บทที่ 550 คู่บำเพ็ญเพียร เลิศเอกาเผยตัว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 550 คู่บำเพ็ญเพียร เลิศเอกาเผยตัว

เมื่อสงครามระหว่างเผ่าปีศาจและเผ่าสวรรค์สิ้นสุดลง ชื่อเสียงของเผ่าปีศาจก็เลื่องลือขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยเหตุนี้สรรพสิ่งจึงได้ทราบว่าเผ่าสวรรค์ใช่ว่าจะคงกระพันรบไร้พ่าย ใช่ว่าจะไม่อาจท้าทายได้

วัฏจักรเริ่มต้นขึ้น เผ่าปีศาจผงาดขึ้นมาอีกครั้ง

ต่อจากเผ่ามาร ความจริงแล้วเป็นเผ่าจอมเวท ก่อนที่มรรคาสวรรค์จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เผ่าปีศาจก็ถูกจัดให้อยู่ต่อจากเผ่ามารเช่นกัน คงไม่บังเอิญถึงเพียงนั้น ต้องเป็นลิขิตสวรรค์แน่นอน

ถึงแม้จะมีสงคราม แต่พัฒนาการของแดนเซียนกลับยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ อย่างแท้จริง กระแสการบำเพ็ญแผ่ซ่านไปทั่วปวงสวรรค์หมื่นโลกา นอกเหนือไปจากเผ่าบรรพกาล เผ่าปีศาจและเผ่าสวรรค์แล้ว ยังมีเผ่าพันธุ์อีกมากมายที่ผงาดขึ้นมา ทั้งมีแนวโน้มว่าจะผุดขึ้นมาเรียงรายราวดอกเห็ด

มิใช่เพียงเท่านี้ หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นด้วยว่าแดนเซียนขยายใหญ่ขึ้น!

แปดทิศทั่วแดนแผ่ขยายรุกคืบเข้าไปในแดนต้องห้ามอันธการอย่างต่อเนื่อง ผืนดินขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยสังเกตดูอย่างละเอียด พบว่าทั่วสารทิศในแดนเซียนมีกลิ่นอายแห่งอริยะ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของอริยะ

หานเจวี๋ยเฝ้ามองอยู่สักพัก จากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

อวี้ผูถีและอริยะเจ็ดวิถีสร้างแรงกดดันให้แก่หานเจวี๋ย แม้จะผ่อนคลายได้เป็นครั้งคราว แต่เป้าหมายหลักของชีวิตย่อมเป็นการฝึกบำเพ็ญ

แม้จะมีคุณสมบัติไม่เป็นสองรองใคร แต่ถ้าคิดจะไปให้ถึงระดับมหามรรค ก็ยังต้องใช้เวลาอีกนาน

แล้วอย่างตี้จวินล่ะ ผ่านการบำเพ็ญมากี่มหาเคราะห์กัน

จินตนาการไม่ออก!

คำนวณไม่ได้เลย!

เป้าหมายในตอนนี้ของหานเจวี๋ยก็คืออริยะเสรี!

ถึงแม้จะบรรลุระยะกลางแล้ว แต่ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี!

….

สองร้อยสามสิบปีต่อมา

ลี่เหยามาขัดจังหวะในขณะที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่ นางมาขอเข้าพบหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยให้นางเข้ามาในอาราม

ลี่เหยาก้าวมาหยุดตรงหน้าหานเจวี๋ยแล้วค้อมกายคำนับ เอ่ยว่า “เจ้าสำนัก หลังจากบรรลุถึงระดับต้าหลัว ตบะของข้าก้าวหน้าขึ้นช้ายิ่ง ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่ายังขาดอะไรบางอย่างไป”

หานเจวี๋ยตอบ “ขาดประสบการณ์กระมัง”

