หยางเฟยเป็นสตรีที่งดงามซึ่งไม่มีใครเทียบได้ แต่หากนำมาเปรียบกับพระชายาเยี่ยนอ๋องที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วนั้น ราวกับว่ามีบางอย่างที่สู้ไม่ได้ และไม่รู้ว่าในส่วนใด
ดวงตาของไท่จื่อ จ้องไปยังเจียงซื่อด้วยหัวใจอันเร่าร้อน
ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเจ็ดไม่ยอมให้ผู้อื่นแต่ต้องสิ่งของของเขา
สุนัขที่มีพลังเหนือธรรมชาติเป็นของเจ้าเจ็ด สตรีที่งดงามอย่างน่าทึ่งก็เป็นของเจ้าเจ็ด ดูเหมือนของดีทุกสิ่งอย่างล้วนถูกเจ้าเจ็ดนำไปครอบครองเสียสิ้นแล้ว แน่นอนว่าเขาคงไม่อนุญาตให้ใครแตะต้อง
ความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้นในความคิดของไท่จื่อ
เขาต่างหากที่เป็นไท่จื่อ เป็นทายาทผู้สืบทอดของราชวงศ์! แต่เจ้าเจ็ดเป็นเพียงองค์ชายผู้ไม่โดดเด่นคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดสิ่งของดีๆ จึงกลายไปเป็นของเจ้าเจ็ดทั้งหมดไปเสียทุกอย่าง
ดูเหมือนอวี้จิ่นจะสัมผัสได้ เขามองย้อนกลับไปทางไท่จื่อ
บัดนี้ ปฏิกิริยาของเขาแตกต่างจากตอนที่รู้ว่าไท่จื่อถูกเอ้อร์หนิวกัด สายตาของเขาช่างสงบราวกับแอ่งน้ำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้ง ทำให้ผู้คนยากเกินจะคาดเดา
ไท่จื่อตกตะลึงและได้สติกลับคืนมา เหงื่อออกเต็มฝ่ามือ
ปฏิกิริยานี้ทำให้เขารำคาญใจยิ่งนัก
เขาเป็นไท่จื่อ อวี้จิ่นเป็นเพียงแค่อ๋อง เขาจะไปกลัวเจ้าเจ็ดทำไมกัน! เป็นเพราะอากาศอันร้อนอบอ้าวนี่ต่างหากจึงทำให้เขาเหงื่อออก
สตรีที่งดงามไร้ที่ตินั้น เขาไม่กล้าที่จะมองเนิ่นนานไป เพราะที่แห่งนี้มีคนจำนวนมาก มารยาทเพียงเท่านี้ไท่จื่อยังพอจะรู้อยู่บ้าง
หลังจากความรู้สึกตกตะลึงเมื่อแรกเห็น ไท่จื่อก็ได้ละสายตาไปเล็กน้อยแล้วมองไปยังสตรีซึ่งอยู่ข้างกายของเจียงซื่อ
สตรีนางนั้นรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง ผิวพรรณผ่องใสงดงาม เป็นสตรีรูปงามที่หามองได้ยากเช่นกัน หากมองอย่างละเอียดจะสัมผัสได้ว่านางคล้ายกับพระชายาเยี่ยนอ๋องเล็กน้อย…
ไท่จื่ออดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว หากเทียบกันกับพระชายาเยี่ยนอ๋องที่งดงามแต่ไม่อาจคว้ามาได้ เขามีความสนใจต่อสตรีผู้อ่อนช้อยคนนี้เสียมากกว่า
สตรีในวัยยี่สิบ ช่างน่ามองกว่าสตรีในวัยเพียงสิบกว่าปีมากเหลือเกิน
สตรีนางนี้เป็นผู้ใดกันแน่ นางดูสนิทสนมกับพระชายาเยี่ยนอ๋องมากนัก หรือจะเป็นพี่น้อง
หัวใจของไท่จื่อดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ฉีอ๋องมองอยู่ข้างๆ คิ้วของเขาขยับเล็กน้อยเช่นกัน
ไท่จื่อรู้สึกสนใจสตรีที่อยู่ข้างกายพระชายาเยี่ยนอ๋อง?
