บทที่ 433 จิ้งคง

หลงอีทายาให้เซียวลิ่วหลังเหมือนแต่ก่อน ยาอันแรกไม่หายก็เปลี่ยนยาใหม่ ลองทาจนยาตัวสุดท้าย หลงอีก็เริ่มร้อนรน มือไม้พันกันยุ่งเหยิงไปหมด

ราวกับเขารับรู้ได้ว่าขาของเซียวลิวหลังไม่มีวันหายดี

องครักษ์หลงอิ่งร้องไห้ไม่เป็น

ทั้งยังไร้ความรู้สึก

แต่วินาทีนี้ กู้เจียวที่ยืนอยู่นอกประตูสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวหลงอี

เซียวลิ่วหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา เอ่ยกับกู้เจียวที่รออย่างว่าง่ายริมระเบียงทางเดิน “ข้าเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”

ไปกันเถอะอย่างนั้นหรือ

กู้เจียวมองเซียวลิ่วหลังด้วยสายตาเหม่อลอย

ไม่นานก็ได้สติกลับมาก่อนจะเข้าใจว่าไปกันเถอะของเขานั้นหมายความว่าไปจากที่นี่

กู้เจียวไม่ได้พูดออกไปว่าอยู่ที่นี่คงจะเป็นการดีที่สุด นางวางกิ่งไม้ในมือลง ก่อนจะยืนขึ้นแล้วหันมาหาเขา “ไปกัน”

ระหว่างทางมายังรถม้า เซียวลิ่วหลังไม่ปริปากพูดแม้สักคำ

หลงอีเองก็ไม่ปรากฏตัวขึ้น แต่เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวนั้นต่างรู้ดีว่าเขาตามหลังรถม้าอยู่ไกลๆ

“เพราะองค์หญิงหรือ” ในที่สุดกู้เจียวก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน

เซียวลิ่วหลังพยายามเอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ “นางไม่อยากเห็นหน้าข้า”

ก็จริง หากอยากเจอก็คงไม่กลับไปที่จวนองค์หญิงหรอก

กู้เจียวไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร

รถม้าโคลงเคลงไปมาตลอดทาง

ใบหน้าของเซียวลิ่วหลังซีดเผือด

ในตอนนี้กู้เจียวไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะบาดแผลที่มือหรือเพราะบาดแผลในจิตใจกันแน่

กู้เจียวนึกถึงภาพวาดที่เห็นในจวงองค์หญิง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไป “เพราะเหตุใดรึ”

ที่กู้เจียวอยากถามก็คือเหตุใดระหว่างพวกเขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้

ทว่าเซียวลิ่วหลังกลับนึกว่ากู้เจียวหมายถึงเหตุใดองค์หญิงถึงไม่อยากเจอเขา

นั่นคือบาดแผลที่ถูกกรีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความทรงจำที่เขาไม่อยากแตะต้องมากที่สุด

ทว่าในเมื่อนางถาม

เขาก็จะตอบนาง

“เพราะข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง”

“เพราะลูกแท้ๆ ของนางได้ตายไปแล้ว”

“เพราะข้า”

เมื่อกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย ทั้งสองคนก็กักเก็บอารมณ์ของตนเองไว้อย่างดี สีหน้าไร้ซึ่งความผิดปกติใดๆ

เมื่อพวกเขามาถึงอย่างปลอดภัย หลงอีก็ใช้วิชาตัวเบาจากไปอย่างไร้สุ้มเสียง ในเมื่อเขาเป็นองครักษ์ลับขององค์หญิงซิ่นหยาง หน้าที่ของเขาคือคุ้มกันอยู่ข้างกายนาง

บ่ายวันนี้กั๋วจื่อเจียนมีสองคาบเรียน เสี่ยวจิ้งคงเลิกเรียนตั้งแต่บ่าย ตอนนี้กำลังชะโงกหัวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ที่หน้าประตูเรือนของตัวเอง

แม้เท้าคู่น้อยของเขาจะยืนมั่นอยู่หลังธรณีประตู แต่ร่างเล็กนั้นกลับโน้มออกนอกวงกบไปแล้ว แขนป้อมไข้วอยู่ด้านหลัง ราวกลับนกเพนกวินที่ชะเง้อมองไกลออกไป

กู้เจียวขบขันเพราะท่าทางของเขา

“เจียวเจียว” เสี่ยวจิ้งคงได้ยินเสียงกู้เจียวจึงเหลียวไปมอง เมื่อมั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด ก็เหลียวกลับไปตะโกนบอกแม่นางเหยาและแม่นมฝางที่อยู่ท้ายเรือน “เจียวเจียวกลับมาแล้ว! ข้า ข้า ข้า…ข้าออกไปข้างนอกได้แล้ว!”

