ตอนที่ 6 มังกรผงาดฟ้า (2)
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มองเห็นทหารม้าสวมเกราะสีแดงกองหนึ่งท่ามกลางฝุ่นควันได้ชัดเจน ผู้ที่นำหน้ามาคือบุรุษสวมชุดเกราะออกศึกสีแดงทั้งร่าง หน้ากากที่ติดกับหมวกเกราะไม่ได้เปิดขึ้นไป จึงมองหน้าตาไม่ชัด ทว่าเรือนร่างแข็งแกร่ง องอาจทรงพลังนั่น ทำให้คนรู้สึกเคารพศรัทธา
ดวงตาของหลินปี้ฉายประกายดีใจ นางควบอาชาทะยานไปเบื้องหน้า องครักษ์ที่ตามติดข้างกายนางไม่ห่างตลอดเวลาเหล่านั้นกลับหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างผิดปกติ ขณะที่หลินปี้ขี่อาชามุ่งหน้าไปเพียงลำพัง แม่ทัพเกราะสีชาดผู้นำหน้าทหารม้ากองนั้นก็ยิ่งควบอาชาแซงหน้ากองทหารออกมา พออยู่ห่างกันได้สามจั้ง ทั้งคู่ต่างกระโดดออกจากหลังม้า เอื้อมมือมาคว้าจับกันกลางอากาศแล้วร่อนลงพื้นอย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นสีแดงเพลิงพลันโอบกอดสีเขียวหยก ความรักอันล้ำลึกกับความปลาบปลื้มปีติที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากกันเนิ่นนานทำให้ทุกคนซาบซึ้งตรึงใจยิ่งนัก จึงนิ่งเงียบมองทั้งสองคนนั้นโดยไม่ส่งเสียงใด
ครู่หนึ่งร่างทั้งสองร่างก็แยกจากกันแล้วจูงมือเดินมาหาพวกหวังจี้ หวังจี้ลงจากม้าพร้อมกับทุกคนแล้วยืนทิ้งมือข้างตัว ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าเอิบอิ่มความยินดีของหลินปี้งามสะกดผู้คนยิ่งนัก แม่ทัพเกราะแดงผู้นั้นเปิดหน้ากากหมวกเกราะขึ้นแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาหาที่ติมิได้ปรากฏให้เห็น เมื่อกอปรกับเรือนร่างกำยำสูงแปดฉื่ออันสูงเพรียวแข็งแกร่ง ดวงตาสีเหลือบเขียวอันลึกล้ำประหนึ่งท้องนภายามราตรีคู่นั้น และท่วงท่าสง่างามแฝงกลิ่นอายลุ่มลึกในความองอาจ ก็ทำให้ทุกคนรวมถึงหวังจี้คุกเข่าคารวะด้วยความเลื่อมใสจากใจจริง แล้วกล่าวพร้อมเพรียงว่า “ผู้น้อยคารวะแม่ทัพใหญ่จินอาน”
แน่นอนหลินถงย่อมไม่คุกเข่าลงไปคารวะด้วย แต่พุ่งไปกอดแขนซ้ายของแม่ทัพเกราะแดงผู้นั้นอย่างดีอกดีใจ แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “พี่เขย ถงเอ๋อร์คิดถึงท่านทุกวัน เมื่อใดท่านจะมาแต่งงานกับพี่สาวสักทีเล่า”
แม้หวังจี้เดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าแม่ทัพเกราะแดงผู้นั้นคงจะเป็นหลงถิงเฟย เสาหลักผู้ค้ำนภาเป่ยฮั่น แต่ในใจก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นวีรบุรุษเช่นนี้ไม่ได้ ช่างเป็นโชคดีของสามชาติโดยแท้ นึกย้อนถึงเหล่าวีรบุรุษที่เคยพบระหว่างหลายปีที่ผ่านมา ก็รู้สึกว่าไม่มีผู้ใดเหนือกว่าหลงถิงเฟยผู้นี้ ต่อให้เป็นยงอ๋องหลี่จื้อหรือฉีอ๋องหลี่เสี่ยน ผู้มีสง่าราศีเยี่ยงเชื้อพระวงศ์ผู้ปกครองใต้หล้า แต่เมื่อเทียบกับหลงถิงเฟยก็ด้อยกว่าอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
