บทที่ 549 กลุ่มพุทธองค์แห่งแดนบรรพกาล เผ่าปีศาจรบเผ่าสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 549 กลุ่มพุทธองค์แห่งแดนบรรพกาล เผ่าปีศาจรบเผ่าสวรรค์

ร่างแยกของอวี้ผูถี?

เปลือกตาหานเจวี๋ยกระตุก นี่คือร่างแยก ไม่ใช่ร่างจำลองและไม่ใช่การกลับชาติมาเกิด

กล่าวอีกนัยคือ อวี้ผูถีตัวจริงกำลังจับตามองเขาผ่านเจี่ยอวี้อย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมา ค้นหาอวี้ผูถี

[อวี้ผูถี: ไม่ทราบตบะ นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น ต้นโพธิ์ต้นแรกแห่งมรรคาสวรรค์ที่ฝึกบำเพ็ญสำเร็จมรรค ปฐมปรมาจารย์แห่งสำนักพุทธ พำนักอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการ เกิดความประทับใจในตัวท่าน เนื่องจากท่านได้รับคำชมเชยจากปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

ตั้งแต่สดับมรรคที่ตำหนักเอกอนันต์ในครั้งนั้น ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ตี้จวิน อริยะเจ็ดวิถี และอวี้ผูถีล้วนเกิดความประทับใจในตัวเขา เขาหลงนึกว่าทั้งสี่คนนี้ตั้งวงเล่นไพ่นกกระจอกกัน

อวี้ผูอีมีฐานะเป็นนักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น ย่อมไม่อ่อนด้อยไปกว่าอริยะมหามรรคแน่

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับตัวตนของเจี่ยอวี้ แต่สายตาเขาไม่ได้วอกแวกหันเหไปเลย

เจี่ยอวี้เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลาหมดจด อาภรณ์ขาวเกศาดำ ยืนอยู่ในฝูงชนแล้วไม่นับว่าโดดเด่นนัก

หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา แย้มยิ้มถามหานทั่วต่อว่า “เจ้าแค้นเคืองเทพเซียนหรือ”

หานทั่วตอบว่า “ไม่นับว่าแค้นเคือง แค่รู้สึกว่าเผ่ามนุษย์อย่างข้าไม่จำเป็นต้องศรัทธาในเทพเซียน เผ่ามนุษย์ประสบภัย เทพเซียนไม่เคยช่วยเหลือ เมื่อเผ่ามนุษย์แข็งแกร่งขึ้น เทพเซียนก็ยังต้องการให้เผ่ามนุษย์เลื่อมใสศรัทธาพวกเขาอยู่ดี ข้าจึงไม่ชอบเทพเซียน”

หานเจวี๋ยลอบถอนหายใจกับตัวเอง

เด็กคนนี้ยังเหมือนเขาไม่มากพอ พูดจาเปิดเผย ไม่ใช่เรื่องดีเลย

ถึงแม้หลายปีมานี้หานทั่วจะไม่เคยพึ่งพาหานเจวี๋ยเลย แต่ยังคงได้รับกำลังสนับสนุนจากหานเจวี๋ยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย นี่นับเป็นเรื่องปกติ มนุษย์ในโลกหล้า ไหนเลยจะสามารถพึ่งพาตัวเองทุกเรื่องได้

“พวกเราเสาะหาสถานที่สำหรับพูดคุยกันหน่อยดีหรือไม่” หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม

หานทั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพยักหน้ารับ

อีกฝ่ายมีความเป็นมาลึกลับ อีกทั้งไม่มีเจตนาร้าย คบค้าด้วยก็ไม่ถือเป็นเรื่องเลวร้าย

สองพ่อลูกพากันจากไป

หานเจวี๋ยทิ้งกระแสจิตไว้ พบว่าเจี่ยอวี้ไม่ได้ตามมา

สองพ่อลูกมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พูดคุยสัพเพเหระ พูดเรื่องฟ้าว่าเรื่องดิน สนิทสนมกันขึ้นเรื่อยๆ

ช่างบังเอิญนัก ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เจี่ยอวี้ก็มาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เช่นกัน ซ้ำยังเลือกโต๊ะข้างๆ คนทั้งสองอีกด้วย

หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นไม่สนใจ

สองพ่อลูกพูดคุยกันต่อไป

จู่ๆ หานทั่วก็ถามด้วยความอยากรู้ “วั่วหลง ท่านมีตบะระดับใด”

หานทั่วบำเพ็ญมาเก้าพันปีถึงสำเร็จเป็นจักรพรรดิเซียน ความรู้นับว่ากว้างขวาง สมณะที่อยู่เบื้องหน้ารูปนี้ทำให้เขารู้สึกว่าลึกล้ำเกินหยั่งวัด ตบะต้องสูงกว่าเขาหลายระดับอย่างแน่นอน

