ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 7 แรกถึงปินโจว (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตอนที่ 7 แรกถึงปินโจว (1)

เจียงหย่ง บิดานามว่าเจียงอู๋หยาผู้ปกครองสวีโจว สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออกได้รับแต่งตั้งเป็นหย่งหนิงโหว ตบแต่งองค์หญิงใหญ่นิ่งฮว๋าพระเชษฐภคินีของเกาจู่เป็นภรรยาเอก เมื่อต้ายงก่อตั้งแคว้น เจียงอู๋หยาต่อสู้ชิงชัยกับเกาจู่จนถูกลอบสังหารบาดเจ็บหนัก สุดท้ายตายในสนามรบ เจียงหย่งเห็นศัตรูอำนาจมากจึงพามารดาและลูกน้องเก่าแก่เดินทางไกลมาเป็นโจรสลัดที่ตงไห่ สืบบรรดาศักดิ์บิดาเป็นหย่งหนิงโหว ทว่าหลังจากประกาศศักดาที่ตงไห่ ข่มขวัญดินแดนติดชายฝั่ง ผู้คนจึงเรียกขานเขาตงไห่โหวไม่เรียกชื่อจริงอีก เกาจู่เรียกตัวเขาให้มาสวามิภักดิ์หลายครั้ง แต่เจียงหย่งมิเคยมา
…พงศาวดารต้ายง ประวัติตงไห่โหว
หลังออกจากชิ่นโจว หลินปี้ก็นำองครักษ์ร้อยกว่านายเดินทางทั้งวันทั้งคืนมุ่งไปยังหลู่หนาน แถบนี้เป็นบริเวณที่อำนาจของต้ายงกับเป่ยฮั่นแบ่งเขตกันไม่ชัด ดังนั้นพวกหลินปี้จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าปลอมเป็นขบวนเดินทางของพ่อค้า ระหว่างทางเกิดเรื่องอยู่บ้างแต่ไม่มีอันตราย ผ่านไปเพียงสิบวันก็มาถึงปินโจว
ปินโจวตั้งอยู่ชายแดนระหว่างต้ายงกับเป่ยฮั่น แต่ความจริงแล้วที่แห่งนี้อยู่ในเขตอำนาจของตงไห่โหวเจียงหย่ง ก่อนหน้านี้สมัยตงไห่โหวอาละวาดทั่วดินแดนชายฝั่งก็รับเสบียงมาจากปินโจว พ่อค้าปินโจวเองก็ลอบส่งข่าวสารให้ตงไห่โหวอย่างลับๆ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของเรือสินค้าในทะเล ยิ่งในช่วงหลายปีนี้ หลี่จื้อเป็นผู้ปกครองกองทัพและบ้านเมือง ความแค้นระหว่างต้ายงกับตงไห่จึงเหมือนจะเริ่มคลี่คลาย ตงไห่โหวไม่เจตนาร้ายปล้นชิงเรือสินค้าของต้ายงอีก ส่วนต้ายงก็ไม่ปราบปรามอำนาจของเจียงหย่งอย่างรุนแรงอีกต่อไป
ดังนั้นอำนาจของตงไห่โหวที่ปินโจวจึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตงไห่เริ่มเปิดเส้นทางการค้าโพ้นทะเล ปินโจวก็กลายเป็นหนึ่งในเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า เป่ยฮั่นกับต้ายงต่างใช้ปินโจวเป็นทางผ่านส่งผลผลิตของแว่นแคว้นขึ้นเรือสินค้าเดินทางไปยังโพ้นทะเล แลกเปลี่ยนเป็นเงินทอง เสบียงและผลผลิตเฉพาะถิ่นนานาชนิดของดินแดนโพ้นทะเลกลับมาอย่างไม่ขาดสาย ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเป่ยฮั่นหรือต้ายงก็ล้วนต้องการยึดครองปินโจว ทว่าในตอนที่ยังไม่มีความมั่นใจ กลับไม่มีฝ่ายใดกล้าบุ่มบ่ามลงมือ