บางทีผู้ที่เทียบเคียงกับคนผู้นี้ได้คงมีเพียงนายท่าน ผู้มีพระคุณผู้มอบทุกสิ่งให้แก่ตนผู้นั้นกระมัง นึกถึงชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาร่างกายอ่อนแอผู้นั้น ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านในใจหวังจี้ คนผู้นั้นมีความพิเศษบางอย่าง มิว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใด สายตาของเจ้าก็อดมิได้ต้องจับจ้องไปที่ตัวเขา
หลงถิงเฟยฟังคำทวงถามของหลินถงจบ สีหน้าก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ เขากับหลินปี้หมั้นหมายกันมาสองปีแล้วยังไม่ได้ตบแต่งเสียทีเพราะมีสาเหตุหลายประการ ประการแรกเพราะภรรยาคนก่อนเพิ่งเสียไม่นาน หลงถิงเฟยจึงไม่ยินดีตบแต่งภรรยาใหม่รวดเร็วเช่นนั้น อีกประการหนึ่ง สองสามปีนี้หลงถิงเฟยยุ่งอยู่กับการทำศึกกับต้ายง ทุ่มเทสิ้นแรงกายและแรงสมอง ย่อมไม่มีเวลาสนใจเรื่องแต่งงาน
สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือแม้หลินปี้เป็นสตรี แต่ก็เป็นอัจฉริยะผู้ร่ำรวยกลศึก พี่น้องบุรุษของนางล้วนเก่งกาจเทียบนางมิได้ หลายปีที่ผ่านมา เพราะหลินหย่วนถิงร่างกายไม่แข็งแรงนัก อำนาจในการปกครองทหารของไต้โจวความจริงแล้วจึงอยู่ในกำมือของหลินปี้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเถื่อนทางเหนือฉวยโอกาสบุกตีเป่ยฮั่น หลินปี้จึงมิอาจถอดชุดเกราะตบแต่งเป็นภรรยาของผู้อื่น
ดังนั้นงานแต่งงานครั้งนี้จึงผัดผ่อนเรื่อยมา เพียงแต่เหตุผลประการนี้มิสะดวกกล่าวออกมาให้ชัดแจ้ง หลงถิงเฟยเสมองทางอื่นจนเห็นหวังจี้ก็คลี่ยิ้มก้าวเข้าไปทักทาย “ท่านนี้คงจะเป็นท่านหมอหวัง หมอเทวดาปั๋วเล่อสินะ ได้ยินน้องปี้เล่าว่าท่านหมอมาเยือนกองทัพเป่ยฮั่นของพวกเรา ผู้แซ่หลงยินดีกับเรื่องไม่คาดฝันนี้จริงๆ ได้ยินว่าท่านหมอหวังชำนาญการดูม้าและรักษาม้า คิดว่าวิชาเลี้ยงม้าก็คงโดดเด่นเหนือใคร หากได้ท่านหมอช่วยเหลือ ม้าศึกในกองทัพของเราจักต้องยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นแน่นอน”
หวังจี้คารวะอีกครั้งแล้วตอบว่า “ผู้น้อยละอายใจมิกล้ารับ คำเรียกขาน ‘หมอเทวดาปั๋วเล่อ’ เป็นเพียงชื่อเสียงเกินตัวเท่านั้น แม้ผู้น้อยเป็นชาวหนานฉู่ แต่ชอบชีวิตในทะเลทรายตอนเหนือ หากแม่ทัพไม่รังเกียจ เมื่อหวังจี้เยี่ยมญาติกลับมา จักทำงานให้ท่านแม่ทัพ อุทิศชีวิตตราบจนตัวตาย”
หลงถิงเฟยยิ้มละไม สองมือประคองหวังจี้ขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านหมอหวังยอมเป็นกำลังให้เป่ยฮั่นของเราย่อมเป็นโชคดีของเจ้าแคว้น ท่านระเหเร่ร่อนมาหลายปี คิดว่าคงคุ้ยเคยกับการเดินทาง ครั้งนี้ท่านติดตามองค์หญิงไปตงไห่ หวังว่าท่านจะทุ่มเทกำลังให้เต็มที่”
หวังจี้คำนับตอบว่า “ผู้น้อยรับบัญชา จักไม่ผิดต่อคำฝากฝังเป็นแน่”
