ตอนที่ 5 มังกรผงาดฟ้า (1)
หลงถิงเฟย ถือกำเนิดในตระกูลขุนนางเป่ยฮั่น พรสวรรค์โดดเด่น กลศึกวรยุทธ์เก่งกาจมิเป็นสองรองผู้ใด ได้ฉายาไร้เทียมทาน เจ้าแคว้นองค์ที่สองฝากฝังเรื่องสำคัญอย่างการทหารของแว่นแคว้นไว้ มิเคยแคลงใจ ถิงเฟยจึงตอบแทนเขาด้วยความภักดี
…พงศาวดารเป่ยฮั่น บันทึกหลงถิงเฟย
หวังจี้เอ่ยตอบด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “ผู้น้อยท่องเที่ยวไปทั่ว แม้มิอาจเรียกว่ารอบรู้กว้างขวาง แต่ข่าวสารต่างๆ ก็รู้มาเล็กๆ น้อยๆ แม้ราชสำนักต้ายงประกาศว่าองค์หญิงตกพระทัยกับเหตุการณ์ที่พระราชวังเลี่ยกงจึงต้องหลบเร้นรักษาตัว แต่ในหมู่ชาวบ้านเล่าลือกันไปต่างๆ นานา พรรณนาถึงรสถึงชาติ บรรยายละเอียดลออ ยามเกิดเรื่องผู้น้อยอยู่ต้ายงพอดี ฟังคำเล่าลือมาไม่น้อย จึงทราบละเอียดอยู่บ้าง ผู้น้อยมิใช่สายลับ ขอองค์หญิงโปรดพิจารณาด้วย”
สายตาหลินปี้ทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านหมอหวังกังวลเกินไปแล้ว ท่านหมอชำนาญวิชารักษาม้าและดูม้า ทั้งยังมีความรู้กว้างขวาง เป็นคนมีความสามารถที่เป่ยฮั่นเราต้องการ หากท่านหมอยอมลดฐานะมาสวามิภักดิ์ ข้าจะเคารพท่านหมอเช่นแขกคนสำคัญแน่นอน”
หวังจี้ลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “องค์หญิงเห็นค่าเช่นนี้ เดิมผู้น้อยสมควรรับบัญชา ทว่าผู้น้อยกำลังจะออกเดินทางไปเมืองเผิงไหลแถบตงไห่ เกรงว่าคงมิอาจน้อมรับบัญชา”
หลินปี้เอ่ยอย่างงุนงงเล็กน้อย “ท่านจะไปตงไห่ทำการใด”
หวังจี้เอ่ยอย่างนอบน้อม “ไม่นานมานี้ผู้น้อยพบพานสหายเก่า เขาบอกว่านายท่านผู้มีพระคุณร่างกายแข็งแรงขึ้นจนได้บุตรชาย ผู้น้อยจึงตั้งใจเดินทางไปแสดงความยินดี”
หลินถงเอ่ยอย่างสงสัยใคร่รู้ “นายท่านผู้มีพระคุณของท่านมิใช่ผู้เฒ่าหรือ เหตุใดจึงมีบุตรชายได้อีก”
หวังจี้ชะงักแล้วหัวเราะ “ท่านหญิงคงเข้าใจผิดแล้ว นายท่านของผู้น้อยยังหนุ่มฉกรรจ์ หลังจากมีคุณหนูคนหนึ่งก็ไม่มีบุตรอีก ไม่นานมานี้มีคุณชายเพิ่มมาหนึ่งคน เดือนหน้าคุณชายจะอายุครบขวบปี ผู้น้อยได้ยินข่าวนี้แล้วจึงต้องการเดินทางไปอวยพร”
หลินปี้สีหน้าเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง หวังจี้ผู้นี้แม้อายุน้อย แต่คำพูดและท่าทางล้วนไม่ธรรมดายิ่งนัก นายท่านผู้มีพระคุณของเขาจักต้องมิใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ยิ่งไปว่านั้น ตนเองก็กำลังจะเดินทางไปตงไห่มิใช่หรือ หากมีโอกาสพบนายท่านของเขา ไม่แน่ว่าเป่ยฮั่นของนางก็อาจมีผู้มากความสามารถมาเป็นเสาหลักเพิ่มอีกคน เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางจึงคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยปากว่า “นี่ช่างบังเอิญนัก ช่วงนี้ข้ากำลังจะเดินทางไปตงไห่พอดี ท่านหมอหวังยินดีร่วมเดินทางไปกับข้าหรือไม่”