ส่วนการค้าระหว่างหนานฉู่กับตงไห่ดำเนินผ่านทางหังโจว ครั้งนี้ที่หนานฉู่ต้องการบีบตงไห่โหวให้กีดกันต้ายง ทางเหนือร่วมมือกับเป่ยฮั่น ทางใต้ร่วมมือกันหนานฉู่ ก็ไม่ได้มีเจตนาดีสักเท่าใด หากต้ายงตัดสินใจจะแหลกลาญไปด้วยกัน ปินโจวก็อย่าคิดจะเป็นเมืองท่าได้อีก ถึงเวลาคงเหลือเพียงหนานฉู่ยึดครองผลประโยชน์ผู้เดียว ดังนั้นหลินปี้จึงไม่กระตือรือร้นกับข้อเสนอของหนานฉู่นัก แน่นอนว่าหากหนานฉู่ทำสำเร็จจริง หลินปี้ย่อมพยายามคิดหาวิธีควบคุมปินโจว แม้จะยากลำบากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อเข้ามาในปินโจวก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความรุ่งเรืองพัดโถมเข้าใส่ใบหน้า พ่อค้าที่สัญจรไปมามีทั้งสำเนียงเหนือใต้ปะปนกัน หากมิใช่ว่าสายลมยามสารทหนาวเย็น คงทำให้คนสงสัยว่ากำลังอยู่ที่เจียงหนาน ในปินโจว เป่ยฮั่นขึ้นชื่อว่าเป็นแคว้นศัตรู ดังนั้นย่อมไม่มีศาลาพักม้าตั้งอยู่ แต่มีคนจองเรือนเดี่ยวหลังหนึ่งของโรงเตี๊ยมผิงอานซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมชื่อดังที่สุดในปินโจวให้หลินปี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
โรงเตี๊ยมผิงอาน นามนี้ธรรมดายิ่งนัก แต่ปัจจุบันโรงเตี๊ยมผิงอานทั้งหมดในใต้หล้าล้วนมีเจ้าของคนเดียวกัน เมื่อสองปีก่อน โรงเตี๊ยมผิงอานสาขาแรกก่อตั้งและเปิดกิจการที่หนานฉู่ หลังจากนั้นไม่นานก็เปิดสาขาย่อยตามเมืองใหญ่แต่ละแห่งทั่วหล้าอย่างรวดเร็ว โรงเตี๊ยมผิงอานมิได้มีความหรูหราเป็นข้อเด่น ความจริงแล้วการตกแต่งในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีชื่อเสียงเด่นดังในด้านความเรียบง่ายงดงาม แม้ด้านในโรงเตี๊ยมมีบริการเพียบพร้อม แต่ก็ไม่มีความพิเศษมากมายแต่อย่างใด แม้จะทำอาหารชื่อดังของแต่ละถิ่นทั่วหล้าได้ แต่เทียบกับรสชาติของร้านดังต้นตำรับแล้วก็ยังไม่ถึงขั้น
ตามหลักแล้วโรงเตี๊ยมเช่นนี้น่าจะไม่มีสิ่งใดควรค่าให้สำคัญ ทว่าหลังจากโรงเตี๊ยมผิงอานเปิดโรงเตี๊ยมสาขาจำนวนมาก พ่อค้าทั่วทุกสารทิศผู้เดินทางอยู่บ่อยครั้งก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าโรงเตี๊ยมผิงอานแต่ละแห่งคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง วิธีจัดการโรงเตี๊ยม ขนาดและการตกแต่งห้อง รสชาติของอาหารแทบจะแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
