พระชายาเอกยืนอยู่ที่ด้านนอกตรงระเบียงห้อง เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นผลักประตูเปิดออกนางก็ตกตะลึงเล็กน้อย
อวี้จิ่นหันไปพยักหน้ากับพระชายาเอกว่า “พี่รองอยู่ด้านใน”
กล่าวจบก็เดินจากไป
พระชายาเอกลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาเดินเข้าไปด้านใน
ไท่จื่อยังคงอยู่ในท่วงท่าหันศีรษะไปจ้องมองประตูทางด้านหลัง บัดนี้ท่าทางของเขาทั้งตกใจและโกรธ เนื่องจากยังไม่ได้นำกางเกงขึ้นสวมใส่ บั้นท้ายแสดงออกมาให้แก่พระชายาเอกเห็นซึ่งไม่น่าดูนัก
“เจ้ามาได้อย่างไร!” แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ไท่จื่อก็ค่อนข้างจะรักษาหน้าตาตนเอง ท่าทางอันอัปลักษณ์ไม่น่ามองเช่นนี้ เขาไม่อยากให้พระชายาเอกได้เห็นมา
พระชายาเอกเก็บสีหน้าเมื่อครู่ลงอย่างรวดเร็วแล้วเดินตรงเข้าไปข้างกายไท่จื่อกล่าวว่า “ข้ามารับใช้ดูแลฝ่าบาท”
แต่เมื่อครู่เนื่องจากมีเยี่ยนอ๋องอยู่ด้านในด้วยจึงทำให้ไม่สะดวกนัก นางจึงทำได้เพียงรออยู่ที่ด้านนอก ในฐานะภรรยาจะให้นางยืนมองอยู่ด้านข้างได้อย่าง
“เจ้าได้พบกับเจ้าเจ็ดหรือไม่” โอสระทายาทเอ่ยถาม
“เมื่อครู่เยี่ยนอ๋องเพิ่งจะเดินทางออกไปเพคะ”
สีหน้าของไท่จื่อดูมืดมนดุจดั่งเมฆฝน เขากัดฟันกล่าวว่า “เจ้าเจ็ด เจ้าสารเลว!”
พระชายาเอกเม้มริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางคิดได้ว่าในวันนี้ทั้งสองเดินทางมาที่จวนเยี่ยนอ๋องเพื่อที่จะอวยพรร่วมเฉลิมฉลองอายุหนึ่งเดือนของพระธิดาเยี่ยนอ๋อง หากว่าเกิดเรื่องขึ้นคงจะไม่ดีแน่ๆ ดังนั้นจึงเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ฝ่าบาท โปรดใจเย็นเถิด แม้สุนัขตัวนั้นจะเป็นสุนัขที่เยี่ยนอ๋องเลี้ยงเอาไว้ แต่ตอนที่มันกัดท่าน เยี่ยนอ๋องหาได้อยู่ข้างกายมันไม่ เรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษเยี่ยนอ๋องได้เสียโดยตรง”
พระชายาเอกหวนนึกถึงภาพที่สุนัขตัวโตพุ่งเข้าไปกัดไท่จื่อ ความรู้สึกที่นางมีต่อเอ้อร์หนิวก็ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
“เจ้าจะไปรู้สิ่งใดเล่า!” ไท่จื่อตะโกนออกมาหน้าเขียวหน้าเหลืองด้วยความโมโห
พระชายาเอกมองดูไท่จื่ออย่างเงียบๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อสักครู่ เจ้าเจ็ดสารเลวนั่นทำสิ่งใด”
พระชายาเอกเหลือบมองไปที่บั้นท้ายของไท่จื่อ
ไท่จื่อโมโหเสียจนแทบหายใจไม่ออก “เจ้ามองที่ใดกัน!”
สตรีนางนี้ ในสมองคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ นางคิดว่าเจ้าเจ็ดจะกัดบั้นท้ายของเขาเช่นเดียวกับเอ้อร์หนิว?
อวี้จิ่นซึ่งเดินไกลออกไป จู่ๆ ก็จามขึ้น เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดจมูกทำท่าทีหงุดหงิด
ไท่จื่อ เจ้าลูกหมานั่นคิดอยากจะได้เอ้อร์หนิวของเขา เขาคิดไม่ถึงเสียจริง
ภายในห้อง ไท่จื่อยิ่งคิดยิ่งโมโห “เจ้าเจ็ดมันกล้าข่มขู่ข้า!”
“เยี่ยนอ๋องข่มขู่ท่านอย่างไรหรือ” เรื่องที่เยี่ยนอ๋องข่มขู่ไท่จื่อ พระชายาเอกไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
เนื่องจากน้องสามีของนางผู้นี้แตกต่างจากคนอื่น…และหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงไม่อาจใช้วิธีอันน่าอัศจรรย์เช่นนั้นช่วยเหลือฉุนเกอเอ๋อร์
“เขากล้ากล่าวกับข้าว่าอย่าได้คิดอยากได้ของของเขา ข้าก็เพียงแค่อยากได้สุนัขตัวนั้นของเขา ไม่ใช่ว่าอยากได้ภรรยาของเขาสักหน่อย เจ้าฟังเข้าสิว่าเขากล่าวสิ่งใดออกมา!” ไท่จื่อกล่าวด้วยความโกรธเคืองและโมโหว่า “ข้าเป็นถึงไท่จื่อ ข้าเพียงต้องการสุนัขจากเขาตัวหนึ่งจะเป็นไรไป!”
