โจวยู่ไคนึกไปถึงตอนที่มาถึงที่นี่ในตอนแรก ในตอนนั้นโจวเหวินเหลียงเป็นผู้มาทักทายตัวเขา หลังจากนั้นเขาก็ได้พบกับหมิงซี่หยินก่อนที่จะมาถึงยอดเขาแห่งนี้ ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว ตัวเขาก็คงจะต้องจบชีวิตลงเหมือนกับเจ้าสำนักเฮ้งชูอย่างลู่ฮง เมื่อโจวยู่ไคนึกได้แบบนั้นตัวเขาก็สั่นไปทั้งตัว โจวยู่ไครู้สึกกลัวเกินกว่าที่จะคิดถึงมันได้อีก
ลู่โจวยังคงไม่สนใจไยดีกับการตายของลู่ฮง ตัวเขาได้ตักเตือนสำนักเฮ้งชูในก่อนหน้านี้มาแล้ว มันเป็นการตักเตือนตั้งแต่ที่ลู่โจวยังไม่เก็บตัวฝึกฝนตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าพลังฝ่ามือของตัวเองจะมีพลังมากพอที่จะสังหารได้ ลู่โจวจึงไม่ลังเลเลยที่จะใช้พลังวิเศษ ลู่โจวได้ใช้พลังวิเศษไปกว่า 1 ใน 3 ไปกับการโจมตี จากการวิเคราะห์ของลู่โจว พลังวิเศษ 1 ใน 6 หรือพลังวิเศษ 1 ใน 5 คงจะเพียงพอแล้วที่จะสังหารผู้มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบได้ แต่เพื่อความมั่นใจ ลู่โจวจึงตัดสินใจใช้พลังเพิ่ม ตัวเขาได้ใช้พลังวิเศษ 1 ใน 3 แทน ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ลู่โจวรู้สึกพึงพอใจ พลังฝ่ามือเพียงแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ลู่ฮงแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
แม้แต่หวางซื่อเจียเองก็ยังตกตะลึงเมื่อได้เห็นการโจมตีตรงหน้า
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งลู่โจวก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูด “ใจเย็นๆ ก่อน”
“ข้า…ข้า… โจวยู่ไคพยายามโบกมือ ตัวเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเก็บซ่อนอาการประหม่าเอาไว้
ทุกๆ คนต่างก็มองไปยังพลังกระบี่ที่อยู่เหนือป่า
หวางซื่อเจียที่เห็นแบบนั้นยิ้ม “เจ้าสำนักยู่ยังคงยิ่งใหญ่เช่นเคย”
พลังแสงดาวสรวงสวรรค์อันมืดมิดของยู่เฉิงไห่ทำการโจมตีเป็นวงกว้าง การโจมตีของเขามีเพื่อกวาดล้างป่า ยู่เฉิงไห่ต้องการที่จะค้นหาตัวของลู่ฮงนั่นเอง ภาพที่ได้เห็นไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากภาพที่ลู่โจวพยายามจะจับยู่เฉิงไห่ในตอนที่อยู่บนสำนักแห่งความบริสุทธิ์
สิ่งที่แตกต่างมีเพียงอย่างเดียว การโจมตีของยู่เฉิงไห่ดูเหมือนจะรีบร้อน
เมื่อทั้งป่าได้ถูกทำลายไป ยู่เฉิงไห่ก็ยังคงมองหาเป้าหมายต่อ จากประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมที่มีในที่สุดยู่เฉิงไห่ก็เหลือบมองไปยังยอดเขา
ในตอนนั้นผู้ฝึกยุทธชุดขาวกว่า 1,000 คนก็ได้มารวมตัวกันเพื่อเฝ้ามองยู่เฉิงไห่
ในเวลาเดียวกันยู่เฉิงไห่ก็มองเห็นพลังฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ได้บดขยี้ลู่ฮงไป แม้ว่ายู่เฉิงไห่จะมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังตกใจเมื่อได้เห็นพลังฝ่ามือสีฟ้าขนาดใหญ่อยู่ดี เจ้าของพลังฝ่ามือเป็นมิตรหรือว่าศัตรูกันแน่? ใครกันที่เป็นฝ่ายใช้พลังการโจมตีบนยอดเขา? แล้วทำไมพลังฝ่ามือถึงมีสีฟ้าได้? มีคำถามมากมายจนทำให้ยู่เฉิงไห่ลังเลที่จะเคลื่อนไหว ตัวเขากำลังสงสัยว่าผู้เป็นเจ้าของฝ่ามือจะต้องเป็นโจวยู่ไค ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะได้เห็นสมาชิกของสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่ แต่เมื่อใช้ความคิดไตร่ตรองให้ดียู่เฉิงไห่ก็ไม่คิดแบบนั้น ด้วยพลังวรยุทธที่โจวยูคไคมีเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายคนนั้นจะใช้พลังฝ่ามือได้ทรงพลังมากขนาดนี้
ยู่เฉิงไห่กำลังจะขยับเข้าไปใกล้เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้กับตาตัวเอง ในตอนนั้นก็มีเสียงใครดังขึ้นมาซะก่อน “ศิษย์พี่ใหญ่”
“มีอะไรกัน?” ยู่เฉิงไห่หันกลับมาก่อนที่จะเห็นสีวู่หยากำลังบินเข้ามาใกล้
