บทที่ 434 ในที่สุดก็ได้เจอกัน
“โยมรึ เจ้าเป็นเณรอย่างนั้นหรือ” องค์หญิงซิ่นหยางมองจิ้งคงด้วยแววตาสงสัย
“อื้อ…เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว!” จิ้งคงเอ่ยตอบพลางส่ายหัว
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกว่าโยมแล้วสิ” องค์หญิงเอ่ยทัก
จิ้งคง “อ้อ”
สีหน้าที่แสดงออกอย่างคุ้นเคยทำให้องค์หญิงถึงกับนิ่งอยู่พักหนึ่งและจ้องมองไปที่เจ้าตัวเล็กอย่างตั้งใจ “เจ้าเป็นน้องชาย…ของกู้เจียวรึ”
คนที่เคยตามสืบกู้เจียวอย่างนางย่อมรู้ว่าสมาชิกในครอบครัวมีใครบ้าง
“อื้อ! ข้ามีนามว่าจิ้งคง!” จิ้งคงผงกหัว “ท่านคือมารดาของพี่เขยตัวแสบสินะ ข้าเคยเห็นรูปของท่าน”
จิ้งคงเคยถามกับเจียวเจียวว่านางฟ้าในรูปคือใคร เจียวเจียวตอบเขาว่า เป็นมารดาของเด็กชายที่อยู่ในรูป
เด็กชายในรูปมีหน้าตาคล้ายกันกับพี่เขยตัวแสบ ดูอย่างไรก็ต้องเป็นน้องชายแน่ๆ!
ดังนั้น สตรีในรูปนั้นย่อมต้องเป็นมารดาของพี่เขยตัวแสบไม่ผิด
ทำไมเขาถึงได้ฉลาดเช่นนี้นะ!
กลายเป็นว่าสิ่งที่องค์หญิงซิ่นหยางสนใจมิใช่เรื่องรูปภาพ แต่เป็นคำที่จิ้งคงเรียกเซียวลิ่วหลัง ‘พี่เขยตัวแสบ’
“พี่เขยตัวแสบอย่างนั้นรึ” นางย้อนถาม
“อื้อ!” จิ้งคงเก็บลูกประคำแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าเตียง “ท่านคงลำบากมามากเลยสินะ ที่เลี้ยงดูคนน่าเป็นห่วงอย่างเขามาจนโตได้ถึงขนาดนี้”
“น่า…เป็นห่วงงั้นรึ” องค์หญิงซิ่นอย่างพอได้ยินถึงกับเหงื่อตก นั่งนึกอยู่นานสองนานจนเพิ่งนึกได้ว่าคนที่จิ้งคงกำลังพูดถึงอยู่คือเซียวเหิง
เซียวเหิงตอนเล็กๆ เป็นเด็กซุกซน แต่พอเขาโตขึ้นก็เริ่มจะหายห่วงแล้ว
บนโลกนี้ไม่มีใครเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายเท่านี้อีกแล้ว
จิ้งคงผงกหัว “ใช่แล้ว พี่เขยตัวแสบน่ะชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วง ไหนจะสุขภาพร่างกาย ไหนจะเรื่องคะแนนสอบ”
ตรรกะของเด็กวัยจิ้งคงเรียกได้ว่าค่อนข้างจำกัด เรื่องบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ใหญ่มักถูกละเลยแต่เด็กตัวเล็กๆ อย่างเขากลับให้ความสนใจ ตัวอย่างเช่น เหตุใดเซียวลิ่วหลังถึงมีมารดาที่ดูร่ำรวยมากแต่กลับเติบโตในชนบทอย่างยากลำบาก
พอจิ้งคงเห็นองค์หญิงซิ่นหยางนิ่งไป ก็นึกว่านางฟังที่เขาพูดไม่เข้าใจ เลยอธิบายอีกรอบ “ท่านเห็นไหมว่าขาของเขาบาดเจ็บ นั่นเป็นเพราะเขาช่วยเหลือท่านพี่เฝิงหลินไว้จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนั้น เฮ้อ ดูเหมือนขาของเขาจะกลับมาเป็นปกติไม่ได้อีกแล้ว กลายเป็นคนขาเป๋เสียแล้ว สภาพเขาเป็นอย่างนั้น เลยมักจะถูกคนที่สำนักบัณฑิตดูแคลนและกลั่นแกล้ง โชคดีที่เขามีเจียวเจียวคอยช่วย”
ฟังจบองค์หญิงซิ่นหยางนิ่งลงกว่าเดิม
ดูเหมือนยิ่งจิ้งคงพูดถึงเซียวลิ่วหลังก็ยิ่งหยุดไม่ได้ “เมื่อก่อนตอนที่พวกเรายังอยู่ที่ชนบท ยังไม่มีรถม้าไว้ มีแค่รถเกวียนที่ใช้วัว พอถึงช่วงฤดูหนาว รถเกวียนวิ่งไม่ได้ พี่เขยตัวแสบต้องเดินไปสำนักบัณฑิตด้วยสภาพที่ขาเป๋แบบนั้”
“นั่งรถม้าไม่ได้รึ” องค์หญิงเอ่ยถาม
จิ้งคงถอนหายใจเฉกเช่นผู้ใหญ่ “เฮ้อ ตอนนั้นพวกเราไม่มีเงิน ที่จริงความจนไม่ได้น่ากลัวหรอก ท่านรู้หรือไม่ว่ามีอะไรที่น่ากลัวมากกว่า นั่นก็คือคะแนนสอบของพี่เขยตัวแสบยังไงล่ะ เขามักจะสอบได้ที่รองโหล่ตลอด จนเกือบจะไม่ได้เป็นจอหงวนเสียแล้ว!”