หวังจี้ตะลึง ถามขึ้นว่า “องค์หญิงเป็นถึงขุนนางคนสำคัญของเป่ยฮั่น เหตุใดจึงเดินทางไปตงไห่ ต้องทราบว่าตงไห่อยู่ในเขตอำนาจของตงไห่โหว แม้ตงไห่โหวแยกตัวเป็นอิสระแล้ว แต่คนในใต้หล้าผู้ใดมิทราบว่าหลายปีนี้ตงไห่โหวกับต้ายงเริ่มสานสัมพันธ์กัน ไปมาหาสู่กันอยู่พอสมควร หากองค์หญิงเดินทางไปตงไห่ น่ากลัวว่าจะเสี่ยงอันตรายไม่น้อย”
หลินปี้คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ท่านหมอคงยังมิทราบ บุตรรักของตงไห่โหวจะแต่งงาน จึงส่งเทียบมงคลทั่วหล้า ข้าจึงรับบัญชาเจ้าแคว้นเดินทางไปร่วมอวยพร ยิ่งไปกว่านั้น งานประมูลสมบัติหายากที่จะจัดขึ้นพร้อมกันก็เป็นงานใหญ่อีกงานหนึ่ง ข้าต้องการไปชมดูของล้ำค่าของต่างแคว้น”
หลินถงได้ยินก็เริงร่าทันใด เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “ท่านพี่ งานประมูลสมบัติหายากนั่น ข้าก็อยากไปดูด้วย”
หลินปี้ยิ้มละไมแล้วยื่นมือตบปลอบน้องสาวไม่ให้นางเอ่ยแทรก
หวังจี้ปรบมือเอ่ยว่า “อ้อ งานประมูลสมบัติหายาก ผู้น้อยก็เคยได้ยินมาเช่นกัน สองปีที่ผ่านมา ตงไห่มีพ่อค้าผู้มั่งคั่งนามไห่อู๋หยาสร้างเรือลำใหญ่เดินทางไปยังที่ต่างๆ เช่นเกาลี่ วัวกั๋วกับหนานหยาง ใช้เครื่องเคลือบดินเผากับผ้าไหมที่จงหยวนกับเจียงหนานผลิตแลกเงินทองอัญมณีและผลิตผลพิเศษของดินแดนต่างๆ ได้ยินว่าได้กำไรมากกว่าร้อยพันเท่า คิดว่างานประมูลสมบัติหายากครั้งนี้ก็คงจะเป็นไห่อู๋หยาเป็นผู้จัดกระมัง”
หลินปี้ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้น ไห่อู๋หยาใช้ช่วงงานมงคลบุตรรักของตงไห่โหวจัดงานประมูลสมบัติหายาก ตอนนี้ใต้หล้าผู้ใดมิอยากร่วมงานกับไห๋อู๋หยา ยึดครองกำไรจากการค้าขายโพ้นทะเลไว้แต่เพียงผู้เดียว โอกาสนี้ย่อมเหมาะที่สุด”
หวังจี้เอ่ยอย่างฉงน “แต่ผู้ใดมิทราบบ้างว่าเบื้องหลังไห่อู๋หยาผู้นี้มีตงไห่โหวสนับสนุนอยู่ คิดจะปันส่วนแบ่งกำไรจากฝั่งนี้ เกรงว่าคงไม่ง่ายเช่นนั้นกระมัง อีกอย่าง แต่ละแคว้นล้วนมีพ่อค้าใหญ่ร่วมมือกับไห่อู๋หยาอยู่ จึงเกิดเป็นสถานการณ์อันสมดุลได้ หากองค์หญิงคิดยึดครองกำไรเพียงผู้เดียว น่ากลัวว่าต้ายงกับหนานฉู่คงมิยอม”
หลินปี้มองหวังจี้อย่างแฝงเลศนัยแล้วเอ่ยว่า “ท่านหมอหวังช่างมองเรื่องราวทะลุปรุโปร่ง จนถึงบัดนี้ไห่อู๋หยาผู้นี้ก่อตั้งกิจการที่ตงไห่มาได้ห้าปีแล้ว สองปีแรกทำเพียงกิจการขนส่งทางทะเลก็ไม่เท่าไร แต่สองสามปีที่ผ่านมากลับตั้งกองเรือออกค้าขายกับสามคาบสมุทร เรือขนาดใหญ่แบบใหม่หลายสิบลำที่เขาสร้างขึ้นไม่เพียงบรรทุกสินค้าได้มาก แต่ยังแล่นเร็ว แล้วยังมีอาวุธชนิดใหม่ติดตั้งไว้หลากหลายชนิด เรือสินค้าที่ติดตามขบวนมีเกือบร้อย แล้วยังมีเรือรบของตงไห่โหวคอยคุ้มกัน