พูดจบก็ก้าวขาสั้นป้อมของตัวเองข้ามธรณีประตู ก่อนจะวิ่งตึงตังเข้ามาหากู้เจียว

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เขาขาพันกันจนสะดุดล้มอีกแล้ว

นานมากแล้วที่ไม่ได้หกล้ม แต่ก็ยังกุมหัวตัวเองเอาไว้ได้อย่างชำนิชำนาญ

เขากุมศีรษะน้อยกลิ้งหลุนๆ มาหยุดอยู่ริมเท้ากู้เจียว

พอหยุดกลิ้งแล้วคงรู้สึกว่าภาพลักษณ์ชายชาตรีของตัวเองได้ถูกทำลายไปจนสิ้น สายตาของเขาล่อกแลกไปมา ยืนยืดตัวตรงก่อนจะร้องเรียกด้วยเสียงดังลั่น “เจียวเจียว”

เขาไม่เก้อเขินแต่อย่างใด แต่เป็นคนอื่นที่เก้อเขินแทน

คนอื่นคนนั้นก็คือพี่เขยนิสัยไม่ดี

พวกที่ชอบฉวยโอกาสหัวเราะเยาะคนอื่นจะเป็นใครไปได้อีก

แต่น่าเสียดายที่เซี่ยวลิ่วหลังนั้นรู้แกวเขา

ไม่รอให้กู้เจียวโน้มตัวลงมาอุ้มเขาขึ้นมา เซียวลิ่วหลังก็ชิงคว้าเสื้อของเจ้าตัวเล็กก่อนจะหิ้วขึ้นมา

ไอ้หยา!

ข้าจะให้เจียวเจียวอุ้มต่างหาก

ไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย!

เซียวลิ่วหลังหิ้วเจ้าตัวเล็กเดินเข้ามาในลานบ้าน

เขาทำไม้เท้าหายไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเหมือนกัน แม้จะไม่ทำเจ้าตัวเล็กหลุดมือ ทว่าวินาทีเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ เท้าขวาของเขาก็ฝืนทนไม่ไหวอีกต่อไป

กู้เจียวเข้ามาอุ้มตัวเสี่ยวจิ้งคงได้ทันเวลาพอดี ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็พยุงเขาไว้ ไม่ปล่อยให้เขาเสียหน้าล้มลง

เซียวลิ่วหลังสัมผัสได้ถึงเท้าขวาอันไร้เรี่ยวแรงของตัวเอง ฝ่ามือที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนั้นก็กำแน่นขึ้นมา

เรื่องที่เซียวลิ่วหลังถูกมือสังหารจับตัวไปนั้น กู้เจียวไม่ได้บอกให้คนที่บ้านรับรู้ บอกเพียงแค่ว่าเขาออกไปทำงานนอกเมือง เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะให้เขาพักฟิ้นที่เรือนองค์หญิงซิ่นหยางจนกว่าแผลจะหาย จะได้ไม่ต้องอธิบายกับคนที่บ้าน

ทว่ากลับมาก่อนกำหนดแบบนี้ เรื่องที่ได้รับบาดเจ็บคงไม่อาจปิดบังได้

“ลิ่วหลังกลับมาแล้วหรือ ออกไปทำงานนอกเมืองคราวนี้…” เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด แม่นางเหยาพูดยังไม่ทันจบ ก็สังเกตเห็นมือขวาที่แข็งทื่อของเขา “ลิ่วหลัง มือของเจ้า”

เซียวลิ่วหลังตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ตอนออกไปทำงานไม่ทันได้ระวังจึงหกล้มขอรับ กระแทกเข้ากับซี่บันได เลือดออกนิดหน่อย ไม่เป็นไรแล้วขอรับ”

แต่ก็เย็บตั้งหลายสิบเข็ม

กู้เจียวพูดต่อในใจ

น่าเสียดายนัก ฝ่ามืออันงดงามของสามีนางต้องมีรอยแผลเช่นนี้ ต้องตัดมือเจ้าคนร้ายนั่นมาชดใช้!