นิสัยของลี่เหยาเหมือนเขาไม่มีผิด ตั้งแต่มาถึงสำนักซ่อนเร้นก็ไม่ออกไปไหนอีกเลย แต่สิ่งที่ต่างไปจากเขาคือลี่เหยาไม่มีระบบ

ต้าหลัวเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตแล้ว หากไร้ซึ่งโชควาสนา ก็ก้าวหน้าต่อไปได้ยากนัก

ส่วนครึ่งอริยะ มีผู้ใดบ้างเล่าไม่ใช่บุตรแห่งสวรรค์หรือยอดฝีมือไร้เทียมทานที่น่าตื่นตะลึงแห่งยุค

ลี่เหยาขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ข้าไม่อยากออกไปหาประสบการณ์ โอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ในโลกนี้ไหนเลยจะสู้ท่านได้”

หานเจวี๋ยถาม “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าขาดสิ่งใดไปเล่า”

ลี่เหยาสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “ข้าเคยฝึกประสบการณ์มาก่อนจะเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นแล้ว ตลอดการเดินทางในแดนเซียนเผชิญกับการสังหารฆ่าฟันมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร เมื่อมองย้อนกลับไป สิ่งที่ขาดไปน่าจะเป็นคู่ครอง”

คู่ครอง?

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

เขาฟังความหมายแฝงออก

เขาพิจารณาดูลี่เหยา ต้องกล่าวเลยว่าในด้านของรูปโฉม ในบรรดาสตรีที่เขาเคยรู้จักมาลี่เหยานับว่าเป็นหญิงงามอันดับต้นๆ คนหนึ่ง ด้านนิสัยใจคอก็ทำให้เขาชื่นชมยิ่ง

ลี่เหยาอยู่ในสำนักซ่อนเร้นโดยไม่มีสถานะชัดเจนมาตลอด มิใช่ศิษย์ของหานเจวี๋ย เพียงมีศักดิ์เสมอศิษย์รุ่นที่สองเท่านั้น

หานเจวี๋ยจมอยู่ในภวังค์ความคิด

ลี่เหยาปลุกความกล้าขึ้นมา จ้องมองหานเจวี๋ย

คำพูดเหล่านี้นางสะกดกลั้นเอาไว้มานานมากแล้ว

นับตั้งแต่หานเจวี๋ยช่วยเหลือนางไว้ ชี้นำนางมายังสำนักซ่อนเร้น ความรักก็หยั่งรากมานานแล้ว

ผ่านไปพักใหญ่

ลี่เหยาลุกขึ้นมา เดินเข้าไปหาหานเจวี๋ย

ใต้ต้นฝูซัง

ไก่คุกรัตติกาลมองไปทางอารามเต๋าของหานเจวี๋ย เอ่ยพึมพำ “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าสตรีนางนั้นอยากกินไก่กันนะ”

ถูหลิงเอ๋อร์ได้ยินแล้วพลันลืมตาขึ้น ลอบโมโหอยู่ในใจ

บัดซบ!

ช้าไปก้าวหนึ่ง!

แต่นางไม่มีความกล้าเช่นนั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นศิษย์ของหานเจวี๋ย สถานะศิษย์อาจารย์ดุจขุนเขาใหญ่ลูกหนึ่งที่กดทับไว้ ทำให้นางไม่กล้าล้ำเส้น

อู้เต้าเจี้ยนถามด้วยความฉงน “กินไก่ นางอยากกินเจ้าหรือ”

ไก่คุกรัตติกาลกลอกตาใส่นางแวบหนึ่ง พูดว่า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก โง่งม รู้จักแต่ฝึกบำเพ็ญ เจ้าน่ะเดิมทีสมควรเป็นศาลาใกล้น้ำได้ชมจันทร์ก่อนด้วยซ้ำ น่าเสียดาย เจ้าทึ่มเกินไป”

น้ำเสียงของมันคับแค้นใจที่ไม่อาจเปลี่ยนเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้ อู้เต้าเจี้ยนได้ฟังก็ลุกขึ้นชักกระบี่ทันที

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเข้ามาไกล่เกลี่ย ผลคือบังเอิญถูกลูกหลงเข้า

ชั่วขณะนั้น ใต้ต้นฝูซังเกิดความชุลมุนไก่เหินสุนัขกระโจน ไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้กันมานานแล้ว

….

