บทที่ 549 มีอะไรเรียกข้าได้ตลอด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 549 มีอะไรเรียกข้าได้ตลอด

บทที่ 549 มีอะไรเรียกข้าได้ตลอด

ครั้นหลินซือเห็นผลไม้หลากสีเหล่านั้น นางถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พี่อาเถิง ข้าอยากกินหลายอย่างเลย! ท่านดูสิ ลูกสีแดงนี้ เห็นแล้วน่ากินยิ่งนัก แล้วก็ลูกนั้น สีม่วงโดดเด่น! พี่อาเถิงหาสถานที่ดี ๆ แบบนี้ได้เก่งมาก!”

ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นเด็กสาวกำลังเบิกบานใจตรงหน้า ก็รู้สึกว่าครั้งนี้ไม่สูญเปล่าโดยแท้จริง นานมากแล้วที่ไม่เห็นนางดีใจเช่นนี้

เรื่องการเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้ก็ยุ่งเสียเหลือเกิน แม้ว่านางจะไม่พูด แต่ตัวเองรู้ว่าในใจของนางเป็นกังวลมาก

เจี่ยงเถิงเองก็ไม่เข้าใจ เห็นอยู่ว่านางใจดีเพียงนี้ ก็ยังมีคนคิดทำลายนางอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังปล่อยข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง เจี่ยงเถิงรู้วิธีเอาคืนผู้ก่อเหตุคนนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะสงบสติอารมณ์ลง แล้วคิดหาทางพานางออกมาเที่ยวเล่น

“เจ้าวิ่งช้าลงหน่อย ประเดี๋ยวก็ลื่นล้มหรอก ทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า ไม่มีใครมาแย่งเจ้าหรอก เจ้านะเจ้า แค่ได้เจอของกินก็ยอมจำนนแล้ว” เจี่ยงเถิงพูดด้วยความเป็นห่วง

หลินซือหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในป่าผลไม้ ไม่นานเจี่ยงเถิงก็เก็บผลไม้เหล่านั้นมาถือไว้จนเต็มมือ

“กรี๊ด!”

หลินซือร้องเสียงหลง

ครั้นเจี่ยงเถิงได้ยินดังนั้น ความเป็นห่วงเกิดขึ้นทันใด จากนั้นก็วิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว “อาซือ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? ให้ข้าดูหน่อยสิ!” พูดพลางถอดรองเท้าของหลินซือ

ที่แท้ก็เหยียบก้อนหินพลาดท่าจนเท้าพลิกนี่เอง

หลินซือเจ็บปวดจนต้องกัดฟัน และไม่ลืมคว้ามือของเจี่ยงเถิงไว้ “ช้าก่อน! พี่อาเถิง ว่ากันว่าเท้าของสตรีไม่ควรให้ผู้อื่นเห็น มิเช่นนั้น…จะถูกกล่าวหาว่าไร้อารยธรรม”

เจี่ยงเถิงปวดใจอยู่ภายใน ไฉนเลยอาซือในอดีตจะมีความคิดเช่นนี้ คิดแต่เรื่องที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนเสมอ เรื่องการเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้ บัดนี้ได้กลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไปแล้ว

อาซือไม่ได้พูดมันออกมา แต่ในใจอาจจะรู้สึกลำบากใจก็ได้

สมัยนี้ อคติและข้อจำกัดของผู้หญิงมีมากเกินไป คำติฉินนินทาอาจจะโจมตีจนเกือบคร่าชีวิตของสตรีคนหนึ่งได้

เจี่ยงเถิงเข้าใจความโหดเหี้ยมของโลกใบนี้อย่างลึกซึ้ง แต่ผู้อื่นเขาไม่สนใจ เขาสนใจแต่อาซือของตัวเองเท่านั้น

เขาไม่อยากให้คนรักที่กุมหัวใจเขาไว้คนนี้ถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์สาดเสียเทเสียเช่นนี้ และยิ่งไม่อยากเห็นคนในใจของตัวเองต้องบาดเจ็บเพราะคำครหาเหล่านี้

“อาซือ ข้ารู้กฎระเบียบและประเพณีนั้นดี แต่ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บ ร่างกายของเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าดูอาการบาดเจ็บของเจ้าให้ชัดเจน กลับเรือนไปเท้าของเจ้าจะบวมกลายเป็นเท้าหมูเลยนะ”

เจี่ยงเถิงมองหลินซือพลางเอ่ยขู่เล็กน้อย

ความจริงแล้ว อาซือมักให้ใจที่ไร้เดียงสานี้กับผู้อื่นอย่างง่ายดายเสมอ นางน่ารักมาก เจี่ยงเถิงคิดเช่นนี้มาตลอด

