บทที่ 557 อาซือเชื่อฟังที่สุด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 557 อาซือเชื่อฟังที่สุด

บทที่ 557 อาซือเชื่อฟังที่สุด

กู้อันผิงเห็นเหตุการณ์จึงหัวเราะขึ้นมา “พวกเจ้าคนหนุ่มสาว มักจะมีเรื่องให้โกรธกันบ่อยครั้ง ว่าตามตรง ข้าเองก็เคยมีหญิงที่ชอบ นางเองก็มักจะโกรธอยู่บ่อย ๆ บางทีก็ด่าข้าขึ้นมาแบบไม่มีผู้ใดเข้าใจ ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าตนนั้นหน้าด้านมาจากไหน ต่อให้นางจะด่าทอข้าเช่นไรข้าก็ยังชอบนางอยู่ดี ”

เมื่อฟังเช่นนี้แล้วเจียงเถิงก็รู้ว่ากู้อันผิงเป็นคนที่มีเรื่องเล่าคนหนึ่ง จึงไม่ได้ขัดชายหนุ่มแต่อย่างไร และฟังเขาพูดอยู่เงียบ ๆ

ในการไปมาหาสู่กันในแต่ละวัน ทำให้จู้เข่อชมชอบกู้อันผิงขึ้นมา

เวลานั้นพวกเขายังอายุไม่มาก และจู้เข่อเองก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมา นางมักจะใช้ความโกรธเพื่อมาทดสอบความรักที่กู้อันผิงมีต่อตน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน กู้อันผิงเองก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย จึงเอ่ยกับจู้เข่อ “อาเข่อ ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ข้าไม่ได้อยากคอยจัดการเรื่องของเหล่าพี่น้องทุก ๆ วัน พอกลับมาก็ต้องมารับมือกับอารมณ์ของเจ้า อาเข่อ เจ้าใคร่ครวญเพื่อข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่? ในแต่ละวันข้ามีเรื่องที่ต้องทำมากมาย ไม่สามารถมาอยู่กับเจ้าได้ทุกที่ทุกเวลาได้”

ในช่วงเวลานั้นอารมณ์ของกู้อันผิงไม่ดีเท่าไรนัก มีศิษย์น้องหนึ่งคนป่วยจนเสียชีวิต ทว่าทุกวันจู้เข่อกลับหาเรื่องทุกข์ใจมาให้ตนเองไม่หยุด ในเวลานั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความโกรธ

ในวันต่อมาเมื่อกู้อันผิงตื่นนอนก็พบว่าจู้เข่อได้จากไปแล้ว ภายในห้องถูกเก็บกวาดอย่างเรียบร้อย ไม่เหลือสิ่งใดไว้แต่น้อย แม้แต่คำพูดก็ไม่ได้บอกกล่าวอะไรซักคำ

ราวกับว่านางไม่เคยมีตัวตนในโลกของกู้อันผิงมาก่อน และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เวลานั้นกู้อันผิงรู้สึกว่าตนเองได้สูญเสียแสงสว่างแห่งชีวิตไป

ชายหนุ่มรู้สึกว่าทั้งชีวิตนี้ เรื่องที่เขาทำผิดมากที่สุดก็คือเรื่องวันนั้นที่ระเบิดอารมณ์ใส่หญิงสาว กู้อันผิงเสียใจไปช่วงเวลาหนึ่ง เนื่องจากเขากลัวว่าวันนั้นที่นางกลับมาจะไม่พบกับตนเองในแบบเมื่อก่อน กู้อันผิงเริ่มให้กำลังใจตนเองใหม่อีกครั้ง ไม่ดื่มสุราจนเมามายอีกในทุก ๆ วัน

จริง ๆ แล้วแต่เดิมตนเองก็มีความคิดที่จะลงจากภูเขา แต่ว่าถ้าหากตนเองออกจากภูเขานี้ไป เกิดกลัวว่าหากจู้เข่อกลับมาก็คงไม่พบตนเองแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนั้น เรื่องราวของเขาและจู้เข่อก็คงจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย ดังนั้นถึงแม้เหล่าพี่น้องจะหว่านล้อมให้เขาลงภูเขาไปค้าขายมากเท่าไร ตนเองก็ล้วนปฎิเสธทั้งสิ้น

เมื่อเจี่ยงเถิงฟังเรื่องราวของกู้อันผิงจบ ก็ได้แต่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