หลงถิงเฟยยิ้มละไมอีกครั้ง รอยยิ้มเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ หวังจี้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างมิอาจห้าม หากมิใช่ว่าในใจมีแผนการอยู่ก่อนแล้ว เกรงว่าคงจะทำงานถวายหัวให้คนผู้นี้อย่างไม่นึกเสียดายจริงๆ
คณะเดินทางกลับมาถึงตัวเมืองชิ่นโจว หลินปี้มีฐานะเป็นถึงองค์หญิง แล้วยังเป็นคู่หมั้นของหลงถิงเฟย แม้หลงถิงเฟยจะไม่ป่าวประกาศเรื่องคณะเดินทางของหลินปี้ แต่ก็เรียกแม่ทัพคนสนิทมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับนาง ทว่าขณะที่ในจวนแม่ทัพเอะอะรื่นเริงอย่างผิดปกติ ในช่วงเวลาที่งานเลี้ยงครึกครื้นที่สุด หลงถิงเฟยกับหลินปี้กลับหายไป แต่ทุกคนทราบว่าคู่สามีภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งคู่นี้ไม่ได้พบกันมานานแล้ว คิดว่าคงจะไปพลอดรักตามลำพังแล้วกระมัง ทุกคนจึงยักคิ้วหลิ่วตาแล้วปล่อยผ่านไป
หลงถิงเฟยกับหลินปี้คุยกันตามลำพังอยู่ในห้องหนังสือหรูหราห้องหนึ่งจริงดังว่า แต่สิ่งที่ผิดจากที่ทุกคนคิดก็คือเรื่องที่พวกเขาคุยกันหาใช่เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงอันใด แต่เป็นการหารือเรื่องกองทัพ
หลงถิงเฟยกลับมาถึงจวนก็เปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ตัวยาวสีฟ้าครามตัวหนึ่งก่อนแล้ว ใบหน้าเปล่งปลั่งสุขภาพดีมองหลินปี้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “น้องปี้ ครั้งนี้เจ้ามิจำเป็นต้องเหนื่อยใจนัก เพียงแค่นิ่งดูสถานการณ์ก็พอ หากหนานฉู่มีความสามารถเกลี้ยกล่อมตงไห่โหวให้กีดกันอำนาจของต้ายงสำเร็จจริง ถ้าเช่นนั้นพวกเราย่อมต้องได้แบ่งน้ำแกงสักถ้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังฉวยโอกาสยกพลใหญ่ตีต้ายงได้อีก หากหนานฉู่ล้มเหลว เจ้าก็ไม่ต้องสอดมือเข้ายุ่งเพื่อไม่ให้ติดร่างแหไปด้วย แต่หวังว่าเจ้าจะฉวยโอกาสเป็นพันธมิตรกับตงไห่โหว หากได้รับความร่วมมือจากตงไห่โหว ต้ายงคงต้องผจญศึกสี่ด้านจริงๆ แล้ว”
คิ้วเรียวของหลินปี้ขมวดเข้าเล็กน้อย “ถิงเฟย ท่านก็รู้ดียิ่งว่ากำลังทหารของต้ายงแข็งแกร่งที่สุด แม้ท่านจะได้เปรียบอยู่ แต่หากมิอาจล้มฉีอ๋องให้พ่ายแพ้ย่อยยับก็มิอาจข่มขวัญต้ายงได้อย่างแท้จริง ท่านมีแผนการอันใดหรือไม่ ยื้อกันเช่นนี้ต่อไปคงไม่เป็นผลดีกับพวกเรา แม้ทหารและประชาชนเป่ยฮั่นของพวกเราจะเก่งกล้า แต่เทียบกับความแข็งแกร่งของต้ายงและความอุดมสมบูรณ์ของหนานฉู่ก็ไม่มีแต้มต่อในการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งจริงๆ”
หลงถิงเฟยลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปจนถึงริมผนัง จากนั้นชี้แผนที่ซึ่งแขวนอยู่บนนั้น “น้องปี้ เจ้าดู ตอนนี้ฉีอ๋องอดกลั้นไม่ออกมา แม้กองทัพเราเก่งกาจไร้เทียมทาน กำลังของต้ายงก็มิเสียหายแต่อย่างใด กองทัพของพวกเรากล้าแกร่ง ทว่าถึงจะทำทุกอย่างแล้วก็มีจำนวนน้อยนิดเพียงสองแสน แถบไต้โจวมีทหารอยู่แสนหนึ่ง แต่เพื่อป้องกันเผ่าคนเถื่อนก็มิอาจโยกย้ายมาได้ง่ายๆ ดังนั้นหากต้องการเอาชนะ มิอาจทำเช่นเดิมต่อไป