เมื่อในอนาคตเขาขึ้นนั่งในตำแหน่งแล้วอย่างมั่นคง ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของเขา ยังมีคนที่โง่เง่าเช่นนี้อยู่อีกหรือ
พระชายาเอกรู้สึกอับอายยิ่งนัก นางสูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นถึงไท่จื่อ หากท่านชื่นชอบสุนัข จะเลี้ยงสุนัขสักกี่ร้อยตัวก็ย่อมได้ เหตุใดจึงต้องจ้องอยากได้สุนัขของผู้อื่น”
“เจ้าจะไปรู้อะไรเล่า!” ไท่จื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโมโหแล้วตะโกนใส่พระชายาเอก
ต่อให้เลี้ยงสุนัขมากมายเพียงไรจะเหมือนเอ้อร์หนิวได้หรือ
พระชายาเอกขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ว่าอย่างไร การที่ไท่จื่อทำเช่นนี้ก็ดูเสียมารยาท”
“พอเถิด ยาแห้งแล้ว ข้าจะลุกขึ้น” ไท่จื่อไม่อยากนั่งฟังพระชายากล่าวพร่ำเพรื่อ จึงพยายามจะลุกขึ้น
ข้าหลวงรีบวิ่งเข้าไปสวมกางเกงให้แก่ไท่จื่ออย่างระมัดระวัง
ไท่จื่อลองเดินออกไปสองก้าวและพบว่าอาการเจ็บปวดแผดร้อนบริเวณบั้นท้ายจางหายไปแล้ว เขาจึงปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ กล่าวว่า “ไปกันเถิด ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะได้ออกจากวัง จะให้มานั่งอุดอู้อยู่ในนี้คงไม่ดี ข้ายังอยากจะเห็นว่าธิดาของเจ้าเจ็ดรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร”
อวี้จิ่นกลับไปยังสถานที่จัดงาน ทุกคนต่างเข้ามารายล้อมเอ่ยถามว่า “ไท่จื่อเป็นเช่นไรบ้าง”
“ไท่จื่อหรือ…” อวี้จิ่นยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงแต่อย่างใด”
หลู่อ๋องยกมือขึ้นเกาศีรษะของตน “น้องเจ็ด เอ้อร์หนิวของเจ้า ที่แท้มักจะเที่ยวกัดคนมั่วซั่วหรือ”
สุนัขตัวใหญ่โตขนาดนั้น ปากใหญ่ขนาดนั้น หากมันกัดใครเข้าล่ะก็คงจะขาหักได้ง่ายๆ
คนที่คิดเช่นนี้ไม่ได้มีหลู่อ๋องเพียงคนเดียว
อวี้จิ่นเหลือบมองไปยังทุกคนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความหมายลึกล้ำว่า “พี่ห้ากล่าวผิดแล้วล่ะ เอ้อร์หนิวจะไม่กัดคนมั่วซั่ว”
หลู่อ๋องได้แต่หัวเราะหึๆ ออกมา
“ไท่จื่อเสด็จ!” ไม่รู้ว่าเสียงของผู้ใดตะโกนออกมา
ทุกคนรีบหันศีรษะไปมอง พบว่าไท่จื่อพร้อมทั้งพระชายาเอกเดินตรงเข้ามาจากที่ไกลๆ
หลู่อ๋องจึงถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย
เอ้อร์หนิวของเจ้าเจ็ดช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียจริง เหตุใดไม่กัดให้แรงกว่านี้หน่อย
ในไม่ช้าไท่จื่อก็เดินตรงเข้ามาอยู่ตรงหน้า
อวี้จิ่นไม่ต้องการสร้างปัญหาขึ้นในงานเลี้ยงครบรอบหนึ่งเดือนของธิดา จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “พี่รองดีขึ้นแล้วหรือ”
ไท่จื่อฝืนพยักหน้า ความรู้สึกดีที่เขามีต่ออวี้จิ่นเมื่อครั้งเดินทางไปยังอำเภอเฉียนเหอได้จางหายไปเพราะการสนทนาในห้องเมื่อสักครู่
ฉีอ๋องมองไปยังรอบข้างด้วยสายตาเยือกเย็น จู่ๆ เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา
เขาอยากจะให้ความสัมพันธ์ของไท่จื่อและเจ้าเจ็ดเลวร้ายลงเหลือเกิน เนื่องจากเช่นนี้จึงจะเป็นประโยชน์ต่อเขา
หลู่อ๋องยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “พี่รองควรระวังตัวไว้หน่อย วัยของพวกเรานั้นเลยช่วงที่จะเล่นต่อสู้กับหมาแมวมาแล้ว ฮ่าๆ เหตุใดจึงถูกสุนัขกัดได้เล่า…”
