บทที่ 556 ไปมาหาสู่

บทที่ 556 ไปมาหาสู่

เช้าตรู่วันต่อมา เจี่ยงเถิงยังไม่ตื่นจากการหลับใหล ทว่าหลินซือกลับตื่นขึ้นมาแต่เช้าเนื่องจากความหิว แต่ด้วยกลัวว่าเจี่ยงเถิงจะตื่น หลินซือจึงยังไม่ลุกจากเตียง

หลังจากนั้นเจี่ยงเถิงก็พลิกตัว ทำให้ใบหน้าของเขาตอนนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลินซือ จะกล่าวอีกกี่ครั้งนางก็ยังคงเป็นเด็กสาว ตอนนี้นางจึงรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมากจนไม่กล้าจะมองเจี่ยงเถิง

หลินซือดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง พลางคิดขึ้นว่า‘อย่างไรเสียเขาก็ยังหลับอยู่ แน่นอนว่าเขาคงไม่รู้ว่าข้ากำลังมองอยู่ แล้วจะกลัวอะไรอีกเล่า?’

ด้วยความคิดนี้ หลินซือจึงหันกลับไปมองหน้าเจี่ยงเถิง จึงเห็นดวงตาคู่นั้นที่ปิดสนิท แพขนตาของเขาสั่นไหวเบา ๆ และริมฝีปากของชายหนุ่มเม้มจนกลายเส้นตรง ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พี่อาเถิงโตขึ้นมากขนาดนี้ และเติบโตมาเป็นชายชาตรีอย่างแท้จริงอีกด้วย หลินซือคิดในใจ

เด็กสาวลอบเอื้อมมือไปสัมผัสกับคิ้วของเด็กหนุ่มและลูบอย่างแผ่วเบา ครั้นคิดว่ารูปทรงคิ้วนั้นตนเป็นคนวาดขึ้นมาก็รู้สึกขบขันกับความคิดของตัวเอง แต่กลับไม่กล้าหัวเราะออกมาดังนัก เพราะกลัวว่าจะปลุกเจี่ยงเถิงให้ตื่น

นางมองดูเจี่ยงเถิง เด็กหนุ่มผู้ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างตนมาตั้งแต่เกิด ราวกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของตนเอง

บางเวลาหลินซือก็คิดว่าเหตุใดเจี่ยงเถิงจึงปฏิบัติกับตนเองดีเช่นนี้ คิดอยู่นานเช่นไรก็คิดไม่ออก เช่นนั้นไม่คิดถึงมันแล้วกัน ตนเองมีพี่อาเถิงคอยอยู่ติดตามด้วยกันเช่นนี้ก็ดีแล้ว

หากวันใดที่ต้องจากกัน ตัวนางเองคงจะรู้สึกไม่คุ้นชิน…แต่ถ้าสุดท้ายแล้วเขาแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่ง การมีตัวตนอยู่ของนางจะถูกลดความสำคัญลงอย่างน่าขบขันหรือไม่? เมื่อคิดถึงจุดนี้หลินซือเองก็รู้สึกไม่มีความสุข นางทำปากยื่นแล้วผุดลึกขึ้นจากเตียงอย่างแรง ไม่สนใจว่าจะเป็นการปลุกให้เจี่ยงเถิงตื่นขึ้นหรือไม่

เจี่ยงเถิงตื่นขึ้นนานแล้ว เด็กหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงนิ้วมือเล็ก ๆ ที่สัมผัสลงใบหน้าของเขา เดิมทีเขาอยากจะรู้ว่าเด็กสาวต้องการจะทำสิ่งใด ใครจะไปรู้ว่าจู่ ๆ นางจะโกรธจนผละออกไปเช่นนั้น

หลายปีมานี้ ตนเองก็นึกไม่ออกว่าเด็กสาวที่แปลกประหลาดผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ เจี่ยงเถิงถอนหายใจเบา ๆ และเริ่มเอ่ยขึ้น “อาซือ เหตุใดจึงตื่นเช้าเพียงนี้?”

หลินซือคาดไม่ถึงว่าเจี่ยงเถิงจะตื่นไวเช่นนี้ และยังคิดอีกว่าเมื่อครู่ที่ขยับตัวรุนแรงเช่นนั้นจะต้องทำให้เด็กหนุ่มตื่นแน่ ๆ เด็กสาวไม่อยากจะยอมรับในความผิด จึงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “นอนหลับแล้วก็ต้องตื่นสิ จะมีอะไรอีกเล่า ถามอะไรแปลก ๆ ข้าจะตื่นแต่เช้าไม่ได้เลยหรือ?”