“พวกเราควรจะสะสางงานใหญ่ให้เสร็จกันจะดีกว่า ยังไงซะเรื่องเมืองมณฑลหยานก็ยังสำคัญกว่า”
“แต่มีใครบางคนอยู่ที่ยอดเขานั่น…ข้ากังวลว่ากองทัพของศัตรูอาจจะดักรอพวกเราอยู่ตรงนั้น ข้าก็แค่อยากจะไปดูด้วยตัวเอง” ยู่เฉิงไห่ตอบกลับ
ยอดเขาตรงหน้าถูกหินก้อนใหญ่บดบังเอาไว้ และเพราะแบบนั้นมันจึงยากที่จะมองเห็นใครอยู่บนยอดเขาได้
เมื่อสีวู่หยาได้ฟังแบบนั้นตัวเขาก็นึกไปถึงพลังอวตารที่สูงกว่า 150 ฟุตในก่อนหน้านี้ สีวู่หยาที่คิดแบบนั้นยิ้มก่อนจะตอบกลับมา “ไม่ต้องกังวลไปศิษย์พี่…ถ้าหากพวกเขาต้องการจะโจมตีจริง พวกเขาก็คงจะทำไปนานแล้ว ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะยืนเฉยในขณะที่องค์รัชทายาทถูกสังหารได้หรอก”
ยู่เฉิงไห่ยังคงสงสัย “ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า เจ้าอาจจะไม่ทันได้เห็นมัน แต่ข้าเห็นพลังฝ่ามือขนาดมหึมามาจากยอดเขานั่น…มันเป็นพลังฝ่ามือสีฟ้า….” ยู่เฉิงไห่หยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “พลังฝ่ามือนั่นสังหารลู่ฮงภายในพริบตาเดียว”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้วศิษย์พี่ เมื่อลู่ฮงตายไป สำนักเฮ้งชูก็จะขาดผู้นำ สำนักที่ขาดผู้นำก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรอีก มันก็เท่ากับว่าแผนการที่ท่านจะครองโลกก็จะง่ายมากยิ่งขึ้น” สีวู่หยาพูด
ยู่เฉิงไห่ยังคงไม่ยอมแพ้ “แล้วผู้ที่อยู่บนยอดเขานั่นจะไม่ใช่ศัตรูของพวกเราอย่างงั้นเหรอ? แต่เดี๋ยวก่อนนะ ยังมีคนที่ดูเหมือนกับสาวกของสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่อยู่ตรงนั้นด้วย”..
สีวู่หยาเข้าใจความรู้สึกของยู่เฉิงไห่ดี ถ้าหากยู่เฉิงไห่รู้ว่าผู้เป็นอาจารย์คอยช่วยเหลือพวกเขา ยู่เฉิงไห่ก็คงจะไม่มีความสุขแน่ ดังนั้นสีวู่หยาจึงพยายามปฏิเสธการค้นหาให้ได้มากที่สุด “นั่นไม่ได้สำคัญอะไรศิษย์พี่ ยังไงซะการต่อสู้ที่มณฑลหยานก็ยังสำคัญที่สุด พวกเราควรจะรีบกลับไปที่นั่น ศิษย์พี่ใหญ่!”
ยู่เฉิงไห่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอางั้นก็ได้”
ยังไงซะภาพรวมก็ยังสำคัญกว่าอยู่ดี สีวู่หยารู้ดีว่ายู่เฉิงไห่จะต้องเห็นด้วย แน่นอนว่าสีวู่หยาไม่ใช่คนเพียงคนเดียวที่ได้เห็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้สำคัญอะไร ในตอนนี้ไม่ควรจะใช้เวลาอย่างสูญเปล่า
ด้วยเหตุนี้เองสีวู่หยาและยู่เฉิงไห่จึงกลับไปยังมณฑลหยาน
…
บนยอดเขา
ลู่โจวและคนอื่นๆ กำลังเฝ้ามองการต่อสู้ที่มณฑลหยานกันต่อ
กองกำลังของสำนักอเวจีกำลังรุกหน้าเข้าเมือง ในตอนนี้ฝ่ายได้เปรียบตกเป็นของฝ่ายสำนักอเวจีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลู่โจวไม่ได้รีบร้อนอะไรที่จะจากไป ตัวเขานึกไปถึงคำพูดของหมิงซี่หยินที่เคยพูดไว้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากสุดยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนั้นยังอยู่ในราชวัง?
“พี่จี ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะออกมาแล้ว ในตอนแรกข้าคิดว่าตัวเองก็คงจะต้องเข้าไปยังเมืองมณฑลหยาน แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นซะแล้วล่ะ” หวางซื่อเจียพูดขึ้น
“หืม?” ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อ๋อ ใช่แล้ว…พวกเราก็แค่ผ่านทางมาเท่านั้น” หวางซื่อเจียรีบแก้ตัว ตัวเขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เช่นนี้มาก่อน ในเมื่อมีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้ว หวางซื่อเจียจะอยู่ที่นี่เพื่ออะไร? ในตอนนี้สิ่งที่หวางซื่อเจียทำได้มากที่สุดก็คือการเป็นกองเชียร์คอยให้กำลังใจเท่านั้น
ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “มันก็ยังมีอะไรที่เจ้าพอจะทำได้อยู่”
“ขอเพียงพี่จีสั่ง เกาะเผิงไหลและข้ายินดีที่จะรับใช้พี่จีอย่างเต็มที่!”