สำหรับพ่อค้านักเดินทางที่ร่อนเร่อยู่นอกบ้านเป็นประจำเหล่านี้ โรงเตี๊ยมผิงอานที่มีอยู่ทั่วทุกแห่งเสมือนหนึ่งว่ากลายเป็นบ้านของตน เมื่ออยู่ที่นี่ พวกเขาจะได้สัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น โรงเตี๊ยมผิงอานยังมีข้อดีอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อเจ้าเข้าพักที่โรงเตี๊ยมสาขาสักแห่งหนึ่ง ภายในไม่กี่เดือน โรงเตี๊ยมผิงอานทั้งหมดในใต้หล้าก็จะรู้แบบห้องที่เจ้าชอบ อาหารที่ชอบกินอย่างถ้วนหน้า จึงทำให้ไปที่ใดเจ้าก็รู้สึกเหมือนกลับบ้าน
แน่นอนว่าย่อมมีคนบางกลุ่มกังวลว่าโรงเตี๊ยมผิงอานจะก่อปัญหา แต่โรงเตี๊ยมผิงอานแต่ละแห่งอย่างมากที่สุดก็มีเพียงผู้ดูแลคนหรือสองคนเท่านั้นที่เป็นคนของโรงเตี๊ยมผิงอานจริงๆ บ่าวรับใช้คนอื่นล้วนจ้างมาจากในท้องถิ่น เพียงแต่ภายหลังได้รับการฝึกฝน บ่าวรับใช้เหล่านี้ล้วนต้องทำงานตามกฎสารพัดที่เขียนไว้เต็มสมุดเล่มน้อยที่ผู้ดูแลเหล่านั้นนำมาให้ หากมีผู้ใดฝ่าฝืนก็จะถูกไล่ออกทันที ดังนั้นจึงทำให้โรงเตี๊ยมผิงอานในแต่ละเมืองมีพื้นฐานคล้ายคลึงกัน แต่ในรายละเอียดมีเอกลักษณ์ของแต่ละสถานที่อยู่เล็กน้อย
วิธีการบริหารเช่นนี้สะดวกให้ทางการของแต่ละเมืองส่งสายลับเข้ามาสืบอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็ยากจะสืบความลับอันใดออกไปได้ ด้วยเหตุนี้ จนกระทั่งวันนี้ นายท่านเบื้องหลังโรงเตี๊ยมผิงอานคือผู้ใดก็ยังคงเป็นความลับอยู่
หลินปี้เลือกพักที่โรงเตี๊ยมผิงอานย่อมไม่ใช่เพราะเหตุผลเช่นชมชอบโรงเตี๊ยมแห่งนี้ แต่สาเหตุเพราะโรงเตี๊ยมผิงอานยังมีข้อดีอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือห้องแต่ละห้องของโรงเตี๊ยมจะใช้พฤกษานานาพันธุ์ ภูเขาจำลอง หรือพวกทางเดินรอบอาคารกั้นห่างออกจากห้องอื่นๆ มีข้อเด่นในเรื่องการเก็บความลับและความปลอดภัย หากเช่าเรือนหลังหนึ่งก็ยิ่งปลอดภัยขึ้นอีก ห้องพักแขกอันมีระเบียบด้านในเรือนจะคอยคุมตำแหน่งสำคัญทั้งหมดไว้ได้อย่างพอดิบพอดี ขอเพียงจัดสรรคนเข้าไปอยู่ในห้องพักแต่ละห้องตามสมควร ก็จะกลายเป็นวงล้อมคุ้มกันวงหนึ่งโดยธรรมชาติ เหมาะสำหรับขุนนางใหญ่ หรือบุคคลสำคัญที่พาคนคุ้มกันและบ่าวรับใช้เดินทางไกลที่สุด
เพียงได้เข้าพักสักครั้งหนึ่ง แขกผู้ชื่นชอบความหรูหราจำนวนมากก็ชมชอบการค้างแรมที่โรงเตี๊ยมผิงอาน ยิ่งไปกว่านั้น แม้โรงเตี๊ยมผิงอานจะไม่หรูหรามากนัก แต่การตกแต่งก็มีความสง่าในความเรียบง่าย ไม่หยามหมิ่นสถานะของพวกเขา
เมื่อเข้าพักเรียบร้อยแล้ว หลินปี้จึงให้คนถือเทียบเชิญของตนส่งไปยังจวนของหวงเหว่ย เจ้าเมืองปินโจว หวงเหว่ยในนามแล้วเป็นขุนนางของต้ายง แต่ความจริงเป็นขุนนางของตงไห่โหวเจียงหย่ง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนทราบดีแก่ใจ แม้อำนาจของเจียงหย่งจะแผ่ขยายมาถึงปินโจว แต่ตัวเจียงหย่งไม่มีทางอาศัยอยู่ที่ปินโจว หากอยากไปร่วมงานมงคลก็จำต้องส่งเทียบไปก่อน หลังจากนั้นตงไห่โหวจึงจะส่งเรือมารับข้ามทะเลไป