เขาจึงได้มองไปทางสตรีผู้นั้นและให้ความสนใจในตัวนาง
ฝูงชนพากันกรูเข้าไปเพื่อกันแย่งชมเสี่ยวจวิ้นจู่
สำหรับพวกเขา ไม่ใช่ว่าผู้ใดไม่มีบุตรหรือไม่เคยเห็นทารกมาก่อน ทว่าพวกเขาเพียงอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเด็กคนนี้มีสิ่งใดพิเศษ จึงทำให้ฮ่องเต้เอ็นดูยิ่งนัก
ทารกน้อยในชุดผ้าสีแดงถูกห่อหุ้มตัวเอาไว้กำลังหลับสนิท เจ้าหนูหาได้รู้ไม่ว่าบัดนี้มีผู้คนมากมายมารายล้อม
“เสี่ยวจวิ้นจู่ช่างน่ารักเสียจริง ทั้งจมูกและปาก เหมือนกับพระชายาไม่มีผิด”
“นั่นสิ ผมสีเข้มหนา ช่างหาได้ยากจริง”
ความรู้สึกเกลียดชังในดวงใจของอวี้จิ่นเมื่อครู่ก็จางหายไปเนื่องด้วยคำชมเหล่านี้ และทำให้เขาสามารถอยู่ต้อนรับแขกเหรื่อได้อย่างใจเย็น
เจียงซื่อไม่ได้อยู่ที่นี่นานจนเกินไปนัก หลังจากที่เอ่ยขออภัยทุกคน นางก็พาเสี่ยวจวิ้นจู่จากไป
เป็นกฎสำหรับนายหญิงที่ต้องพาบุตรธิดาของตนออกมาพบกับญาติสนิทที่เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือน แต่เจ้าหนูน้อยยังเด็กเกินไป ไม่เหมาะสมหากจะอยู่ต่อเป็นเวลานาน
ฉีอ๋องหันไปให้ความสนใจต่อไท่จื่ออย่างเงียบๆ พบว่าสายตาของไท่จื่อจับจ้องมองตามสตรีนางนั้นจริง เขาจึงได้มั่นใจกับการคาดเดาของตนเมื่อครู่
หลังงานเลี้ยงสิ้นสุดและต่างพากันแยกย้าย ฉีอ๋องพร้อมพระชายาก็เดินทางกลับไปพี่จวนอ๋องพร้อมกัน ฉีอ๋องเอ่ยถามขึ้นว่า “สตรีสวมชุดสีเขียวที่ยืนอยู่ข้างกายพระฉายาเยี่ยนอ๋องในวันนี้คือผู้ใด”
พระชายาฉีอ๋องตกตะลึงไปชั่วครู่
สตรีชุดสีเขียวที่เดินออกมาพร้อมกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง ไม่ใช่พี่สาวคนโตของนางหรือ ท่านอ๋องเอ่ยถามเรื่องนี้เพื่อสิ่งใด
แม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่พระชายาฉีอ๋องก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “สตรีผู้นั้นเป็นพี่สาวคนโตของพระชายาเยี่ยนอ๋อง และเคยเป็นสะใภ้ตระกูลจู…”
ฉีอ๋องยิ้มขึ้น “ข้าเห็นว่าลักษณะท่าทางของสตรีนางนั้นคล้ายคลึงกับพระชายาเยี่ยนอ๋องเล็กน้อย จึงเดาได้ว่าเป็นพี่สาวของพระชายาเยี่ยนอ๋อง ข้านึกออกแล้ว นางคือสตรีที่ทำการหย่าร้างอย่างเด็ดขาดกับจูจื่ออวี้ใช่หรือไม่”
พระชายาฉีอ๋องขมวดคิ้วเข้าหา เหตุใดท่านอ๋องจึงกล่าวถึงคนผู้นี้
ช่วงเวลาที่พระชายาเยี่ยนอ๋องปรากฏกายขึ้นในลานกว้าง สายตาของชายทุกคนล้วนจับจ้องไปที่นาง หึๆ ชายทั้งหลายเหล่านี้!