เดิมอารมณ์องค์หญิงซิ่นหยางแปรปรวนอยู่แล้ว พอเจอประโยคสุดท้ายของจิ้งคงเข้าไปยิ่งทำให้นางรู้สึกสับสนยิ่งเสียกว่าเดิม
สอบได้ที่โหล่ยังสามารถขึ้นเป็นจอหงวนได้ด้วยหรือ แปลว่าเพื่อนๆ ในชั้นเรียนของเขาเป็นบัณฑิตใหญ่แบบจวงเซี่ยนจืออย่างนั้นรึ
กระนั้นจิ้งคงยังคงพูดถึงเรื่องที่ชนบทอย่างไม่หยุดปาก หลักๆ คือการนินทาเซียวลิ่วหลังนั่นเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงซิ่นหยางได้รับรู้เรื่องราวของเซียวลิ่วหลังในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
องค์หญิงจินตนาการไม่ออกเลยว่าบุตรชายนางผู้เกิดมาบนกองเงินกองทองจะมีวันที่ต้องไปใช้ชีวิตด้วยการนั่งรถเกวียน ตากแดดตากลม ทนหนาวทนร้อน จากที่อยู่ในจุดที่คนชื่นชมกลายเป็นถูกมองข้ามและดูแคลนได้อย่างไร
ราวกับเขาตกลงมาจากบนเมฆขาวสู่บึงอันมืดมิด
“จิ้งคง มานี่ที!”
เสียงตะโกนเรียกของเจียงหลีดังขึ้น
ในห้องนั้นไม่มีใครอื่น อวี้จิ่นเองก็ไม่อยู่ ส่วนหลงอีอาจกำลังหลบอยู่ในมุมมืดแห่งใดแห่งหนึ่ง
หลงอีไม่ใช่คนที่ปรากฏตัวได้ง่ายๆ แม้แต่เวินหลินหลังก็ไม่รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของหลงอี
หลงอีเลือกที่จะปรากฏตัวในบางสถานที่ แต่โดยพื้นฐานแล้ว จะไม่มีใครสังเกตเห็นเขาได้
องค์หญิงซิ่นหยางดึงผ้าห่มออก จากนั้นสวมรองเท้าปักเลื่อมดอกไม้แล้วลงจากเตียง
ลมยามเย็นพัดเอื่อยๆ พร้อมกลิ่นอายความเย็นสบายในปลายฤดูใบไม้ร่วง และเสียงกระดิ่งลมใต้ช่องหน้าต่างก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ
ท่ามกลางโลกภายนอกที่เร่งรีบ ลานเล็กๆ ในโรงหมอแห่งนี้กลับมีความเงียบสงบราวกับหลีกหนีจากโลกความเป็นจริง
นางดึงชายกระโปรงขึ้นให้กระชับ เปิดประตูที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ
ลานเล็กๆ ของกู้เจียวไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก เป็นลานหนึ่งทางเข้าซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษโดยเถ้าแก่รอง ส่วนเถ้าแก่รองเองไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้แต่อย่างใด เขาใช้ห้องเล็กๆ ที่ชั้นสองเป็นห้องพักของเขา
ขณะที่องค์หญิงเดินมาถึงโถงทางเดิน ก็ได้กลิ่นหอมอบอวลของมันหวานและข้าวโพดลอยเตะจมูก
นางเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยทั้งวัน เสียงท้องร้องเริ่มดังขึ้น
จากนั้นนางก็เดินตามกลิ่นไปที่ห้องครัว
ที่จริงไม่มีความจำเป็นที่นางต้องเดินออกมาเองด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างจากในห้องครัว
พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องครัว ก็ได้ยินเสียงราวกับกิ่งไม้หักนำมาก่อน