วันนี้ที่ต้ายงคานกับพวกเราได้ล้วนเป็นเพราะฉีอ๋องชำนาญการใช้ทหาร หลี่เสี่ยนคงผ่านหนทางขรุขระนานาประการมาจึงก้าวหน้าขึ้นมาก หากกำจัดหลี่เสี่ยนได้ ถึงเวลาข้าเชื่อมั่นว่าทั่วต้ายงจะไม่มีคู่ต่อกรอีก ขอเพียงยึดเจ๋อโจวกับเจิ้นโจวได้ ต้ายงก็จะไม่มีกำลังหยุดยั้งแคว้นเราอีกต่อไป”
หลินปี้ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด ถ้ากำจัดหลี่เสี่ยนได้ นอกจากหลี่จื้อนำทัพหลวงออกศึกด้วยตนเอง ต้ายงก็ไม่มีผู้ใดต้านทานกองทัพใหญ่ของท่านได้อีก แต่หากหลี่จื้อนำทัพออกศึกเอง หนานฉู่ก็คงหาเหตุบุกตี ถึงเวลาต้ายงต้องรับศึกสองด้าน สถานการณ์คงยิ่งวิกฤติ แต่หลี่เสี่ยนเป็นถึงชินอ๋องเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังได้รับความเชื่อใจจากหลี่จื้อ น่ากลัวว่าคงยากกำจัดเขา”
หลงถิงเฟยแย้มยิ้มตอบว่า “ความชอบมาก เจ้าแผ่นดินหวั่นกลัว ใต้หล้ามีเจ้าแผ่นดินสักกี่คนไม่หวั่นเกรงแม่ทัพใหญ่ที่ถือครองทหาร ต่อให้หลี่จื้อเก่งกาจชาญฉลาด ความแคลงใจก็ย่อมมีอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความกินแหนงแคลงใจระหว่างหลี่เสี่ยนกับหลี่จื้อก็ยังไม่ถูกกำจัด ในอดีตหลี่อันสมคบสำนักเฟิงอี้ก่อกบฏ บีบให้จักรพรรดิสละราชบัลลังก์ แม้หลี่เสี่ยนมิได้เข้าร่วมด้วยตัวเอง แต่ก็น่าสงสัยยิ่งนัก พระชายาของเขาก็ปลิดชีพฆ่าตัวตาย จากข่าวกรองที่พวกเราได้รับมา ยามนั้นหลี่เสี่ยนถูกกักตัวอยู่ แต่เพราะข้านำทหารเข้าโจมตี หลี่จื้อหมดหนทางจึงจำต้องละเว้นโทษให้หลี่เสี่ยน
ทว่าหลี่เสี่ยนผู้นี้ความคิดออกจะประหลาดนัก เขาทำผิดอยู่หลายเรื่อง เรื่องแรกคือการปฏิเสธสมรสพระราชทานจากหลี่จื้อ เมื่อปีกลายหลี่จื้อคิดเลือกพระชายาคนใหม่ให้หลี่เสี่ยน ทว่ากลับถูกหลี่เสี่ยนปฏิเสธ เรื่องที่สองคือบุตรของอดีตพระชายาฉีอ๋องซึ่งเสียตำแหน่งซื่อจื่อไปแล้ว หากหลี่เสี่ยนฉลาดก็สมควรไม่สนใจไยดีบุตรผู้นี้ แต่เขากลับพาบุตรชายคนนี้มายังค่ายทหารด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ยงอ๋องย่อมไม่พอใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
กล่าวไปแล้วหลี่เสี่ยนผู้นี้ก็ดื้อดึงจริงๆ จุดสำคัญตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้ เขามิใช่ว่าไม่รู้ แต่กลับไม่ยอมก้มหัวยอมแพ้ ในเมื่อเขาปล่อยจุดอ่อนของตัวเองทิ้งไว้เช่นนี้ ข้าย่อมไม่เกรงใจ เริ่มตั้งแต่ปีก่อนข้าก็กระจายข่าวลือว่าหลี่เสี่ยนมุ่งป้องกันหลบอยู่ในเมืองเพื่อยึดครองทหารตั้งตนเป็นใหญ่ หากผู้ที่ทำเรื่องนี้เป็นผู้อื่น ด้วยความใจกว้างกับความชาญฉลาดของหลี่จื้อ เขาย่อมมิสนใจนัก แต่หากเป็นหลี่เสี่ยนผู้เคยต้องสงสัยว่าก่อกบฏ แล้วตัวหลี่เสี่ยนก็ยังไม่รู้จักสถานการณ์เช่นนี้อีก เจ้าคิดว่าหลี่จื้อจะคิดเช่นไร ผ่านไปไม่กี่เดือน หลี่จื้อก็ออกราชโองการปลอบประโลมหลี่เสี่ยนมาหลายฉบับแล้วนั่น”