เขาคิดว่าตนเองนั้นช่างน่าเวทนา คนที่ตนชอบกลับไม่รู้ว่าตัวว่ามีคนชื่นชอบนางอยู่ อีกทั้งยังมองตัวเองเป็นพี่ชาย แท้จริงแล้วยังมีคนที่น่าเวทนามากกว่าตนเองที่ไม่รู้ว่าใจของคนที่ชอบอยู่ที่ไหน จึงทำได้เพียงแค่รอคอยอย่างโง่เขลา

“สกายกู้ ข้าเองไม่เคยรู้ว่าท่านเองก็มีเรื่องราวลึกซึ้งเช่นนี้ เฮ้อ แต่ท่านให้ห้องที่นางเคยอาศัยอยู่ให้หลินซืออยู่ ถ้าร่องรอยของแม่นางจู้ท่านนั้นโดนทำลายลงจะทำเช่นไรกัน”

เจี่ยงเถิงนึกขึ้นได้ว่าห้องที่เขาพักอยู่นั้นแตกต่างไปจากห้องอื่น

กู้อันผิงหัวเราะออกมาพร้อมโบกไม้โบกมือ “ข้าได้ปล่อยวางแล้ว อาเข่อไม่กลับมาแล้วล่ะ ข้าเองก็ควรจะมีชีวิตใหม่ ปล่อยอดีตให้มันปลิวไปกับสายลม สหายเจี่ยง แผนการที่เจ้าเสนอมานั้นข้าได้ไปพิจารณามาแล้ว ข้าคิดว่ามันดียิ่งนัก รายละเอียดพวกเราค่อยมาพูดกันภายหลังเถิด”

เจี่ยงเถิงไม่ได้คาดหวังว่ากู้อันผิงที่ยืนหยัดมานาน ตอนนี้เขาจะยอมแพ้แล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “สหายกู้ ท่านจะทำอะไรข้าล้วนแต่จะสนันสนุนท่าน แผนการนั้นข้าคิดว่าจะให้อาซือมารับช่วงต่อ ท่านอย่าได้ดูถูกนาง นางเปิดร้านขายหยกในเมืองหลวงเชียวนะ!”

ในอีกด้าน

ลู่เหยาใช้อุณหภูมิร่างกายเพื่อช่วยให้อุณหภูมิในองค์รัชทายาทตัวเย็นลง หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้น และมีเพียงลู่เหยานอนอยู่ข้าง ๆ ตน

เจ้าเด็กโง่ผู้นี้ ถอดเสื้อให้ตนนอนลงตรงนี้ โดยที่ไม่กลัวว่าตนจะเป็นไข้เลยหรือ? องค์รัชทายาทจับหน้าผากของตนเอง ไม่มีไข้แล้ว

เขามองดูสีของท้องฟ้า ตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้ว ถ้าวันนี้ไม่กลับเกรงว่าจะไม่ได้การแล้ว เขาจึงอุ้มเด็กหญิงขึ้นแล้วออกเดินทาง

หลินจื้อส่งผู้คนออกไปหลายฝ่ายเพื่อตามหาองค์รัชทายาท หากแต่หาอย่างไรก็ไม่พบ คนกลุ่มนั้นกลับมาอย่างร้อนรน แล้วพบว่าองค์รัชทายาทกำลังแบกลู่เหยากลับไปที่หมู่บ้าน

“คุณชาย ท่านไปที่ใดมา? พวกเราตามหาท่านไปทุกที่ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ?”

หลินจื้อรุดขึ้นหน้าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

ในสายตาของเด็กหนุ่ม องค์รัชทายาทก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เขาคิดว่าเป็นเพราะตนเองดูแลเด็กทั้งสองคนไม่ดี จึงปล่อยให้พวกเขาวิ่งเล่นจนพลัดหลงเกือบจะได้รับอันตราย

องค์รัชทายาทวางลู่เหยาลงบนเตียง เอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ต้องขออภัยที่ทำให้พวกเจ้าเป็นกังวล ข้าอยากจะอยู่คนเดียวสักหน่อย…”

หลินจื้อฟังออกว่าน้ำเสียงของพระองค์เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย จึงรู้ว่าตลอดทางกลับมาเขาต้องลำบากมาตลอดทางแน่ ๆ จึงกำชับให้พักผ่อนให้ดีและพาผู้คนออกไป

หลินซือรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดเจี่ยงเถิงยังไม่มาง้อตนเอง จึงคิดออกว่าตนนั้นได้ลงกลอนประตูเอาไว้ เด็กหนุ่มจึงเข้ามาไม่ได้

