เจียงซื่อหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินน้ำแก้วหนึ่งส่งไปให้อวี้จิ่น “ดื่มน้ำก่อนเถิด”
อวี้จิ่นเอื้อมมือไปรับน้ำมาดื่มแล้ววางถ้วยน้ำชาลง “อาซื่อ ข้าอยากจะฆ่าไท่จื่อ”
เจียงซื่อยิ้ม “ข้าได้ยินแล้ว เหตุใดจู่ๆ จึงมีความคิดนี้เล่า”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าไม่รู้สึกประหลาดใจหรือ”
เจียงซื่อถูไปยังถ้วยน้ำชาลายคราม กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ารู้ว่าการที่เจ้าอยากจะฆ่าใครสักคน คงจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน”
เช่นเดียวกับนางที่ไม่ได้ต้องการจะฆ่าใครอยู่ตลอดเวลา แต่หากเมื่อพบว่าใครบางคนทำสิ่งเลวร้ายขึ้น ก็จะทำให้เกิดเป้าหมายเล็กๆ ขึ้นมา
“ความคิดของผู้คนมักเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดน่าแปลกใจ”
เจียงซื่อผู้มีประสบการณ์มากมายในการบรรลุเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ นางจิบน้ำชาขึ้นอึกหนึ่งแล้วนิ่งเงียบเพื่อครุ่นคิด
อวี้จิ่นกุมมือเจียงซื่อเอาไว้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย “อาซื่อ ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจข้ายิ่งนัก”
สมแล้วที่เป็นสามีภรรยากัน หากว่าอาซื่อต้องการจะคิดฆ่าผู้ใด เขาก็จะยื่นมีดให้เป็นอันดับแรกทันที
“รีบกล่าวมาให้ข้าฟังเถิด เหตุใดจึงได้มีความคิดอยากฆ่าไท่จื่อ” เจียงซื่อยิ้มแล้วผลักเขาเล็กน้อย
งานเลี้ยงครบรอบอายุหนึ่งเดือนถูกจัดขึ้นในเวลากลางวัน บัดนี้เป็นเวลาช่วงบ่าย แสงแดดช่างแผดเผาทำให้เวียนหัว แม้แต่ดอกไม้ที่เคยเขียวชอุ่มก็ดูห่อเหี่ยว มีเสียงร้องของจั๊กจั่นดังมาจากที่ไกลๆ
ยามบ่ายอันแสนสบายและเงียบสงบ ทำให้ชีวิตแลดูเกียจคร้านเช่นตอนนี้ ผู้ใดก็ตามคงคิดไม่ถึงว่าสองสามีภรรยาจะปิดประตูจวนแล้วกำลังนั่งกล่าวถึงวิธีการฆ่าไท่จื่ออยู่
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของนางขาวผ่องดุจดั่งหิมะ มันดูละเอียดอ่อน แผ่ซ่านเป็นประกาย รอยยิ้มที่ริมฝีปากของนางมองไปช่างทำให้ผู้คนใจสั่นไหว น่าดึงดูดยิ่งกว่าหยกหิมะเสียอีก
อวี้จิ่นจ้องมองดูนางแล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เขากล่าวอย่างดุเดือดว่า “ในวันนี้ที่สวนดอกไม้ ไท่จื่อจ้องมองเจ้า”
เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจ “เพียงเพราะเรื่องนี้หรือ!”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้น “เรื่องนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ”
เจียงซื่อส่ายหน้า “อาจิ่น เจ้าอย่าได้ขี้หึงไปนักเลย”
“ใครขี้หึงกัน!” อวี้จิ่นเหลือบตามองเจียงซื่อ
ขี้หึงหรือ เขาเป็นคนเช่นนี้หรือไร
เขาไม่เพียงแค่หึง และเขายังหวงมากอีกด้วย
เขารู้สึกอึดอัดใจและครุ่นคิด เพราะภรรยาของเขาดูเหมือนจะยังรู้จักเขาไม่เพียงพอ
เจียงซื่อจ้องมองเขาแล้วกล่าวว่า “เช่นนี้ยังไม่เรียกว่าหึงอีกหรือ เจ้าคงจะไม่ฆ่าทุกคนที่เหลือบมองข้ากระมัง”
หากว่าเป็นเช่นนี้ เป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นของอาจิ่นก็คงจะมากมายนับไม่ถ้วน
เจียงซื่อรู้สึกคุ้นเคยกับสายตาที่มองมาด้วยความสนใจของผู้คนอยู่แล้ว
ตั้งแต่เล็ก นางก็เคยชินกับมันแล้ว
คนเราหากว่ารูปงามเป็นพิเศษ ก็จะได้รับความดึงดูดและสนใจจากคนจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เองทำให้นางรักษาท่าทางอันสูงส่งและสงบเงียบมาตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อชาติก่อนนางไม่สนใจในคำเตือนของบิดาและจะแต่งงานกับคนในจวนอันกั๋วกงให้ได้ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเพราะนิสัยของนางทำให้พบกับจุดจบอันน่าหดหู่