ไท่จื่อเหลือบมองดูหลู่อ๋องย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามด้วยความโกรธเคืองว่า “น้องห้า เจ้าอยากจะมีเรื่องอีกหรือ”
ความแค้นที่มีต่อเจ้าห้า เขายังจำไว้ได้อย่างดี เจ้านี่กล้าโยนหินลงบ่อน้ำ[1]ยามเขาตกที่นั่งลำบาก สักวันหนึ่งจะต้องถูกจัดการคิดบัญชีอย่างแน่นอน
หลู่อ๋องขยับริมฝีปากเล็กน้อยแล้วกลืนคำพูดของตนลงไป
ธิดาของเจ้าเจ็ดเพิ่งเกิดมาได้เพียงไม่กี่วันก็ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่ ส่วนตนกลับถูกลดตำแหน่งเป็นชินอ๋อง ในอนาคตเมื่อบุตรสาวของเขาคลอดออกมา คงได้ตำแหน่งเพียงแค่เซี่ยนจู่ เมื่อถึงเวลานั้นเขาคงจะถูกบุตรสาวตำหนิติเตียนเอาเป็นแน่
ช่างเถิด อดทนเอาไว้
หลู่อ๋องเก็บความรู้สึกไม่ยุติธรรมและเศร้าสร้อยของตนเองลงไป
เอ้อร์หนิวช่างดีเหลือเกิน อยากจะกัดใครก็กัดได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องรับผิดชอบเลย…บางทีเขาควรจะเลี้ยงสุนัขเช่นเอ้อร์หนิวสักตัวดีหรือไม่
ข้าหลวงที่ยืนอยู่ข้างกายไท่จื่อกล่าวขึ้นอย่างประหม่าว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หมาตัวนั้นมาอีกแล้ว!”
“อยู่ที่ใด!” ไท่จื่อไม่มีเวลามาสนใจกล่าวเรื่องไร้สาระกับทุกคนที่นั่น เขารีบมองไปรอบๆ ทันที
มีคนยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “พระชายาเยี่ยนอ๋องอุ้มจวิ้นจู่เดินมาที่นี่แล้ว”
ไท่จื่อมองออกไป และพบว่าท่ามกลางฝูงชนที่รายล้อม มีสตรีนางหนึ่งเดินตรงเข้ามาพร้อมสุนัขตัวใหญ่ติดตามอยู่ข้างกาย
สตรีที่ถูกรายล้อม สวมเสื้อตัวเล็กพื้นขาวปกแดง กระโปรงสีทับทิมตัวใหญ่ รูปร่างหน้าตางดงามท่าทางสง่าหาที่เปรียบปาน
ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นมองแล้วตกตะลึง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมองของเขาว่า เหตุใดภรรยาเจ้าเจ็ดจึงดูงดงามกว่าเดิม!
ผู้ที่มีความคิดเช่นนี้ไม่ใช่เพียงไท่จื่อเท่านั้น
ทุกการกระทำของสตรีผู้งดงามมักดึงดูดสายตาของทุกคน เพราะคนเราล้วนชื่นชอบในความงาม
อย่างไรก็ตาม สวรรค์ช่างเมตตาต่อหญิงงามเช่นนี้มากเหลือเกิน พระชายาเยี่ยนอ๋องที่อยู่ตรงหน้านี้นางเพิ่งจะให้กำเนิดบุตรได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น แต่หน้าท้องของนางไม่ดูปูดโปน รูปร่างผอมเพรียวกว่าหญิงสาวธรรมดาเสียอีก หากมากไปคงจะอ้วน หากน้อยไปคงจะผอม แต่นาง อยู่ตรงกลางพอดิบพอดี
ฉีอ๋องคิดอยู่ในใจว่า ไม่ว่าเรื่องดีใดๆ เจ้าเจ็ดล้วนได้ไปครอบครองสิ้นแล้ว สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง!
สู่อ๋องคิดอยู่ในใจว่า หากในตอนนั้น เขานำดอกเหมยไปให้แม่นางตระกูลเจียงผู้นั้นทั้งหมดเช่นเดียวกับเจ้าเจ็ด ผลออกมาจะเป็นเช่นไร
เซียงอ๋องคิดอยู่ในใจว่า ชีวิตของเขาช่างรันทดยิ่งนัก เขาไม่ได้หวังจะให้ภรรยาของตนงดงามดุจดั่งพระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่อย่างน้อยก็ไม่ควร จะเป็นเช่นชุยหมิงเย่ว์
หลู่อ๋องคิดอยู่ในใจว่า ภรรยาคนอื่นต่อให้งดงามเพียงใดก็ไร้ความหมาย คิดไปก็ไร้ประโยชน์
ส่วนไท่จื่อมองไปทางเจียงซื่อที่กำลังยิ้มให้อวี้จิ่น แล้วได้แต่คิดในใจว่า หยางเฟยที่เขาเสี่ยงตายร่วมหลับนอนด้วย ยังไม่งดงามเท่า พระชายาเยี่ยนอ๋องเลย…
[1] โยนหินลงบ่อน้ำ สำนวนจีน หมายถึงซ้ำเติมเมื่อเห็นคนตกที่นั่งลำบาก