หลินปี้คิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “หากเป็นแม่ทัพคนอื่น คำปลอบประโลมเช่นนี้คงมีแต่จะทำให้เขาซาบซึ้ง แต่หากเป็นหลี่เสี่ยน คำปลอบประโลมเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าถูกสงสัย”
หลงถิงเฟยเอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้น หลี่เสี่ยนเองก็ถวายฎีการายงานสถานการณ์ศึกไปหลายฉบับติดกันเพื่อแสดงความจริงใจ แต่เรื่องเช่นนี้อยากปฏิเสธก็พูดอันใดมิได้ ตอนนี้แม้แต่ในตัวเมืองฉางอันก็เต็มไปด้วยข่าวลือ คิดว่าหลี่จื้อเองก็คงลำบากยิ่งเช่นกัน หากไม่เรียกหลี่เสี่ยนกลับ แล้วปล่อยให้คำเล่าลือแพร่ต่อไปจนหลี่เสี่ยนเกิดความกลัวขึ้นในใจ ต่อให้เดิมทีไม่มีใจคิดกบฏก็คงเริ่มคิดกบฏแล้ว”
หลินปี้เอ่ยว่า “ความจริงหากหลี่จื้อส่งผู้ตรวจการทัพที่น่าเชื่อถือได้มาสักคน ก็อาจทำให้จิตใจของทหารและประชาชนสงบลงได้”
หลงถิงเฟยคลี่ยิ้ม “ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น ผู้ตรวจการทัพผู้นี้ทั้งต้องมีความสามารถพอปรามฉีอ๋อง แล้วยังต้องไม่ทำให้แม่ทัพใต้บัญชาของฉีอ๋องเกิดโทสะ ทั้งยังต้องเป็นคนสนิทของหลี่จื้ออีก ตอนนี้ทั่วทั้งต้ายงมีคนเช่นนี้เสียที่ไหน ขอเพียงสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป มิว่าเพื่อปกป้องฉีอ๋อง หรือเพื่อป้องกันฉีอ๋องก่อกบฏ การเรียกฉีอ๋องกลับก็จะเป็นวิธีการที่จำเป็น ถึงเวลาฝั่งต้ายงขาดแม่ทัพใหญ่ ย่อมต้องมีผู้ทนไม่ไหวบุกเข้าโจมตี ข้าก็จะฉวยโอกาสทำลายกำลังของทัพต้ายงเสีย”
หลินปี้ถอนหายใจ เอ่ยว่า “หวังว่าท่านจะทำสำเร็จในครั้งเดียว เป่ยฮั่นของเราทนยืดเยื้อนานคงมิไหว”
หลงถิงเฟยเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “น้องปี้วางใจเถิด หลังจากข้าบุกยึดเจ๋อโจวกับเจิ้นโจวแล้ว น้องปี้ งานแต่งงานของเจ้ากับข้าก็ไม่สมควรผัดผ่อนออกไปอีกแล้ว”
พวงแก้มงามของหลินปี้แดงระเรื่อ พูดคำใดไม่ออก หลงถิงเฟยเดินมาตรงหน้านางแล้วกุมมือเรียวของนางไว้ “ข้าทราบว่าเจ้าไม่วางใจเรื่องทางไต้โจว ไม่เป็นไร เรื่องนี้ข้าคิดตกแล้ว หลงถิงเฟยมิใช่คนสายตาคับแคบ ขอเพียงทำให้แคว้นเป่ยฮั่นรุ่งเรืองได้ เจ้ากับข้าพรากจากมาก พบพานน้อยจะเป็นอันใด”
หลินปี้ตื้นตันใจ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เมื่อท่านทำลายกองทัพต้ายงได้แล้วก็ไปแจ้งเจ้าแคว้นกับบิดาของข้าเถิด”
หลงถิงเฟยยินดียิ่งนัก เอื้อมมือออกมารั้งคนงามในดวงใจเข้ามาในอ้อมแขน แสงโคมสีแดงส่ายไหว สะท้อนเงาของคนทั้งคู่บนกำแพง ความรู้สึกนี้ ณ ชั่วขณะนี้ จะมิให้คนลุ่มหลงมัวเมาได้เช่นไร
ตอนต่อไป