เนื่องจากมองตนเองสูงไป ดังนั้นจึงไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับคนที่ต่ำต้อยกว่า
จนกระทั่งเดินทางมายังหนานเจียง ก็ได้ตกหลุมรักอวี้ชีที่ในสายตาของนางรู้เพียงว่าเขาเป็นพ่อค้า นางจึงได้รู้สึกขบขันกับความคิดในวัยเยาว์ของตนยิ่งนัก
หากเทียบกันกับเรื่องไร้สาระเหล่านั้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่านิสัยของคนผู้นั้น
“ปัญหาไม่ใช่เพียงแค่เขามองดูอย่างธรรมดา” อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง “อาซื่อ เจ้าไม่เข้าใจความคิดของชาย ยิ่งไม่เข้าใจชายประเภทไท่จื่อ แววตาของไท่จื่อที่มองเจ้าในวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่มองธรรมดาเท่านั้น”
การที่ชายหนุ่มอดใจไม่ได้ มักอยากชำเลืองดูหญิงสาวผู้โดดเด่นงดงาม แม้ว่าเขาจะโกรธแต่ก็สามารถเข้าใจได้ ทว่าสำหรับไท่จื่อนั้นแตกต่างจากชายคนอื่นๆ
เขาคือคนที่โง่เขลาและมีความต้องการได้ของทุกสิ่งอย่างในโลกมาครอง อีกทั้งยังมีฐานะที่สูงส่ง
การที่ภรรยาของตนถูกชายเช่นนี้จ้องมอง จึงทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ
บัดนี้ไท่จื่อยังไม่ได้ทำสิ่งใด แต่นั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่ทันจะได้ทำก็เท่านั้น
หากว่าตอนนี้เขาไม่แก้ไขตัวอันตรายที่ซ่อนอยู่ จะต้องรอให้อาซื่อได้รับบาดเจ็บแล้วค่อยมานั่งเสียใจก่อนหรือ
ในตอนนั้นต่อให้ตัดหูของไท่จื่อมาให้เอ้อร์หนิวกินแล้วจะช่วยอะไรได้ ความเสียหายเมื่อเกิดขึ้นก็ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว
อวี้จิ่นไม่เคยคิดว่าตนเป็นคนดีมาก่อน เขาเชื่อเสมอว่าหากจะโจมตีศัตรูควรจะเริ่มตั้งแต่แรก
หึๆ ผู้คนในหนานเจียงมากมายล้วนรู้ดี เพียงแต่ในเมืองหลวงนี่มีไม่กี่คนที่เข้าใจเขาอย่างแท้จริง
เจียงซื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากอวี้จิ่นแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ
เมื่อชาติที่แล้วครั้งแรกที่ไท่จื่อถูกปลดนั่นก็เป็นเพราะเขาแอบไปมีความสัมพันธ์กับหยางเฟย
คนที่กล้าคบชู้กับแม่เลี้ยงของตน ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ยังมีเรื่องใดอีกเล่าที่เขาไม่อาจทำได้
อาจิ่นกล่าวว่าไท่จื่อมองดูนางด้วยสายตาผิดปกติไป เช่นนั้นก็ควรที่จะป้องกันเอาไว้ก่อน
ทันใดนั้นอวี้จิ่นก็ได้ยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ไท่จื่อไม่เพียงแค่แอบมองเจ้า และยังต้องการขโมยเอ้อร์หนิวอีกด้วย”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เจียงซื่อตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แอบมองนางแล้วยังต้องการขโมยเอ้อร์หนิว? เรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว
“อาซื่อ เจ้าคิดว่าเหตุใดไท่จื่อจึงถูกเอ้อร์หนิวกัดเอาเล่า เอ้อร์หนิวไม่มีอะไรทำจึงไปกัดไท่จื่ออย่างไร้เหตุไร้ผลหรือ นั่นเป็นเพราะว่าไท่จื่ออยากจะเข้าใกล้เอ้อร์หนิว มันจึงได้เอ่ยเตือนเขาเท่านั้นเอง”
“ไท่จื่อวางแผนจะขโมยเอ้อร์หนิวเช่นไร”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น “ไท่จื่อ เจ้าคนขี้ขลาดนั่นรู้สึกหวาดกลัวแผ่นดินไหว และบัดนี้ในราชสำนักล้วนรู้ดีว่าที่พวกเราสามารถรับรู้แผ่นดินไหวในจิ๋นหลี่นั่นได้ เป็นเพราะว่าเอ้อร์หนิว จึงทำให้ชาวบ้านหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นได้ ไท่จื่อคงจะต้องการตัวเอ้อร์หนิวด้วยเรื่องนี้ อาซื่อ มีเรื่องที่เจ้าไม่รู้อีก ในวันนี้ไท่จื่อนำเนื้อวัวตุ๋นมาจากพระราชวังเพื่อหลอกล่อเอ้อร์หนิว เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนจัดการเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้วว่าจะต้องได้ตัวเอ้อร์หนิวไปให้ได้”