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ระดับตบะของข้าไม่สำคัญ ครั้งนี้ได้ผูกไมตรีกันเพียงเพราะวาสนา หากวันหน้าเจ้าไม่มีที่ไป จงไปกราบเข้าร่วมวังสวรรค์หรือไม่ก็เผ่าสวรรค์เถิด พวกเขาล้วนจะรับตัวเจ้าไว้”

กล่าวจบ หานเจวี๋ยก็ลุกขึ้น เตรียมตัวจากไป

หานทั่วรีบลุกขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “ท่านเป็นเทพเซียนหรือ”

หานเจวี๋ยพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วหายตัวไป “มิใช่เทพหาใช่เซียน เป็นเพียงผู้เฝ้ามองที่อยู่นอกเหนือโลกธุลีแดง”

ผู้เฝ้ามองหรือ

หานทั่วไม่เข้าใจเลย

เวลานี้เอง เจี่ยอวี้พลันลุกขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชาย ข้าขอร่วมโต๊ะกับเจ้าได้หรือไม่”

หานทั่วมองเขาพลางขมวดคิ้ว

เหตุใดเพิ่งจากไปคนหนึ่ง ก็มีมาอีกคนหนึ่งเลยเล่า

….

หานเจวี๋ยกลับไปที่อารามเต๋า สอบถามเงียบๆ ในใจทันที ‘เหตุใดอวี้ผูถีต้องส่งเจี่ยอวี้มาตีสนิทกับบุตรชายข้า’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนหกหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

จากนั้นหานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เขามาโผล่ในพระราชวังงามโอ่อ่าสว่างไสวแห่งหนึ่ง ภายในวังมีเมฆหมอกลอยอวล แสงสีทองส่องวิบวับ เขากวาดสายตามองไป เห็นพระพุทธองค์มากมายนับไม่ถ้วน บ้างก็อยู่ในปางไสยาสน์บนแท่นดอกบัว บ้างก็ทรงสัตว์ปีศาจดุร้าย บ้างก็กำลังหลับตาสวดมนต์ ซ้ำยังมีองค์ที่หลั่งน้ำตาไม่หยุด ท่าทางและอิริยาบถแตกต่างกันออกไป

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปที่อวี้ผูถี

อวี้ผูถีเป็นนักพรตเต๋าหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้ นั่งอยู่บนแท่นบัวขาวเจ็ดสิบสองชั้น ท่าทางราวกับผู้ที่หลุดพ้น

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

ที่นี่คือที่ไหน

สำนักพุทธหรือ

เป็นสำนักพุทธที่ระดับสูงกว่าในแดนเซียนเช่นนั้นหรือ

ด้านข้างของอวี้ผูถีมีเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งอยู่ มีแสงเจิดจ้าส่องออกมาจากทั่วร่าง มองเห็นเพียงเค้าโครงร่างเท่านั้น เห็นได้ว่าเป็นพุทธองค์ร่างยักษ์ที่ค่อนข้างผ่ายผอมรูปหนึ่ง

พุทธองค์ยักษ์ร่างผอมเปิดปากเอ่ยว่า “ช่วงนี้ดวงชะตามรรคาสวรรค์ลดฮวบลง มารสวรรค์อาละวาด แม้วิกฤตจะคลี่คลายลง แต่เค้าลางแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นแล้ว พวกเจ้าคิดเห็นกันเช่นไร”

เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าพุทธองค์จึงเริ่มตอบ

“ไยต้องใส่ใจมรรคาสวรรค์ด้วยเล่า ล้วนเป็นสิ่งอนิจจังเลื่อนลอยทั้งสิ้น”

“มรรคาสวรรค์หาได้มีเพียงหนึ่งเดียวไม่ พวกเราไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นยึดติดเลย”

“มรรคาสวรรค์เป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง เป็นรากฐานแห่งมหามรรค พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัด”

“สิ่งที่เรียกว่าเทพมารอนธการ มีตัวตนอยู่จริงๆ น่ะหรือ”

“ระยะนี้มีเทพมารฟ้าบุพกาลปรากฏตัวในแดนบรรพกาลหลายตน สงครามโลกใกล้จะอุบัติขึ้นแล้ว หากพวกเราใส่ใจมรรคาสวรรค์ในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องดีเลย”

….