เจ็ดปีต่อมา

ภายในอารามเต๋า ลี่เหยานั่งสมาธิอยู่ข้างกายหานเจวี๋ย อาภรณ์เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ใบหน้ากลับแดงเรื่อนิดๆ

หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบา “นับว่าไม่เลวเลย ประสานพลังเวทกันแล้ว เจ้าน่าจะทะลวงระดับได้”

ลี่เหยาพยักหน้ารับ เอ่ยว่า “ขอบคุณเจ้าสำนักมาก พลังเวทของท่านชี้นำข้าได้มากนัก ยอดเยี่ยมยิ่งกว่ามานะบำเพ็ญนับหมื่นปี”

หานเจวี๋ยส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่ถึงขนาดนั้น”

“อืม”

ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

ลี่เหยาลุกขึ้น หลังจากค้อมคำนับหานเจวี๋ยเสร็จก็หันหลังเดินออกไป

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็เรียกนางไว้ กล่าวว่า “นับจากนี้ไป เจ้านับว่าเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของข้า เช่นเดียวกับสิงหงเสวียนและเซวียนฉิงจวิน จำเอาไว้ว่าสิงหงเสวียนมีฐานะเป็นเอก อย่าได้วิวาทขัดแย้งกัน”

ลี่เหยาได้ยินก็มีสีหน้าปรีดา รีบหันหลับไปตอบรับทันที

หลายวันผ่านไป

สิงหงเสวียนมาขอเข้าพบ นางไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เพียงมาเคล้าคลอหานเจวี๋ย ผ่านไปหนึ่งปีเต็มถึงได้ยอมจากไป

หานเจวี๋ยอดสอดส่องดูสตรีคนอื่นๆ ไม่ได้ เซวียนฉิงจวิน เซียนซีเสวียน และฉางเยวี่ยเอ๋อร์ล้วนยังคงฝึกบำเพ็ญอยู่

ปกติแล้วสตรีทั้งสามล้วนเก็บตัวยิ่ง สาเหตุหลักเป็นเพราะคุณสมบัติไม่ได้เรื่อง จำเป็นต้องใช้เวลา

บางทีอาจเป็นเพราะตบะห่างชั้นกันมากโข พวกนางจึงระมัดระวังกริยายามอยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยก็ไม่ได้บังคับฝืนใจให้พวกนางไปทำอันใด ปล่อยทุกอย่างไปตามธรรมชาติ

ในเรื่องสตรี หานเจวี๋ยไม่มีความปรารถนามากนัก เขาเป็นอริยะแล้ว ไม่มีทางเป็นฝ่ายเริ่มลดตัวลงไปหาก่อน

แน่นอน ศิษย์ที่เหลือล้วนเฉียบแหลมกันทั้งสิ้น เมื่อพบเจอสตรีทั้งสามล้วนไม่กล้าเย้าแหย่

‘อันที่จริงได้เสพสมผสานหยินหยางบ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระ’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ จากนั้นจึงฝึกบำเพ็ญต่อ

หนึ่งร้อยปีต่อมา ลี่เหยาทะลวงถึงระดับเซียนทองต้าหลัวระยะกลางแล้ว ในงานประลองใหญ่ประจำศตวรรษก็ต่อสู้ฟาดฟันจนเข้าสู่สามลำดับแรกได้อีกครั้ง ผลงานเช่นนี้ทำให้เหล่าศิษย์ตื่นตะลึงกันยิ่งนัก ไม่ทราบว่าหานเจวี๋ยถ่ายทอดอะไรให้แก่นางกันแน่