หากบอกว่าคนไร้ความสามารถเป็นผู้วางแผนการ ข้ามิเชื่อเป็นอันขาด มิต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น หนานฉู่ ต้ายงและเป่ยฮั่นของข้าล้วนมีพ่อค้าใหญ่ร่วมมือกับเขา เพราะสามฝ่ายล้วนได้ประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดมีเรื่องกับเขา ความชาญฉลาดและความกล้าเช่นนี้ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย ไห่อู๋หยาประจบไปทั่วเช่นนี้ แม้วันนี้จะยังได้ผล แต่หลายปีนี้ ไฟสงครามคุกรุ่นขึ้นทุกที ต้ายงกับเป่ยฮั่นไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นไห่อู๋หยาคงต้องประเมินสถานการณ์ใหม่สักหน่อย แทนที่จะรักษาความเป็นกลาง มิสู้เลือกนายสักคนจะดีกว่า”
หวังจี้ฟังแล้วใจหนาวยะเยือก เรื่องลับเช่นนี้บอกกล่าวให้ตนฟัง เกรงว่าตนคงสลัดตัวหนีไม่พ้นเป็นแน่แล้ว ปลายหางตาเขาเหลือบมองก็เห็นองครักษ์บุรุษและสตรีบนหลังม้าเหล่านั้นต่างกุมมือบนด้ามดาบ แต่เขาก็ทำได้เพียงแสร้งไม่เห็นแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “องค์หญิงกล่าวถูกต้อง แต่ผู้น้อยขอบังอาจเอ่ยสักประโยค ไห่อู๋หยาไม่ร่วมมือกับผู้อื่นได้ แต่คงทิ้งตงไห่โหวมิได้ หากไม่มีเรือคุ้มกันของตงไห่โหว ขบวนเรือสินค้าที่เดินทางไกลย่อมไม่มีวันปลอดภัยไร้อันตรายแน่นอน
หากพูดถึงความมั่งคั่งของผลผลิต ต้ายงกับหนานฉู่เดิมก็ครอบครองผืนดินอันอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว หลังแคว้นสู่ล่มสลาย ผลผลิตของสู่จงก็ถูกสองแคว้นแบ่งสันปันส่วนกัน หากไห่อู๋หยาเลือกร่วมมือเพียงฝั่งหนึ่ง มิว่าจะเลือกต้ายงหรือหนานฉู่ล้วนไม่เหนือความคาดหมาย แต่เป่ยฮั่นออกจะข้อได้เปรียบน้อยกว่าอยู่หลายประการ หากให้สามฝ่ายคานกัน เป่ยฮั่นกลับยังจะได้แบ่งส่วนน้ำแกงสักถ้วย หากต้องการยึดครองกำไรของการค้าโพ้นทะเลเพียงผู้เดียว เกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย”
ดวงตาหลินปี้ทอประกายเย็นเยียบ เอ่ยว่า “ท่านหมอกล่าวไม่ผิด ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เป่ยฮั่นของข้าเดิมทีก็เสียเปรียบในการค้าโพ้นทะเล ท่านหมอคงเข้าใจเจตนาของข้าผิดไปแล้ว ผู้ที่ต้องการยึดครองกำไรของการค้าโพ้นทะเลเพียงผู้เดียวมิใช่เป่ยฮั่นของข้า แต่เป็นหนานฉู่ ระยะนี้หนานฉู่ส่งทูตมาเยือน พวกเขาต้องการร่วมมือกับเป่ยฮั่นใช้อำนาจบีบบังคับตงไห่โหวให้ทำข้อตกลง สามฝ่ายร่วมมือกันควบคุมการค้าโพ้นทะเล กีดกันต้ายงออกไป
ราชสำนักส่งข้าเดินทางไปตงไห่ก็เพื่อฉวยโอกาสคว้าผลประโยชน์ หากตงไห่โหวตกลงเรื่องนี้ ถึงเวลาก็ตัดผลประโยชน์จากโพ้นทะเลของต้ายงได้ พวกเราย่อมมีแต่ได้ไม่มีเสีย หากทำไม่ได้ก็เพียงพยายามแย่งชิงส่วนแบ่งมาให้มากขึ้นเท่านั้น”
