บทที่ 552 ยอมรับว่าเป็นการใส่ร้าย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 552 ยอมรับว่าเป็นการใส่ร้าย

บทที่ 552 ยอมรับว่าเป็นการใส่ร้าย

ดี… ดีนัก ใบหน้าแก่ ๆ นี้ถูกโยนทิ้งไปหมดแล้ว

แต่โชคดีที่ยังไม่มีความเสียหายร้ายแรงใด ๆ และทุกอย่างยังไม่สายเกินไป

เพื่อแสดงจุดยืนของเขาต่อหน้าหลี่ฝาน หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงกระตือรือร้นที่แสดงจุดยืน จึงเตะไปด้านข้างเต็มกำลัง

เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเป็นอิสระก็รีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าวทันที ก่อนโค้งคำนับและมอบของขวัญชิ้นใหญ่ออกไปพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอับอายอย่างยิ่ง “เถ้าแก่หลี่ ข้ามองคนไม่กระจ่าง และได้ทำผิดต่อเถ้าแก่หลี่ถึงสองครั้ง…” มันน่าอับอายยิ่ง เขาจ้องไปที่กุ้ยซื่ออย่างดุดัน แล้วพูดว่า “วันนี้หน้าแก่ ๆ ของข้าถูกสองแม่ลูกโยนทิ้งหมดแล้ว อั้ย… ข้าอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ เถ้าแก่หลี่ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่สนใจคนตัวเล็ก ๆ อย่างข้า อย่าเก็บไปใส่ใจเลย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้…”

เดิมทีหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงต้องการข่มขู่หลี่ฝานพร้อมกับแม่ลูกตระกูลกุ้ย แต่เมื่อดูสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว แม่ลูกตระกูลกุ้ยคงทำไม่สำเร็จแล้ว

หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเองก็กลัวอำนาจของหลี่ฝานเช่นกัน และรู้ว่าตนทำผิดต่ออีกฝ่ายถึงสองครั้งติดต่อกัน หากหลี่ฝานใส่ใจ น่ากลัวว่าถ้าในอนาคต เขาต้องการสานสัมพันธ์ด้วยก็คงจะเป็นเรื่องยากยิ่งนัก

ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงจึงผลักไปตามเรือ เขาชี้ไปที่กุ้ยซื่อและกุ้ยตงเหมยก่อนพูดอย่างดุดัน “กุ้ยซื่อ กุ้ยตงเหมย พวกเจ้าแม่ลูกไร้ยางอายยิ่งนักที่กล้ามาใส่ร้ายเถ้าแก่หลี่ ตอนนี้ความจริงถูกเปิดเผยแล้ว กุ้ยตงเหมย เจ้าเป็นคนเหลวไหลตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงกับกล้าไปหอนางโลม เจ้าไม่ได้มาจากหมู่บ้านอู๋ซีแล้ว วันนี้ข้ามาเพื่อประกาศว่ากุ้ยตงเหมยถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านอู๋ซีแล้ว และเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปที่หมู่บ้านอีก!”

“ว่าอย่างไรนะ ไม่ ไม่!” เมื่อกุ้ยซื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียง นางก็คิดจะเข้าไปเกาะอีกครั้ง ครั้งนี้หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงจะปล่อยให้นางทำสำเร็จในได้อย่างไร เขารีบถอยหลังสองก้าวและหลบออกไป

เมื่อกุ้ยตงเหมยได้ยินว่านางจะไม่อาจกลับไปที่หมู่บ้านอู๋ซีได้อีกต่อไป นางก็ตะลึงงันไป

ถ้ากลับไปที่หมู่บ้านอู๋ซีไม่ได้ นางจะไปที่ไหนได้อีก? ไม่ ๆๆ !

กุ้ยตงเหมยกู่ร้องอย่างโศกเศร้าและจ้องไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ยอมรับ ข้าไม่ยอมรับ!”

“หัวหน้าหมู่บ้านเหลียง ตงเหมยยังเป็นเด็ก ท่านโปรดเมตตา โปรดเมตตา อย่าขับไล่นางออกไปเลย!” เมื่อกุ้ยซื่อได้ยินว่าหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงกำลังจะขับไล่กุ้ยตงเหมยออกจากหมู่บ้าน หน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความตกใจ

“ถ้าสตรีนิสัยเช่นนี้ถูกเก็บไว้ที่หมู่บ้าน ข้าเกรงว่าจะไปทำลายชื่อเสียงของสตรีดี ๆ คนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน!” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงพูดอย่างโกรธเคือง ก่อนหันศีรษะไปทางด้านข้าง เขาเห็นใบหน้าของหลี่ฝานดีขึ้นเล็กน้อยก็รู้ว่าครั้งนี้เขาทำถูกต้องแล้ว จึงกล่าวว่า “คนแพศยาเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ในหมู่บ้านแล้ว วันนี้ไม่ขับไล่นางออกไป ถ้าในอนาคต คนอื่นในหมู่บ้านรู้เรื่องนี้ ข้าเกรงว่าข้ายังคงไล่นางออกไปอยู่ดี นี่คือความน่าอับอายสำหรับหมู่บ้านอู๋ซีของเรา!”