เจี่ยงรู้สึกประหลาดใจกับท่าทางผิดปกติของหลินซือ จึงกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “แน่นอนว่าต้องได้ อาซือของพวกเราโตแล้ว สามารถตื่นได้ด้วยตัวเองแล้ว ถ้าท่านอาซูรู้ต้องยินดีเป็นอย่างมาก”

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยิ้มเช่นนี้ หลินซือก็ไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มไปแต่งงานกับผู้ใด ในใจก็อดที่จะโมโหขึ้นมาไม่ได้จึงรีบเดินออกจากห้อง

เจี่ยงเถิงผู้ไม่เข้าใจในสถานการณ์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินซือจึงโกรธ จึงลุกจากเตียงไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตา และไล่ตามเด็กสาวไป

ในอีกด้านหนึ่ง องค์รัชทายาทและลู่เหยาที่เดินมาสองสามชั่วยามแล้ว ในที่สุดก็เดินออกมาจากถ้ำได้ บริเวณภายนอกนั้นราวกับเป็นสวนดอกท้ออย่างไรอย่างนั้น อาณาบริเวณเต็มไปด้วยดอกท้อ และยังมีลำธารไหลผ่านเอื่อยๆ ช่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยสดงดงามนัก

ทีแรกลู่เหยาหมดเรี่ยวแรง แม้แต่จะยืนก็ยังจะยืนไม่ไหว เมื่อได้พบกับทิวศัทน์ที่สวยงามเช่นพลันรู้สึกมีชีวิตชีวา “คุณชาย ข้างหน้านั้นสวยมาก! ในที่สุดพวกเราก็สามารถออกมาได้ เมื่อวานข้าตกใจเหลือเกิน นึกว่าพวกเราจะโดนหมาป่าพวกนั้นกินเสียแล้ว ท่านเอ่ยได้ไม่ผิด เพียงเดินตามถ้ำก็สามารถออกไปได้แล้ว”

องค์รัชทายาทมองดูเด็กน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว จึงกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้นแน่นอน คำพูดของข้านั้นเคยผิดด้วยหรือ? แน่นอนว่าไม่”

ลู่เหยาพยักหน้า สิ่งที่เด็กหญิงไม่ได้สังเกตก็คือ บริเวณหน้าผากขององค์รัชทายาทนั้นชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ และเนื่องจากอาการไข้ขึ้นจึงทำให้ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ

เขาถอดเสื้อนอกห่มให้กับลู่เหยา บนร่างกายจึงมีเสื้อผ้าไม่มากนัก ผนวกกับระยะทางที่เดินมาไกล มีเหงื่อไหลซึมและโดนลมพัดโกรก การเป็นไข้จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งสองคนเดินไปถึงศาลา เห็นได้ชัดว่าสังขารขององค์รัชทายาทไม่อาจทนไม่ไหวอีกต่อไป เดินโซเซไม่กี่ก้าว ลู่เหยาก็สังเกตเห็นความผิดปกติของอีกฝ่าย จึงเอ่ยถามขึ้น “คุณชาย ท่านเป็นอะไรไป? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ว่าพลางก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากของเขา พลับพบว่าหน้าผากของเขาร้อนผ่าว

องค์รัชทายาทไม่ได้เอ่ยอะไรและได้ทรุดตัวลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ศาลา เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกเวียนหัวเท่านั้น”

เมื่อลู่เหยาเห็นเขาในสภาพนี้ ในใจก็กระวนกระวาย แต่กลับไม่สามารถหาวิธีการใด ๆ ได้ จึงทำได้แค่ร้อนรนอยู่ตรงนั้น

อุณหภูมิร่างกายขององค์รัชทายาทสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มประคองสติไม่อยู่ ลู่เหยารู้ว่าถ้าตนเองไม่ลงมือทำอะไรชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตราย เด็กน้อยจึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมให้กับองค์รัชทายาท

องค์รัชทายาทเอ่ยผะแผ่ว “ร้อน ร้อนมาก ๆ น้ำ ข้าอยากดื่มน้ำ”

เวลานี้หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลซึมเป็นสาย

ลู่เหยาต้องเข้าไปใกล้ ๆ จึงจะได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ย เด็กหญิงเก็บใบไม้ขึ้นมา และรีบตักน้ำขึ้นมาป้อนเขา

เด็กหญิงจับหน้าผากของพระองค์ ความร้อนยังไม่ลดลง ลู่เหยาฉีกผ้าออกมาชิ้นหนึ่งจากกระโปรงของตน หลังจากชุบน้ำเสร็จแล้วจึงวางลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย

ในอีกด้านหนึ่ง หลินซือยังคงรู้สึกโกรธเคืองเจี่ยงเถิง เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็กลับเข้าไปในห้อง และลงกลอนประตูอย่างหนาแน่น

เจี่ยงเถิงเรียกเท่าไรนางก็ไม่ยอมเปิดประตู กู้อันผิงเดินมาเพื่อดูเหตุการณ์นี้ก็ทำให้นึกถึงจู้เข่ออีกครั้ง

ในตอนแรกเขาและจู้เข่อเองก็เป็นเช่นนี้ เมื่อโกรธก็จะขังตัวเองไว้ในห้องไม่ยอมออกมา

จู้เข่อบอกกับกู้อันผิงให้ไปศึกษางานไม้ เมื่อกลับมาจะได้ถ่ายทอดวิชาให้กับเหล่าพี่น้อง เช่นนี้แล้วทุก ๆ คนก็จะเป็นผู้มีฝีมือด้านหัตถกรรม อย่างไรก็ไม่มีทางอดอยาก

กู้อันผิงทำตามที่นางบอก วันต่อมาในขณะที่จู้เข่อกำลังจะจากไป และไม่ได้ระวังจนหกล้มลง ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ขา

กู้อันผิงทั้งสงสารทั้งดีใจ

ชายหนุ่มเป็นกังวลเป็นอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของจู้เข่อ แต่ว่าเมื่อลองคิดดูแล้ว เช่นนี้นางก็จะไม่ได้ต้องรีบร้อนที่จะไป เลยคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี

อาการเจ็บปวดเกิดที่เอ็นลึกไปถึงกระดูกอยู่หนึ่งร้อยวัน เช่นนี้จู่เข่อต้องพักอยู่ที่หมู่บ้านสองถึงสามเดือน ช่วงเวลานั้นกู้อันผิงก็คอยมาดูแลถามไถ่อยู่ตลอด จู้เข่อเองก็เคยชินกับการมีกู้อันผิงคอยอยู่เคียงข้าง

“กู้อันผิง ช่วยข้าหยิบข้าผ้าขี้ริ้วมาหน่อย”

“ข้าอิ่มแล้วกู้อันผิง ส่งข้ากลับห้อง”

“นี่! มีหนูอยู่ในนี้! กู้อันผิง! ช่วยด้วยสิ!”

เมื่อไปมาหาสู่กันไม่นาน ท่าทางที่เคยเย็นชาของจู้เข่อเวลาอยู่ต่อหน้ากู้อันผิงก็ลดลง เนื่องจากความไม่ย้อท้อของชายหนุ่ม จึงทำให้นางเปลี่ยนเป็นคนที่เอาแต่ใจ

กู้อันผิงไม่เคยถามจู้เข่อว่าครอบครัวของนางกำลังทำอะไร และชายหนุ่มก็ไม่ได้ถามถึงตัวตนของเหล่าคนชุดดำ เขารู้ดีว่าสถานะทางสังคมของจู้เข่อนั้นต้องไม่ธรรมดา ถ้าหากว่ารู้ความจริงขึ้นมา บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้มีความสุขเช่นนี้ก็ได้ อย่างไรก็ไม่ดีเท่าตอนนี้ จึงไม่ต้องการรับรู้สิ่งใดอีก

ในทุก ๆ วันจู้เข่อจะสอนกู้อันผิงว่าทำเช่นไรถึงจะทำให้ร่ำรวยขึ้น ก่อนอื่นต้องทำให้เหล่าพี่น้องมีทักษะฝีมืองานไม้ เริ่มแรกก็ต้องทำเครื่องเรือนแบบง่าย ๆ และในท้ายที่สุดก็ทำในรูปแบบที่ยุ่งยากขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

จู้เข่อมักจะอารมณ์เสียอยู่บ่อย ๆ ทำให้กู้อันผิงต้องคอยง้อหญิงสาวอยู่ตลอด เนื่องจากชายหนุ่มก็รู้ดี แม่นางผู้นี้เพียงแสดงความเย็นชาออกมาแต่ภายนอก จริง ๆ แล้วใจดีกว่าผู้ใด

“สหายกู้ ท่านคิดว่าข้าควรทำเช่นไร? ข้ายังไม่รู้เลยว่าทำสิ่งใดผิดไป พอตื่นมาก็ถูกนางโกรธแล้ว เทพสวรรค์เป็นพยานได้ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” เจี่ยงเถิงทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ ได้แต่ระบายความทุกข์กับกู้อันผิง

………………………………………………………………………………………………………………………..