พระชายาฉีอ๋องได้แต่ยิ้มเยาะเย้ยอยู่ในใจ
ฉีอ๋องไม่คิดว่าตนเองแสดงท่าทางผิดปกติใดออกมาตอนอยู่ในสวนดอกไม้ของจวนเยี่ยนอ๋อง จึงได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “ข้าเฝ้าดูและพบว่าไท่จื่อรู้สึกประทับใจสตรีนางนี้”
“ว่าอย่างไรนะเพคะ!” พระชายาฉีอ๋องตกใจ
เดิมทีนางก็พอจะรู้ว่าสายตาของชายทุกคนล้วนจับจ้องไปที่พระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องและไท่จื่อจะให้ความสนใจไปยังพี่สาวของพระชายาเยี่ยนอ๋อง
เฮ้อ ผู้ชาย!…จู่ๆ พระชายาฉีอ๋องก็คิดไม่ตกเสียจริงว่าบรรดาบุรุษเหล่านั้นคิดอย่างไร
“ท่านอ๋องหมายความว่า…”
ฉีอ๋องยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้าเพียงคิดหาโอกาสใช้หญิงงามให้เป็นประโยชน์ก็เท่านั้น”
เขาเข้าใจความคิดของไท่จื่อเป็นอย่างดี
หากเปรียบเทียบกับพระชายาเยี่ยนอ๋องซึ่งได้รับการปกป้องจากเจ้าเจ็ดเป็นอย่างดี พี่สาวของพระชายาเยี่ยนอ๋องซึ่งอาศัยอยู่ในจวนตงผิงปั๋วดูเหมือนจะได้มาง่ายกว่ามากนัก ด้วยการกระทำอันโง่เขาของไท่จื่อประกอบกับนิสัยของเจ้าเจ็ดที่ไม่ยอมเสียเปรียบผู้ใด หากว่าพี่สาวของภรรยาถูกทำร้าย แน่นอนว่าเขาจะต้องต่อสู้กับไท่จื่ออย่างสุดชีวิตแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นตนก็สามารถนั่งอยู่บนภูเขาเพื่อชมเสือสองตัวต่อสู้กันอย่างสบายอารมณ์
หลังจากที่ไท่จื่อกลับมาถึงตงกง หัวใจดวงนั้นของเขาที่สั่นคลอนก็มิอาจทนทานได้ จึงแอบสั่งให้ข้าหลวงไปสืบเรื่องของเจียงอี
“หมายความว่าพี่สาวของพระชายาเยี่ยนอ๋อง หลังจากหย่าร้างกับสามีของนางแล้วก็ได้อาศัยอยู่ในจวนตงผิงปั๋วหรือ” หลังจากได้ยินสิ่งที่ข้าหลวงนำมารายงาน ไท่จื่อก็ได้คลำไปที่คางของตนแล้วรู้สึกว่าโอกาสกำลังมา
นับแต่กลับมาจากอำเภอเฉียนเหอ เสด็จพ่อได้ตำหนิถึงการกระทำของเขาในหลายด้าน จึงได้ส่งเขาออกไปเรียนรู้กับทั้งหกสำนัก หมุนเปลี่ยนไปวันละสำนักเพื่อทำความคุ้นเคยกับเรื่องของการเมืองการปกครอง
โอกาสที่จะเดินออกจากพระราชวังมีไม่น้อย…
เมื่อข้าหลวงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกตะลึง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงนี้แตกต่างกับอำเภอเฉียนเหอยิ่งนัก หากมีความเคลื่อนไหวใดแม้กระทั่งใบหญ้าเล็กๆ คาดว่าคงจะไปถึงหูของฮ่องเต้…”
ไท่จื่อขมวดคิ้วขึ้น “เสด็จพ่อไม่ได้จับจ้องมองข้าทุกวันสักหน่อย อีกอย่างเรื่องนี้เพียงแค่รอโอกาสเท่านั้น ในครั้งนี้ข้าจะไม่ให้ใครจับได้อย่างแน่นอน เจ้าเพียงหุบปากไว้เป็นพอ”
ในครั้งนี้? ข้าหลวงประหลาดใจเล็กน้อย
หรือจะเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
เรื่องสตรีในเมืองจิ๋นหลี่เขาเป็นคนจัดการกับมือ เมื่อลมพัดผ่านก็ไร้ซึ่งร่องรอย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ไท่จื่อกล่าวถึง
เมื่อนึกถึงไท่จื่อที่ถูกปลดครั้งก่อน บรรดาข้าหลวงที่รับใช้ทุกคนล้วนหายไปสิ้น ข้าหลวงผู้นี้จึงได้ตกตะลึงเสียจนสะดุ้ง
ไท่จื่อสัมผัสได้ว่าตนเอ่ยวาจาไม่เหมาะสม จึงได้จ้องไปที่ข้าหลวงกล่าวว่า “ไปได้แล้ว หากกล่าวมากกว่านี้ข้าจะลงโทษเจ้าไปขัดห้องสุขา!”