หวังจี้ฟังแล้วก็พยักหน้า เอ่ยว่า “ผู้น้อยก็เป็นคนหนานฉู่ แม้จากแคว้นมานานปี แต่ก็ทราบว่าแคว้นข้าให้ความสำคัญกับการค้าเป็นที่สุด มีแผนการเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่มิทราบว่าแคว้นข้า ครั้งนี้ผู้ใดเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้หรือ”
หลินปี้ยิ้มละไมเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าครั้งนี้ทูตหนานฉู่ที่เดินทางไปร่วมแสดงความยินดีในงานมงคลของบุตรชายตงไห่โหวคือแม่ทัพใหญ่ลู่ช่าน บุตรชายของเจิ้นหย่วนกงลู่ซิ่น ขุนนางคนสำคัญของหนานฉู่ ทูตของต้ายงคือชิ่งอ๋องหลี่คังกับโก่วเหลียนผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการ สองฝ่ายต่างทุ่มเต็มกำลัง ดังนั้นทูตของพวกเราเป่ยฮั่นจึงมิอาจเลือกผู้ใดส่งๆ ได้ ข้าจึงจำใจต้องไป ท่านหมอหวัง ในเมื่อท่านก็จะไปตงไห่เช่นกัน ไยมิร่วมทางไปกับข้าเล่า ไม่แน่ข้าอาจมีเรื่องให้พึ่งพา”
หวังจี้เอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยมีวาสนาได้ติดสอยห้อยตามทุกท่าน จะกล้าไม่รับได้เช่นไร”
หลินถงรีบเอ่ยว่า “ท่านพี่ ข้าก็จะไปด้วย”
หลินปี้หันไปมองก็เห็นดวงตาของน้องสาวตัวน้อยเต็มไปด้วยแววตาคาดหวัง แล้วยังกลอกไปมาไม่หยุด เห็นชัดว่าตัดสินใจแล้ว หากตนไม่อนุญาตให้ร่วมทางก็คงคิดจะลอบเดินทางไปเอง นางคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู ตอบว่า “ก็ได้ ขอเพียงเจ้าเชื่อฟัง ข้าก็จะพาเจ้าไปด้วย”
หลินถงดีใจยิ่งนัก สองมือประนมสาบานว่าตนจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวายเด็ดขาด หลินปี้เพียงคลี่ยิ้มจางๆ ไม่พูดคำใด ในใจคิดว่า เรื่องวุ่นวายคงเกิดแน่ แต่ครั้งนี้มิใช่เรื่องใหญ่คอขาดบาดตายอันใด หนานฉู่คิดแผนการได้ไม่เลว แต่มาพูดว่าทุกคนต่างได้ผลประโยชน์อะไร ถึงเวลาข้าไม่คิดเกรงใจพวกเจ้าหรอกนะ
หวังจี้ผู้นี้เป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง ไม่เหมือนชาวหนานฉู่ปกติที่รักสบายเกลียดงานหนักเหล่านั้น หากคนผู้นี้ไม่มีปัญหาอันใด มิว่าใช้วิธีการใดก็ต้องชักชวนมาทำงานให้เป่ยฮั่นของข้าให้ได้จึงจะดี
ในใจหวังจี้กลับคิดอีกอย่าง จะอยู่เป็นสายลับที่เป่ยฮั่นดี หรือว่ากลับไปรับใช้ข้างกายนายท่านดีหนอ เขาตัดสินใจไม่ถูก คิดมาคิดไปก็คิดว่ารอกลับไปพบนายท่านค่อยว่ากันแล้วกัน เมื่อคิดถึงจดหมายที่ได้อ่านเมื่อวาน เนื้อหาแฝงด้วยความปลาบปลื้มปีติ คิดว่านายท่านยามนี้คงอารมณ์ดียิ่งนัก นี่ก็ไม่แปลก มีโฉมสะคราญผู้รู้ใจเคียงคู่ แล้วยังไร้บ่วงพันธนาการ อิสระเสรี ยามนี้ยังมีบุตรชายที่เพิ่งได้มาอีก คิดว่าเวลานี้นายท่านคงไม่ต้องการออกมายุ่งเกี่ยวโลกภายนอกอีกแล้ว แต่หลายปีมานี้ ต้ายงกับเป่ยฮั่นกินกันไม่ลง ไม่ทราบว่าวันเวลาอิสระเสรีของนายท่านจะยังเหลืออีกนานเท่าใด