“โอ้ หัวหน้าหมู่บ้านของข้า เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ไปที่หอนางโลม แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุใดท่านถึงโหดร้ายเช่นนี้!” ผิงถิงที่อยู่ด้านข้างพูดพลางโบกผ้าเช็ดหน้าในมือ กลิ่นหอมของแป้งชาดทำให้หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย และใบหน้าของเขาก็แดงขึ้น

“ใช่! เด็กสาวตัวน้อยคนนี้ นางเพียงกินข้าวสองมื้อในร้านข้าไม่ใช่หรือ? นางไม่ได้ทำอะไรแย่ ๆ ไม่ใช่หรือ? ใช่ไหมสาวน้อย?” เฟินฟางที่อยู่ข้าง ๆ ก็มองไปที่กุ้ยตงเหมยอย่างใจดี คล้ายกับว่านางพยายามทวงความยุติธรรมให้กุ้ยตงเหมยอย่างเต็มที่

เมื่อกุ้ยตงเหมยได้ยินเช่นนี้ นางก็ไม่ได้สังเกตเห็นกับดักเลย นางเร่งพยักหน้าและพูดว่า ใช่ ๆๆ ข้าเพียงไปดูที่หอนางโลม ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้ายังบริสุทธิ์อยู่ ข้ายังคงเป็นสาวบะ…”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ กุ้ยซื่อก็ทรุดตัวลงกับพื้นและตะโกนว่า “ตงเหมย!”

การแสดงออกที่น่าสังเวชบนใบหน้าของกุ้ยซื่อคือความน่ารื่นรมย์ในสายตาของผิงถิงและเฟินฟาง

ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม ก่อนทั้งคู่จะเหลือบมองหลี่ฝานในเวลาเดียวกัน ซึ่งในที่สุดรอยยิ้มอันหายากก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าธรรมดาของหลี่ฝาน

กุ้ยตงเหม่ยยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงเหลือบมองกุ้ยซื่อที่กำลังสับสนและถามว่า “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

กุ้ยตงเหมยไม่ทราบว่าประโยคที่นางเพิ่งตอบไปได้ตกหลุมพรางของคนอื่นแล้ว

กุ้ยตงเหมยได้กล่าวแล้วว่านางไปที่หอนางโลมจริง ๆ และนางยังคงบริสุทธิ์ ดังนั้นก็แสดงว่าก่อนหน้านี้ นางได้กล่าวหาหลี่ฝานอย่างผิด ๆ

เป็นไปตามคาด หลี่ฝานพลันเปิดปาก เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อตงเหมยยอมรับแล้ว ข้าคิดว่าทุกคนคงไม่มีอะไรจะพูด ถ้าเช่นนั้นวันนี้หยุดอยู่แค่นี้ ถ้าคิดจะทำอะไรอีก เช่นนั้นก็ได้ ไม่ต้องพูดที่นี่แล้ว แต่ไปพูดที่โรงศาลแทน!”

เมื่อกุ้ยตงเหมยได้ยินเช่นนี้ นางทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความตกใจ นางมองดูผู้คนรอบ ๆ ตัวนาง ยกเว้นใบหน้าอันเศร้าสร้อยของกุ้ยซื่อ คนอื่น ๆ ต่างมองดูนางด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม!

คนเหล่านี้กำลังดูถูกนางอยู่หรือ?

กุ้ยตงเหมยถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างขี้ขลาด ก่อนมองไปรอบ ๆ อีกครั้งด้วยความอัปยศอดสูและความขุ่นเคืองในสายตา

“กุ้ยตงเหมย เจ้ายังไม่มาสารภาพกับเถ้าแก่หลี่อีก!” เมื่อเห็นว่าเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว แต่กุ้ยตงเหมยยังเป็นเช่นนี้ หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็นึกโกรธ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับกุ้ยตงเหมยผู้นี้จริง ๆ!

“…” กุ้ยตงเหม่ยกัดริมฝีปากแน่น ปากของนางซีดไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวและโกรธแค้น

เมื่อหันกลับมา ดูเหมือนนางจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทันใดนั้นนางก็จ้องไปที่กุ้ยซื่อราวกับว่าอีกฝ่ายคือศัตรูที่ได้สังหารบิดาตน ก่อนตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “กุ้ยซื่อ ท่านช่างโหดร้ายจริง ๆ ท่านถึงกับขอให้ข้าล่อลวงเถ้าแก่หลี่ บอกว่าต้องการให้ข้ามีชีวิตที่ดี ถ้าเช่นนั้นเหตุใดไม่เรียกพี่สาวของข้ามาล่ะ! ข้าก็เป็นลูกสาวของท่านเช่นกันนะ ข้าจะถูกท่านฆ่าตายแล้ว!”

กุ้ยตงเหมยช่างเต็มไปด้วยลูกไม้จริง ๆ แต่ลูกไม้นี้ของนางสายเกินไปหน่อย

ยิ่งไปกว่านั้น กุ้ยตงเหมยคิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันทั้งหมดเป็นเพราะความคิดที่ไม่ดีของกุ้ยซื่อ

นางต้องการให้ทั้งครอบครัวมีชีวิตที่ดี นางจึงปล่อยให้ตัวเองทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ เมื่อสิ่งต่าง ๆ ได้รับการเปิดเผยแล้ว และผลที่ตามมาเหล่านี้จะต้องถูกแบกรับด้วยตัวเอง กุ้ยตงเหมยจึงขบฟันของนางด้วยความเกลียดชัง หวังว่านางจะพุ่งออกไปกัดกุ้ยซื่อให้ได้

กู้เสี่ยวหวานยังคงนั่งอยู่ข้างใน ถือถ้วยชาไว้พร้อมมีรอยยิ้มที่มุมปากของนาง

ในที่สุดกุ้ยตงเหมยยอมรับสารภาพแล้วว่านางใส่ร้ายหลี่ฝาน