พัวพันเช่นนี้มาได้ครึ่งวัน เด็กหญิงจึงไปปลดกลอนประตู

ท้ายที่สุดเด็กสาวไม่ได้อยากจะโกรธจริง ๆ หลินซือแค่ต้องการเห็นท่าทีของเจี่ยงเถิงที่มีต่อตัวนางเอง

รออยู่นานเจี่ยงเถิงก็ยังไม่มา

หลินซือรู้สึกว่าท้องของนางเริ่มหิวขึ้นมา เด็กสาวจึงเดินกะเผลกเข้าไปในครัว

“อ้อ อาซือมาแล้วหรือ?” เจี่ยงเถิงกำลังนั่งรอคอยอยู่ในครัว เมื่อเห็นหลินซือเข้ามาเด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ ยิ้มขึ้น

หลินซือไม่ได้คาดคิดว่าเจี่ยงเถิงจะมารอตนเองที่ห้องครัว เด็กสาวจึงหน้าแดงขึ้น “ท่าน! พี่อาเถิงท่านจะเกินไปแล้วนะ!”

เจี่ยงเถิงเห็นอาซือกำลังจะเดินหนี จึงรีบไปขวางเด็กสาวไว้ “อย่าขยับนะ เท้าของเจ้ายังไม่หายเจ็บแต่กลับเดินไปเดินมาเช่นนี้ ระวังวันหน้าจะเป็นง่อย เวลานั้นจะไม่มีผู้ใดต้องการเจ้า ”

หลินซือถูกแทงใจดำ นางจ้องเขม็งไปยังเจี่ยงเถิง “ข้าไม่มีทางเป็นง่อย! ท่านรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีคนต้องการข้า ข้าไม่กลัวหรอกนะ ถ้าไม่ได้แต่งงานก็อยู่บ้านเป็นท่านป้าก็ได้!”

เจี่ยงเถิงเอามือปิดปากหลินซือ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “นี่ ๆๆ พูดอะไรของเจ้าน่ะ! รีบถอนคำพูดเดี๋ยวนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธ แต่ถ้าเจ้าไล่ข้าให้ไปตายแล้วข้าจะเข้าใจข้าก็จะทำ อาซือเชื่อฟังที่สุดแล้ว เจ้าบอกพี่อาเถิงหน่อยได้ไหมว่าเจ้าเป็นอะไร?”

หลินซือมุ่ยปาก เบือนหน้าหนีและพ่นลมออกมา “ข้าก็แค่…ก็แค่รู้สึก วันข้างหน้าถ้าท่านมีภรรยาก็จะไปเล่นกับข้าไม่ได้แล้ว พวกเราโตมาด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อถึงเวลานั้นข้าคงไม่ชิน และถ้าถึงเวลานั้นท่านก็ไม่ใช่พี่อาเถิงของข้าอีกต่อไป ท่านจะกลายเป็นสามีของคนอื่น ข้าคิดถึงเรื่องนี้จึงรู้สึกเป็นทุกข์”

เจี่ยงเถิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่คือเหตุผลที่เด็กสาวโกรธเคืองหรือ “เช่นนั้นแสดงว่าเจ้าไม่เคยคิดที่จะให้ผู้อื่นมาเป็นฮูหยินของข้า? ”

หลินซือพลันเสียอาการ เอ่ยถามขึ้น “หืม? นี่หมายความว่าอย่างไร? นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ท่านแต่งงานไปตลอดชีวิตหรอกหรือ? เช่นนั้นไม่ได้นะ ท่านป้าเจี่ยงต้องฆ่าข้าแน่ ๆ ท่านเป็นอนาคตของตระกูลเจี่ยง ไม่แต่งงานจะเป็นไปได้อย่างไร ข้าก็แค่รับไม่ได้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น”

เจี่ยงเถิงกระซิบแผ่วเบาข้างหูของหลินซือ “อาซือ ถ้าข้าอยากได้เจ้าเป็นฮูหยินของข้าเล่า?”

หลินซือหน้าแดงขึ้นมา เอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก “พี่อาเถิง…ท่าน ท่านพูดอะไรน่ะ? พวกเรา พวกเราไม่ใช่พี่น้องกันหรือ?”

แน่นอนว่าเจี่ยงเถิงรู้ว่านางจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงตบศีรษะเด็กสาวเบา ๆ “เด็กโง่ ข้าล้อเจ้าเล่น! รีบมากินข้าวเถอะ หยุดคิดเรื่องบ้า ๆ ได้แล้ว”

หลินซือถอนหายใจด้วยความโล่งใจ และเดินไปที่โต๊ะโดยมีเจี่ยงเถิงประคองไป

…………………………………………………………………………………………………………………………