เหล่าพุทธองค์ต่างยืนกรานในความคิดตน ถึงแม้จะต่างคนต่างพูด แต่ก็ไม่เกิดเหตุการณ์เอะอะโวยวายขึ้นเลย ทำให้คนรู้สึกสงบใจอย่างน่าประหลาด เสมือนกำลังถกมรรคกันอยู่

อวี้ผูถีค่อยๆ เปิดปากกล่าวว่า “เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

เหล่าพุทธองค์จึงพากันสงบลง

ฉากสถานการณ์พังทลายลง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น

แดนบรรพกาลก็ตั้งอยู่ในแดนเทพหวนปัจฉิม กล่าวอีกนัยคือพุทธองค์กลุ่มนั้นมาจากแดนเทพหวนปัจฉิม

สาเหตุที่ส่งเจี่ยอวี้มา เพื่อตรวจสอบมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่หรือ

‘โชคดีที่ข้าผนึกสายเลือดของหานทั่วไว้ ไม่ได้ปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์’ หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เขาเริ่มสอดส่องดูหานทั่วและเจี่ยอวี้

ทั้งสองนั่งร่วมโต๊ะและเริ่มสนทนากัน

ผ่านไปสักพักหนึ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มสนิทสนมขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่นัดหมายว่าจะบุกเข้าสู่แดนเซียนด้วยกัน

หานเจวี๋ยก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวเช่นกัน ได้แต่มองอยู่เงียบๆ

สามปีต่อมา

เจี่ยอวี้แยกกับหานทั่ว ทั้งสองเป็นสหายผู้รู้ใจกันแล้ว เพียงแต่เจี่ยอวี้มีธุระต่อ จึงกล่าวอำลาหานทั่ว

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘เจี่ยอวี้ทราบหรือไม่ว่าหานทั่วคือเทพมารอนธการ’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ตอนนี้ไม่ทราบ]

หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เช่นนั้นก็ดีแล้ว ขอเพียงไม่นึกสงสัยหานทั่วก็พอ

ส่วนหานเจวี๋ย เขาเก็บตัวอยู่ในอาณาเขตเต๋าย่อมไม่นึกหวั่นเกรง

หานเจวี๋ยปรับอารมณ์ ฝึกบำเพ็ญต่อ

ถึงอย่างไรมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ก็ยังอยู่อีกไกลนัก

….

หลังจากเหล่าอริยชนประกาศว่าจะคัดเลือกอริยะรายใหม่ ทั่วทั้งแดนเซียนก็ตกอยู่ในบรรยากาศบ้าคลั่ง

เพื่อแรงกุศลมรรคาสวรรค์อันมหาศาล เหล่าผู้ทรงพลังแทบทั้งหมดล้วนออกมาก่อตั้งสำนัก เผยแพร่มรรค ตรากฎระเบียบและสรรค์สร้างพลังวิเศษกันสารพัด ผุดขึ้นมาทั่วแดนเซียน ส่งเสริมพัฒนาการแห่งมรรคาสวรรค์อย่างมหาศาลยิ่ง

เขตเซียนร้อยคีรียังคงสงบสุขดี พวกเขาไม่สนใจตำแหน่งอริยะเลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ออกไปไม่ได้อยู่แล้ว

พริบตาเดียวก็ผ่านไปร้อยปีแล้ว

เสียงดังสนั่นแว่วมาจากฟากฟ้า สั่นสะเทือนแก้วหู

หานเจวี๋ยลืมตามองออกไป เห็นอีกาทองสามขาขนาดมหึมาตัวหนึ่งนำทัพทหารปีศาจนับไม่ถ้วนเข้าโจมตีชั้นฟ้าที่สิบสาม

เผ่าปีศาจรบเผ่าสวรรค์!

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว อีกาทองสามขาตัวนี้โง่งมหรือไร

ท้ารบเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์ตรงๆ เลยหรือ!

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย ท่าทางดูแปลกพิกลขึ้นมา

จี้เซียนเสินและไพร่พลบางส่วนไม่ได้อยู่ในเผ่าสวรรค์ เทพเซียนที่เฝ้าคุ้มกันเผ่าสวรรค์อยู่ล้วนมาจากสำนักดวงชะตาอื่นๆ

หรือว่าจี้เซียนเสินจะสมคบกับเผ่าปีศาจ ยืมดาบสังหารคน

น่าสนใจอยู่บ้าง

หานเจวี๋ยพบว่าเผ่าปีศาจก่อตัวเป็นเครือข่ายแล้ว ทหารปีศาจมีจำนวนเกินหลักล้าน ถึงแม้ส่วนใหญ่จะมีตบะอ่อนแอ แต่อย่างน้อยภาพรวมก็นับว่าน่าดูชมนัก

ศึกนี้ดำเนินอยู่หลายสิบปี สุดท้ายเผ่าปีศาจและเผ่าสวรรค์ก็เสียหายหนักทั้งสองฝ่าย

ชื่อเสียงของเผ่าปีศาจพลันดังกระฉ่อนไปชั่วขณะ!

ในสายตาของสรรพสิ่ง เผ่าสวรรค์เป็นกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุด!

หานเจวี๋ยกลับมองออกว่าคลื่นน้ำในเผ่าสวรรค์สะสมจนกลายเป็นมหาสมุทรแล้ว หลังจากเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น ตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทพต่างก็ลดจำนวนลงทั้งสิ้น

……………………………………………