“บอกให้ศิษย์คนแรกของเจ้าตั้งใจทำงานให้หนัก…ข้าได้ขอให้เขาตรวจสอบข้อมูลของแม่นางแซ่หลัวไป จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวอะไรจากเขา” ลู่โจวพูดขึ้น
“เอ่อ…” หวางซื่อเจียยิ้มอย่างเขินอาย หลังจากที่ถอนหายใจเสร็จ หวางซื่อเจียก็ได้ตอบกลับไป “ศิษย์ไม่รักดีของข้าเกิดมาเป็นคนมีไหวพริบก็จริงแต่ก็มีนิสัยเกียจคร้าน ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ ข้าจะคอยจับตาดูเจ้านั่นอย่างใกล้ชิดเอง”
ลู่โจวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เมื่อเห็นการต่อสู้ในมณฑลหยานกำลังจะสิ้นสุดลง ตัวเขาก็เริ่มหมดความสนใจที่จะเฝ้ามอง ลู่โจวได้เลือกที่จะถามออกมาแทน “แล้วเกาะลอยฟ้าเป็นยังไงบ้าง?”
“ตั้งแต่ที่พี่จีช่วยเหลือพวกเรา เขตแดนพลังก็ได้รับการซ่อมแซม เกาะทั้งห้าของเกาะเผิงไหลสามารถลอยได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง พลังฝ่ามือของท่านเพียงแค่ข้างเดียวมันได้ให้กำเนิดชีวิตของเกาะเผิงไหลขึ้นมาใหม่ ข้ารู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่ท่านได้ช่วยเหลือข้าจริงๆ พี่จี” หวางซื่อเจียตอบกลับมา
โจวยู่ไคที่ได้ฟังแบบนั้นก็ตื่นตกใจ “เป็นความจริงเหรอที่ผู้อาวุโสจีสามารถใช้พลังฝ่ามือเพียงแค่ข้างเดียวยกเกาะเผิงไหลได้?”
หมิงซี่หยินกลอกตา ตัวเขารู้สึกสมเพชได้ถึงความโง่เง่าของชายที่ชื่อว่าโจวยู่ไค ‘เจ้านี่กลายเป็นประมุขโดยที่มีสมองแค่นี้ได้ยังไงกัน? ถ้าหากรู้แบบนั้นในตอนนั้นข้าก็คงจะขโมยยาเม็ดแห่งการผลิบานทั้งหมดไปแล้ว’
หวางซื่อเจียตอบกลับ “ประมุขโจว ถ้าหากพี่จีไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าก็คงจะต้องโจมตีเพื่อเป็นการลงโทษท่านไปแล้ว”
“…”
“เกาะเผิงไหลติดหนี้บุญคุณพี่จีจนไม่อาจจะชดใช้ได้ มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีคนเคลือบแคลงสงสัยในตัวพี่จี แต่ในฐานะประมุข ท่านไม่คิดที่จะแยกแยะความเป็นจริงเลยอย่างงั้นเหรอ?” หวางซื่อเจียถามออกมา
อันที่จริงการที่จะจินตนาการว่ามีใครสักคนสามารถยกเกาะทั้งเกาะด้วยพลังฝ่ามือได้มันเหลือเชื่อมาก แต่การที่หวางซื่อเจีย เจ้าเกาะเผิงไหลเป็นผู้กล่าวขอบคุณด้วยตัวเอง ทำไมโจวยู่ไคถึงยังสงสัยเรื่องนี้ได้? เห็นได้ชัดว่าโจวยู่ไคพยายามที่จะเสี้ยมให้เกาะเผิงไหลบาดหมางกับศาลาปีศาจลอยฟ้า และเพราะแบบนั้นหวางซื่อเจียจะไม่โกรธเคืองได้ยังไงกัน?
โจวยู่ไครีบตอบกลับมา “ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ เป็นเพราะข้าจดจ่ออยู่กับการปรุงยาเม็ดแห่งการผลิบาน เพราะแบบนั้นข้าเลยไม่คิดว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะเป็นเรื่องจริง” หลังจากที่พูดขอโทษเสร็จตัวเขาก็หันไปคารวะให้กับลู่โว “ข้าไม่รู้เลยว่าพลังวรยุทธของท่านแข็งแกร่งไปถึงขั้นนั้นแล้ว ข้ารู้สึกประทับใจจริงๆ …”
ลู่โจวเคยชินกับการยกยอแล้ว และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่ได้รู้สึกดีอะไร “แล้วผลการศึกษายาเม็ดแห่งการผลิบานของเจ้ากับดอกบัวทองคำบนร่างอวตารไปถึงไหนแล้วล่ะ?”