อยู่ไต้โจวได้สองสามวัน หวังจี้ก็ติดตามหลินปี้กับหลินถงออกเดินทางสู่ตงไห่ แม้ข้ามเขาอู่ไถแล้วจะเริ่มล่องเรือจากหลู่ตี้ได้ แต่หลินปี้กลับอ้อมรอบใหญ่มุ่งไปยังชิ่นโจวก่อน
ชิ่นโจวเป็นถิ่นที่แม่ทัพใหญ่หลงถิงเฟยประจำการอยู่ และเป็นเมืองสำคัญของเป่ยฮั่น เหนือคุมไท่หยวน ใต้โอบลี่ว์เจ๋อ ไท่หยวนเป็นทั้งเมืองหลวงของเป่ยฮั่นและเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่กองทัพต้องแย่งชิงมาให้ได้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีด่านเทียนเหมิน ด่านสือหลิ่ง ด่านชื่อถังคอยกันกองทหารของต้ายง ป้องกันง่ายบุกตียากเป็นที่สุด
ชิ่นโจวคือประตูทางใต้ของไท่หยวน อาณาเขตกว่าครึ่งล้วนเป็นเนินเขากับแม่น้ำ กองทัพใหญ่ของหลงถิงเฟยปักหลักอยู่ที่นี่ สองสามปีที่ผ่านมา ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวหน้าฤดูใบไม้ร่วง หลงถิงเฟยก็จะยกกองทัพใหญ่จากชิ่นโจวบุกตีเจ๋อโจว ลี่ว์โจว เคยแม้กระทั่งบุกเข้าไปถึงเจิ้นโจว ก่อกวนการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงแถบชายแดนต้ายง
ต่อมาฉีอ๋องหลี่เสี่ยนผู้เคยได้รับบทเรียนเมื่อรัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้าจึงเลือกใช้วิธีปิดเมืองเผานา ส่งกองทัพใหญ่คุมด่านอย่างเข้มงวด สร้างระบบสำมะโนครัวเรือน สร้างหอระวังภัยทั่วชายแดน เฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวของกองทัพเป่ยฮั่น หากกองทัพเป่ยฮั่นบุกโจมตีก็จะเคลื่อนพลทั้งหมดรับศึก
ผู้ใดจะรู้ว่าผ่านไปช่วงหนึ่ง หลงถิงเฟยก็เปลี่ยนแผนการ ใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของกองทัพเป่ยฮั่นที่ถนัดการบุกเร็วจากระยะไกล ไปมาดั่งสายลม ใช้กองทัพม้าเร็วก่อกวนชายแดนของต้ายง กำลังพลของต้ายงเหนือกว่าเป่ยฮั่นแท้ๆ แต่กลับถูกหลงถิงเฟยกดดันอย่างสิ้นเชิง จนสุดท้ายเลือกป้องกันอยู่แต่ในเมืองมิยกทัพออกมา แล้วอพยพชาวบ้านแถบชายแดนทั้งหมดเข้ามาในแนวป้องกัน เหลือไว้เพียงพื้นที่ว่างเปล่าราวร้อยลี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อาศัยกำลังกองทัพอันแข็งแกร่งของต้ายงกับป้อมปราการค่ายทัพที่กระจายอยู่ทั่วจึงรักษาสถานการณ์ให้เสมอกันได้
ยังอยู่ห่างชิ่นโจวอีกสามสิบลี้ หวังจี้ก็เห็นฝุ่นตลบมาแต่ไกล เขาเพ่งมอง แม้เห็นเพียงฝุ่นตลบหนาทึบไม่จาง แต่ก็ทราบได้ว่าสิ่งที่กำลังมุ่งมาคือทหารม้าชั้นยอดกองหนึ่ง ทว่ายามนี้ยังอยู่ในอาณาเขตเป่ยฮั่น ทหารม้าของต้ายงตอนนี้มุ่งแต่สงบนิ่งอยู่ในแดนตน ไม่ต้องคิดก็ทราบว่าต้องเป็นมิตรมิใช่ศัตรูเป็นแน่ คิดว่าเมืองชิ่นโจวคงส่งคนมาต้อนรับองค์หญิงจยาผิงกระมัง
ตอนต่อไป