ้าคนไหนกล้าขยับหรือส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเม้งหนานเฟยก็สั่งการขึ้น “ถอย!”