ข้าหลวงจึงรีบก้าวขาออกไปด้วยความลนลาน แต่ในไม่ช้าก็ได้กลับเข้ามาอีกครั้ง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้รับสั่งให้เข้าเฝ้า ณ ตำหนักหย่างซินพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไท่จื่อเดินเข้าไปในตำหนักหย่างซิน หัวใจของเขาก็รู้สึกถึงความกระวนกระวาย เหตุใดเสด็จพ่อจึงรับสั่งให้เข้าเฝ้า เขายังไม่ได้ไปฟ้องเสด็จพ่อเลย
เมื่อเห็นท่าทางของไท่จื่อดูงุนงง จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไม่ได้รู้สึกโกรธ “ข้าได้ยินมาว่าในวันนี้เจ้าถูกเอ้อร์หนิวกัดเข้าหรือ”
ไท่จื่อแสดงท่าทางอันคับข้องใจออกมาแล้วพยักหน้าตอบรับ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วขึ้น “เจ้าทำตัวให้น่านับถือหน่อยได้หรือไม่ ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนั้นกลับไปหยอกล้อเล่นกับสุนัขในลาน เจ้ายังมีศักดิ์ศรีขององค์รัชทายาทอยู่หรือไม่!”
“ลูกไม่ได้ไปหยอกล้อกับสุนัข”
“แล้วเหตุใดเอ้อร์หนิวจึงไม่กัดผู้อื่น กัดแต่เจ้าเท่านั้น” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามกลับ
ไท่จื่อสำลักกระอักกระอ่วน ริมฝีปากเขาสั่นเทาแทบจะร้องไห้ออกมา
เห็นแก่เอ้อร์หนิว เขาจึงไม่ได้คิดจะมาฟ้องเสด็จพ่อเสียด้วยซ้ำ แต่เหตุใดเสด็จพ่อจึงได้ด่าเขา
ที่แท้ในใจของเสด็จพ่อ เขาสู้เอ้อร์หนิวไม่ได้ด้วยซ้ำ?
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดยิ่งพิโรธ “เจ้าทำท่าทางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนั้นทำไมกัน หรือเจ้าจะติดใจเอาความกับเพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง!”
“ลูกไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อกลืนความโมโหโกรธเคืองลงไป
เดิมทีเขาไม่อยากจะติดใจเอาความมันด้วยความสงสาร แต่บัดนี้เสด็จพ่อกำลังสั่งสอนเขา ดุด่าเขา จึงทำให้เขาอยากจะตุ๋นเอ้อร์หนิวกินเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“กลับไปไตร่ตรองให้ดี”
ไท่จื่อเสด็จออกจากตำหนักหย่างซินด้วยท่าทางห่อเหี่ยว
หลังจากที่แขกเหรื่อพากันเดินทางแยกย้ายกลับไปแล้ว จวนเยี่ยนอ๋องก็ได้สงบลงอีกครั้ง อวี้จิ่นเดินเข้าไปในห้องกำชับให้บ่าวรับใช้ถอยออกไปแล้วนั่งลงตรงข้ามกับเจียงซื่อ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อาซื่อ ข้าอยากจะฆ่าไท่จื่อ!”