ด้วยความที่นางเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ ไม่เคยเห็นภาพในครัวมาก่อน นางจึงไม่รู้ว่าเสียงนี้คืออะไร
พอเดินเข้าไปใกล้ๆ มากขึ้น ถึงได้เห็นว่ามีคนอยู่ในนั้น
เป็นเด็กผู้ชายในชุดเครื่องแบบสีขาวล้วน นั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ หลังเตาโดยหันหลังให้ประตู ขาขวาของเขาเหยียดออกไปบนพื้น ส่วนขาซ้ายของเขากำลังงอลง และมีผ้ากระสอบผืนใหญ่คลุมศีรษะ
ด้านหลังเขาคือกองกิ่งไม้แห้งที่ยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยรอยด่าง เขาใช้มือซ้ายคว้ากิ่งไม้ที่แห้งแล้วสองกิ่ง จากนั้นใช้ขาซ้ายเหยียบให้หัก
กิ่งไม้ที่ถูกหักจะถูกวางไว้ทางฝั่งซ้ายของเขา
เมื่อดูจากความสูงของกองกิ่งไม้ที่หักแล้ว ดูเหมือนเขาจะทำไปเยอะแล้ว
จากนั้นเขาหยิบกิ่งไม้ที่ถูกหักโยนเข้าไปในเตาฟืนที่กำลังลุกโชน
เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือขวา เขาจึงใช้แขนขวาในการหักกิ่งไม้แทน ท่าทีของเขาทั้งดูลำบากและเปลืองแรง อีกทั้งไม่สามารถทำให้กิ่งไม้หักได้
เขาทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ลำคอของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมลงเสื้ออันบางเฉียบของเขา
มีกิ่งไม้ท่อนหนึ่งที่ยากเกินกว่าจะหักได้ เขาพยายามหลายครั้ง แต่มันไม่ยอมหักลงเสียที จนกิ่งไม้เกิดสัมผัสเข้ากับบาดแผล เขาถึงกับสูดปาก
องค์หญิงซิ่นหยางเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบก้าวเท้าออกไป
แต่สักพักก็หยุดลง
ในที่สุดเซียวลิ่วหลังก็หักกิ่งไม้ได้สำเร็จ เขาแทบไม่สนใจที่จะเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน เอี้ยวตัวลงคว้าหยิบที่คีบบนพื้นด้วยมือซ้าย และพลิกมันหวานที่อยู่บนเตา
พอเสร็จจากตรงนี้ ดูเหมือนข้าวโพดและผักต่างๆ ที่นึ่งไว้น่าจะได้ที่แล้ว
เขาลุกขึ้น เดินกะโผลกกะเผลกอ้อมเตาแล้วยกฝาหม้ออย่างช่ำชอง ควันร้อนสีขาวพัดผ่านใบหน้าของเขา จากนั้นคว้าเศษผ้าเพื่อใช้กันมือร้อน แล้วยกถาดนึ่งออกจากหม้อ
หลังจากนั้น เขาล้างมือด้วยน้ำสะอาดที่อยู่ด้านข้าง หันกลับมาและเปิดตู้ หยิบชามและตะเกียบมาสองชุด ชุดหนึ่งเป็นชามและตะเกียบสำหรับจิ้งคง และอีกชุด…
ขณะที่เขากำลังจะหยิบมันออกมา ดูเหมือนเขานึกอะไรขึ้นได้ แววตาของเขาไหววูบเล็กน้อย
ขนตาของเขาเริ่มสั่น ครั้นอยากจะหันกลับไปมองแต่ก็ไม่กล้า
ทันใดนั้นเอง ชามและตะเกียบในมือของเขาก็พลันหล่นลงพื้น
ทั้งชามและตะเกียบกลิ้งออกไปไกล ด้วยความที่เขาเดินเหินไม่สะดวก เขาค่อยๆ ลากเท้าคว้าที่ไร้เรี่ยวแรงของเขา แต่จู่ๆ มือขาวเรียวของใครบางคนยื่นออกมาและคว้าชามและตะเกียบขึ้น