ข้อมือของเซียวลิ่วหลังพันผ้าพันแผล แม่นางเหยาไม่อาจแกะผ้าพันแผลออกมาเพื่อดูบาดแผลได้ จึงเชื่อว่าเป็นเพียงบาดแผลธรรมดาอย่างที่เขาว่า แต่ในใจก็รู้สึกสงสารเหลือเกิน จึงสั่งให้แม่นมฝางตุ๋นน้ำแกงขาหมู บำรุงมือให้กับเขา

เซียวลิ่วหลัง “…”

วันนี้เซียวลิ่วหลังยังต้องเติมน้ำเกลือ กู้เจียวแขวนถุงน้ำเกลือไว้กับชั้นหนังสือหลังโต๊ะทำงานของเขาในห้องฝั่งตะวันตก เซียวลิ่วหลังเติมน้ำเกลือไปพลางอ่านหนังสือไปพลาง

ไม่นาน เสี่ยวจิ้งคงก็หอบภาพเหมือนภาพหนึ่งเดินเข้ามา

ส่วนสูงของเขานั้นยังนับว่าตัวกระจ้อยร้อย ต้องเขย่งปลายเท้าถึงจะโผล่ศีรษะพ้นเหนือขอบโต๊ะได้

เข้าเดินอ้อมโต๊ะหนังสือก่อนจะมาหยุดอยู่ข้างกายเซียวลิ่วหลัง เอียงคอถามเซียวลิ่วหลัง “เจ้ามีน้องชายหรือ”

เซียวลิ่วหลังไม่เงยหน้าขึ้น ยังคงพลิกเปิดตำราเลขของแคว้นเยียนอ่านต่อไปเรื่อยๆ “เหตุใดถึงได้ถามขึ้นมาล่ะ”

เสี่ยวจิ้งคงมองภาพวาดของเซียวเหิงน้อย “คนนี้หน้าตาเหมือนเจ้าเป๊ะเลย”

เซียวลิ่วหลังตกตะลึง เขาเหลียวไปมองก็เห็นภาพวาดในมือของเสี่ยวจิ้งคง

เขานึกออกในทันทีว่าในภาพคือใคร ตัวเขาเมื่อยามอายุได้ห้าปีกับองค์หญิงซิ่นหยางยามสาว

เรียวนิ้วของเขาบีบกันแน่น “ไปเอาภาพนี้มาจากไหน”

“ในตะกร้าของเจียวเจียว” เสี่ยวจิ้งคงเอียงคอตอบ “น้องชายเจ้าหล่อมาก หล่อกว่าเจ้าเสียอีก! น้องชายเจ้ายิ้มเป็น แต่เจ้ายิ้มไม่เป็น!”

เซียวเหิงน้อยในภาพวาดนั้นยิ้มสดใส ราวกับเขานั้นครอบครองความสุขสันต์ของโลกใบนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว

นั่นคือเซียวเหิงในอดีต

เซียวลิ่วหลังมองตัวเองและองค์หญิงซิ่นหยางบนภาพวาด ในใจก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมา

คล้ายกับว่าสายใยแม่ลูกนั้นได้ขาดสะบั้นไปจากเขานานมากแล้ว ไม่อาจหวนคืนกลับไปเป็นดังเก่าก่อน ราวกับอยู่บนเส้นขนาน

ช่วงบ่าย อาการโรคหัวใจขององค์หญิงซิ่นหยางกำเริบขึ้นจึงหมดสติไปยามอยู่ที่จวน

เพราะกลัวว่าจะช่วยชีวิตได้ไม่ทันการณ์ อวี้จิ่นจึงพาตัวองค์หญิงซิ่นหยางมาถึงโรงหมอ

กู้เจียวก็ถูกหลงอีกระเตงออกมาด้วยเช่นกัน ช่างเป็นความรู้สึกอยากจะอธิบาย

องค์หญิงซิ่นหยางกินยาต้านหัวใจล้มเหลวของศูนย์วิจัย อาการก็เบาลงและอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ที่เป็นลมหมดสติไปนั้นไม่ใช่โรคหัวใจกำเริบ แต่เป็นเพราะนอนไม่หลับทั้งคืน เหนื่อยล้าสะสม ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

กู้เจียวให้กูลโคสกับองค์หญิงซิ่นหยาง

องค์หญิงซิ่นหยางฟื้นขึ้นมาก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว นางลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตา ข้างเตียงมีศีรษะน้อยกลมมนเคลื่อนไปมา

นางอ้าปากเอ่ย ถามด้วยเสียงแหบพร่า “ที่นี่ที่ไหน”

เสี่ยวจิ้งคงที่กำลังนั่งเล่นดีดลูกแก้วอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้น มองนางตาปริบๆ “โยมหญิงตื่นแล้วหรือ ท่านอยู่ที่โรงหมอ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ เจียวเจียวบอกว่าหากท่านรู้สึกไม่สบาย ให้ข้าไปบอกนาง นางกำลังออกตรวจอยู่ข้างนอก”