เจี่ยงเถิงไม่เคยเห็นท่าทาง ‘ดุร้าย’ ของอาซือมาก่อน

หลินซือร้องเสียงหลงหนึ่งเสียง “กลายเป็นเท้าหมู! น่าเกลียดยิ่งนัก! โอ๊ย…พี่อาเถิง ท่านช่วยดูให้ข้าหน่อย ข้าปวดเหลือเกิน”

เด็กสาวผ่อนคลายลงยามอยู่ต่อหน้าเขา ไม่คิดเรื่องเหล่านั้นแต่อย่างใด

ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นท่าทางน่ารักเช่นนี้ของนาง ก็อดยิ้มและปวดใจในเวลาเดียวกันไม่ได้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ถอดรองเท้าของนาง ถกกางเกงของนางขึ้นอย่างอ่อนโยน กระทั่งเห็นว่าบริเวณข้อเท้านั้นเกิดรอยฟกช้ำและบวมมาก

“อาซือ เท้าพลิกทำให้กระดูกบริเวณข้อเท้าเคลื่อน จะเดินไม่ได้สักสองสามวัน เจ้าต้องพักผ่อนอยู่ในเรือน กลับไปข้าจะไปตามหมอมาจัดยาให้เจ้า ช่วยนวดให้เลือดไหลเวียนได้ดีให้กับเจ้า ไม่นานก็ไม่ปวดเพียงนั้นแล้ว” เจี่ยงเถิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย

ครั้นหลินซือได้ยินว่าตัวเองจะออกไปเล่นข้างนอกไม่ได้ น้ำเสียงดูเศร้าสร้อยลงทันที “หา? ออกไปเล่นไม่ได้หรือ? ไม่ง่ายเลยนะที่ข้าจะได้ออกมาเที่ยวเตร่ข้างนอก ออกไปข้างนอกไม่ได้แล้วมันจะสนุกอะไร! รู้เช่นนี้ข้าไม่ตามท่านออกมาเสียแต่แรกก็ดี โอ๊ยเจ็บชะมัด”

เจี่ยงเถิงอุ้มหลินซือขึ้นมา กำลังจะเดินลงเขา จู่ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย พลันพบว่าโจรกลุ่มใหญ่แห่กันมาเก็บผลไม้กันที่นี่

“หัวหน้าใหญ่ เราไม่ได้ทำการค้ามานานมาแล้ว เหล่าพี่น้องของเราพากันหิวโซเลยต้องมาเก็บผลไม้ที่นี่กิน ถ้าถูกพวกชาวบ้านรู้เข้า เกรงว่าคงนำปัญหาใหญ่หลวงมาให้เราเป็นแน่”

โจรหนึ่งในนั้นพูดขึ้น

คนที่ถูกเขาเรียกว่าหัวหน้าใหญ่ด้านหน้าสุด กลับดูท่าทางสุภาพเรียบร้อย ไม่มีความเป็นโจรโหดเหี้ยมแต่อย่างใด เหมือนกับนักปราชญ์ที่อ่อนแอคนหนึ่ง

“เหล่าพี่น้องที่ไปเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีที่แล้วต่างช่วยพวกเขาไว้ตั้งมากมาย พวกชาวบ้านคงอนุญาตให้พวกเรามาเด็ดผลไม้ที่นี่กินได้ตามใจชอบ แม้ว่าเราจะถูกเรียกว่าโจรภูเขา แต่เราก็ต้องเป็นโจรภูเขาที่มีหลักการ ไม่ปล้นทรัพย์ของพวกชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้น เล่นงานแค่ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง เข้าใจไหม?” หัวหน้าใหญ่อธิบายยาวเหยียด

ทุกคนต่างรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล จึงค่อย ๆ เข้าใจ

เจี่ยงเถิงอุ้มหลินซือยังไม่ทันได้ซ่อนตัว ก็ต้องปะทะกับพวกเขาเสียก่อน

ทุกคนต่างพากันสงสัย หัวหน้าใหญ่จึงเดินออกมาถาม “ผู้มาเยือนคือใคร? บุกรุกเข้ามาในสวนผลไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าไม่ให้เกียรติเรา!”

เจี่ยงเถิงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเมื่อครู่ เดาได้ว่าหัวหน้าใหญ่ผู้นี้น่าจะไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล จึงเดินรุดหน้าพลางกล่าวว่า “พี่ชาย ข้ามาเที่ยวในชนบทที่อยู่ในละแวกนี้ พวกชาวบ้านเห็นว่าเราคงเบื่อที่ต้องล่องอยู่ในทะเลสาบ จึงให้เรามาดูผลไม้ในสวนแห่งนี้ แล้วเด็ดกินได้ตามใจชอบ อีกอย่างสวนผลไม้ที่นี่ก็ค่อนข้างลึกลับ เรามาไม่ได้หรอกถ้าไม่มีคนชี้ทาง”

ครั้นหัวหน้าใหญ่ได้ยินเขาอธิบายเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล จึงพยักหน้าและพูดว่า “แล้วสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดเจ้าคือฮูหยินของเจ้าใช่หรือไม่?”