เจียงซื่อเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าเอ่ยได้ถูกแล้ว ผู้ที่ละโมบโลภมากเช่นไท่จื่อสมควรที่จะถูกฆ่าให้ตายไปเสีย”
สำหรับเจียงซื่อนั้น ความสำคัญของเอ้อร์หนิวไม่ได้ด้อยไปกว่าญาติของนางคนหนึ่งเลย
ขโมยเอ้อร์หนิวอย่างงั้นหรือ นางไม่อาจทนรับได้จริงๆ
เมื่อสองสามีภรรยามีความคิดเห็นตรงกัน จึงหันมายิ้มให้แก่กันและกัน
“อาจิ่น เจ้าตั้งใจจะจัดการเช่นไรหรือ”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ไท่จื่อจะถูกปลดเป็นครั้งที่สอง ดูเหมือนต้องใช้เวลาอีกสักพัก เดิมทีนางตั้งใจจะรอไปก่อน แต่เมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็จะมีตัวแปรผ่านเข้ามามากขึ้น หากไท่จื่อตัดสินใจลงมือกับเอ้อร์หนิวโดยไม่สนสี่สนแปดแล้วจะทำเช่นไร
ส่วนเรื่องตัวนางนั้น เจียงซื่อไม่เป็นกังวลใจ
นางเป็นพระชายาอ๋องอย่างเต็มตัว ต่อให้ไท่จื่อมีความคิดชั่วร้ายก็ไม่มีโอกาสดีนักที่จะลงมือ
แท้จริงแล้วหากวิเคราะห์จากเหตุผล ต่อให้ไท่จื่อยืนกรานว่าจะต้องได้เจียงซื่อมาในครอบครองละก็ เว้นแต่เขาจะได้ขึ้นดำรงในตำแหน่งนั้นแล้วทุกอย่างในใต้หล้าจะเป็นของเขา เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้เป็นภรรยาของน้องชายก็ใช่ว่าไม่อาจได้มาครอบครอง
ในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ อย่าว่าแต่ภรรยาของน้องชายเลย แม้แต่ภรรยาของบุตรชาย จักรพรรดิมากมายก็แย่งมาครอบครอง
นี่นับว่าเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ แต่เจียงซื่อรู้ดีว่าไท่จื่อไม่อาจขึ้นนั่งในบัลลังก์นั่นได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางไม่รู้สึกเป็นกังวลใจ
สิ่งที่นางกังวลใจในตอนนี้ก็คือเอ้อร์หนิว
ความคิดของอวี้จิ่นแตกต่างไปจากเจียงซื่อเล็กน้อย
เขาไม่รู้เรื่องที่ไท่จื่อจะถูกปลดเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจนั่งดูผู้อื่นแอบมองและต้องการคาดหวังภรรยาของเขาเช่นนี้ได้ ไท่จื่อต้องการขโมยเอ้อร์หนิวเขายังพอจะอดทนและตักเตือนได้ แต่สายตาที่ไท่จื่อมองมาทางเจียงซื่อนั้น เขาไม่ต้องการแม้แต่จะเอ่ยเตือน
สำหรับคนที่เขาตั้งใจจะไปฆ่า หากเอ่ยเตือนก่อนก็คงนับว่าโง่เง่ายิ่งนัก แน่นอนว่าจะต้องฆ่าทิ้งโดยไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
“อาซื่อ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องราวเหล่านี้ไป ไท่จื่อมีข้อบกพร่องมากมาย เพียงแค่หยิบยกมาข้อหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่ทำให้เขาต้องรับโทษ”
อวี้จิ่นกล่าวจบก็หันหลัง เดินจากไปหาเหลิงอิ่ง
ภายในห้องหนังสือมีแสงสลัวเล็กน้อย เหลิงอิ่งผู้มีใบหน้าอันเย็นชาแทบหาความรู้สึกใดไม่เจอจากใบหน้าของเขาเลย
“เจ้านายมีสิ่งใดให้รับใช้หรือ”
ผู้ที่เดินทางไปอำเภอเฉียนเหอกับอวี้จิ่นด้วยนั้นไม่มีเพียงแค่หลงต้านคนเดียว ยังมีเหลิงอิ่งอีกด้วย เพียงแต่คนหนึ่งอยู่ในที่ลับ คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง
“ไปเปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับร่องรอยความชั่วร้ายที่ไท่จื่อก่อขึ้นในอำเภอเฉียนเหอให้แก่ฉีอ๋องรับทราบ” อวี้จิ่นนั่งหันหลังให้แก่แสงไฟ ทำให้ใบหน้าของเขาดูคลุมเครือ เขากำชับออกมาเบาๆ
พี่สี่จ้องมองบัลลังก์นั้นมาเนิ่นนานแล้ว ถึงเวลาช่วยเขาสักครั้งแล้วล่ะ