อย่างไรก็ตาม หากต้องการเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของหานเจวี๋ย เกณฑ์การคัดเลือกกลับสูงเหลือเกิน แค่เพศสภาพก็ทำให้บรรดาศิษย์ที่เหลือถอดใจแล้ว

ชั่วพริบตาเดียว เวลาล่วงเลยไปอีกหกร้อยปี

จักรพรรดิเซียนในเขตเซียนร้อยคีรีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เผ่าเอกาทั้งหมดล้วนบรรลุระดับเทพแล้ว ยังคงห่างไกลจากระดับต้าหลัว แต่ระดับหนึ่งหมื่นคนก็เพียงพอจะโค่นล้มทุกกลุ่มอิทธิพลในโลกได้แล้ว

ในวันนี้

หลี่เต้าคงกลับมา หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายเขามาที่อารามเต๋า

หลายปีมานี้ หลี่เต้าคงมักจะไปหาสือตู๋เต้าอยู่เนืองๆ แต่ไม่เห็นจดหมายแจ้งเตือนอาการบาดเจ็บแล้ว

“เจ้าสำนัก ข้าบังเอิญพบจี้เซียนเสินผู้นำเผ่าสวรรค์ เขาตกอยู่ในสภาวะวิกฤต หวังว่าสำนักซ่อนเร้นจะยอมให้ความช่วยเหลือ มิใช่เขาเท่านั้น ฟางเหลียงก็ถูกขังไว้เช่นกัน” หลี่เต้าคงเปิดปากเอ่ย

หานเจวี๋ยถาม “ถูกผู้ใดกักขัง”

“ต้าซั่นเทียน คนผู้นี้ก่อตั้งโลกมนุษย์แห่งแรกขึ้น มีเซียนทองไท่อี่ใต้บัญชากว่าพันคน พื้นฐานตบะก็อยู่ในระดับครึ่งอริยะระยะปลาย พลังวิเศษกล้าแกร่ง” หลี่เต้าคงเอ่ยตอบ

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมว่า “เบื้องหลังต้าซั่นเทียนคือนิกายฉ่าน เหล่าอริยชนแสดงความเป็นมิตรต่อท่าน ส่วนจี้เซียนเสินและฟางเหลียงข้าไม่รู้ว่ายามนี้นับว่าเป็นศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือช่วยเหลือ”

หานเจวี๋ยไม่ได้ขุ่นเคืองในเรื่องนี้ ตรงกันข้าม เขาพอใจยิ่งนัก

หลี่เต้าคงไม่ได้หุนหันพลันแล่นอย่างที่เขาคาดไว้ รู้จักไตร่ตรองให้ถ้วนถี่

หานเจวี๋ยจึงเอ่ยว่า “เจ้าจงไปหาหานโยว นำกำลังเลิศเอกาหนึ่งพันคนมุ่งไปช่วยเหลือจี้เซียนเสินและฟางเหลียง พาพวกเขากลับไปส่งบนสวรรค์อย่างปลอดภัย”

ควรช่วงชิงดวงชะตามรรคาสวรรค์ด้วย!

อยู่ในแดนเซียน หานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง

หลี่เต้าคงลอบตกตะลึงอยู่ในใจ ลงมือใหญ่โตถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เขาถามด้วยความระแวดระวัง “เช่นนั้นเหล่าอริยะล่ะขอรับ”

“ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

“ทราบแล้วขอรับ”

หลี่เต้าคงรีบไปจัดการทันที

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายหลี่เต้าคงและเลิศเอกาหนึ่งพันคนออกจากอาณาเขตเต๋า

หานเจวี๋ยหลับตาฝึกบำเพ็ญต่อ เขาไม่นึกกังวลเลยว่าอริยะนิกายฉ่านจะคิดเห็นเช่นไร

ใครหมัดหนักกว่าคนนั้นสิถึงจะแน่จริง!

………………………………………………………………