เจี่ยงเถิงมองหลินซือ ส่งสัญญาณให้นางอย่าเป็นกังวล แล้วกลั้วหัวเราะออกมา “ถูกต้อง ข้าพาภรรยามาเที่ยวเล่นที่นี่ แต่กลับไม่คิดว่าฮูหยินจะตื่นเต้นเกินไปเลยไม่ทันระวังจนเท้าพลิกเข้า การเดินลงเขาเช่นนี้ไม่สะดวกนัก ข้ากำลังรีบร้อนบังเอิญเจอพวกท่านเสียก่อน”

หลินซือได้ยินเจี่ยงเถิงบอกว่าตัวเองเป็นฮูหยินของเขาก็นึกเคืองนัก จึงออกแรงหยิกแผ่นหลังของเขา เจี่ยงเถิงทำได้เพียงอดทนต่อความเจ็บปวดและพูดจนจบ

หัวหน้าใหญ่ได้ยินเจี่ยงเถิงพูดเช่นนี้ ก็หัวเราะลั่น “ฮ่า ๆๆ ข้าชอบเจ้าที่แสดงความรู้สึกที่มีต่อกันอย่างชัดเจนที่สุด เจ้าช่างแสนดีกับฮูหยินของเจ้าเช่นนี้ คิดว่าคงเป็นคนมีน้ำใจ สหายอย่างเจ้า ข้ากู้อันผิงจะสงบศึกให้แล้วกัน!”

เจี่ยงเถิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูท่าเขาจะเดาไม่ผิด หัวหน้าใหญ่ผู้นี้ไม่ใช่โจรทั่วไปแน่นอน ถ้าผู้อื่นเห็นการแต่งกายของเขาและอาซือจะต้องจับตัวพวกเขาไว้ แล้วพาไปเรียกค่าไถ่แน่นอน

“สหายกู้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ข้าเจี่ยงเถิงได้เป็นสหายของเจ้านับว่าเป็นความโชคดีที่สุดในสามชาติโดยแท้จริง! ว่าแต่สหายกู้ ฮูหยินของข้าเท้าพลิกเช่นนี้ คงเดินเหินไม่สะดวก ไม่ทราบว่าสหายกู้จะสะดวกหรือไม่ถ้า…” เจี่ยงเถิงยังไม่ทันพูดจบก็ถูกกู้อันผิงตัดบทไปเสียก่อน

“เฮ้ ฮูหยินของสหายเจี่ยงบาดเจ็บ ไม่สู้ไปพักในหมู่บ้านของข้าสักสองวัน ที่นั่นมีหมอและยาชั้นดี รักษาเพียงสองวันก็ดีขึ้นแล้ว” กู้อันผิงตบอกเชิญชวน

เจี่ยงเถิงคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับอย่างง่ายดายเช่นนี้ “ขอบคุณน้ำใจของสหายกู้มาก คงต้องรบกวนท่านนำทางแล้ว!”

หลินซือซบอยู่ในอ้อมกอดของเจี่ยงเถิง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ครั้นได้ยินพวกเขาเรียกตนว่าฮูหยิน ตัวเองยังเป็นเด็กสาวที่ไม่ได้ออกเรือนเลยนะ! เหตุใดต้องมาเจอสถานการณ์เช่นนี้

กู้อันผิงโบกมือไปมา ลูกน้องที่อยู่ข้างกายจึงแบกเฉลียงเข้ามา “สหายเจี่ยงให้ฮูหยินของเจ้านั่งลงในนี้เถอะ ปกติเวลาออกนอกหมู่บ้านข้าจะไม่ให้ลูกน้องนำติดตัวมา แต่ใครจะรู้เล่าว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์จากมัน”

เจี่ยงเถิงพยักหน้า แล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็วางหลินซือลงบนเกี้ยว จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “อาซืออย่ากลัว ข้าอยู่ข้างกายเจ้า ข้าเห็นพวกเขาไม่เหมือนคนเลว เจ้าวางใจ มีอะไรให้เรียกข้าได้เสมอ”

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อะไรคือได้เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเหยาเอ้อหลางแล้วหน้าแดงคะซวีจ้าว เรือมิตรภาพนี้มันดีจริงๆ

น้องลู่เหยาน่าสงสารมาก ทำเพื่อคนอื่นเพราะอยากให้คนอื่นยอมรับและไม่มองว่าตัวเองไร้ประโยชน์ แต่ไม่เคยทำเพื่อหัวใจของตัวเองเลย

อยากได้คนแบบเจี่ยงเถิงจังค่ะ เขิน ดูแลเอาใจใส่อาซือดีมากเลย แถมยังไม่บังคับจิตใจกันด้วย อาซือรีบฉลาดต่อความรู้สึกของพี่เถิงสักทีเถอะ พลาดคนนี้ไปแล้วหาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ

ไหหม่า(海馬)