หลินปี้ย่อมอยากพบหน้าทูตหนานฉู่สักครั้งก่อนงานฉลอง แต่ครั้งนี้ทูตหนานฉู่เดินทางผ่านทะเลมาจากหังโจว ก่อนหน้างานฉลองสองฝั่งไม่มีทางพบหน้ากันได้ ดังนั้นหลินปี้จึงปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปอย่างที่เป็น
หลังจากผู้คนของเป่ยฮั่นแต่ละคนพักผ่อนแล้ว หวังจี้ผู้นอนอยู่บนเตียงกลับหลับไม่ลง ตลอดทางหลินปี้จับตาดูเขาอย่างเข้มงวดยิ่งนัก เขาไม่มีโอกาสติดต่อกับคนของตนเลย จนตอนนี้เข้ามาพักในโรงเตี๊ยมผิงอาน หากตนคิดไม่ผิด นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะติดต่อคนของตนได้ หากติดต่อไม่ได้และไม่ได้รับคำสั่งจากนายท่าน เขาจะไปคารวะนายท่านได้อย่างไรเล่า อีกสามวันก็วันที่ยี่สิบแปดเดือนเก้า วันแต่งงานของบุตรชายตงไห่โหวแล้ว ส่วนเดือนสิบวันที่สองก็เป็นงานฉลองครบรอบอายุหนึ่งปีของบุตรชายนายท่าน จะทำเช่นไรดีเล่า ในใจหวังจี้ลังเลยิ่ง
ขณะที่หวังจี้พลิกไปมาอยู่นั่นเองก็มีคนเคาะประตูแล้วเอ่ยว่า “ผู้น้อยนำน้ำชามาส่ง ท่านลูกค้าโปรดเปิดประตูด้วย”
หวังจี้ตะโกนตอบ “ประตูเปิดอยู่ เจ้าเข้ามาเองเถิด”
ประตูห้องเปิดออกตามเสียงตอบรับ เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมผู้สวมชุดสีเขียวกับหมวกใบน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาปิดประตูพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านลูกค้า โรงเตี๊ยมน้อยๆ ของเราเตรียมชาชื่อดังจากแต่ละถิ่นเอาไว้ แต่มิทราบท่านลูกค้าชมชอบชนิดไหนเป็นพิเศษ ผู้น้อยจึงบังอาจตัดสินใจนำชาหลงจิ่งมาให้ หากท่านลูกค้าไม่ชอบ ล้วนเปลี่ยนได้ตลอดเวลา”
ปากเขากล่าวเช่นนี้ แต่การกระทำกลับประหลาดยิ่งนัก หลังจากวางกาน้ำชาก็ผลุนผลันถอดเสื้อผ้ากับหมวก หวังจี้แรกเริ่มตกตะลึงแต่เมื่อเห็นป้ายหยกแผ่นหนึ่งที่เสี่ยวเอ๋อร์ผู้นั้นวางไว้บนโต๊ะ สีหน้าจึงกลับกลายเป็นยินดี แล้วปลดเสื้อผ้าออกบ้าง ปากก็เอ่ยว่า “หลงจิ่งก็ดีมากแล้ว จริงสิ ข้าจะงีบสักพัก เจ้าไม่ต้องมารบกวนข้าอีก”
พูดพลางก็เปลี่ยนเป็นชุดของเสี่ยวเอ๋อร์แล้วกดหมวกลงมา ทั้งสองคนรูปร่างใกล้เคียงกัน เมื่อซ่อนใบหน้าเอาไว้ก็ดูคล้ายกันเจ็ดแปดส่วน เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นกระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วคลุมผ้าห่มมิดหัวทำท่าว่าเข้านอน ส่วนหวังจี้ยกถาดน้ำชาเดินออกมา เขาจดจำสภาพรอบด้านไว้ในใจ แล้วไม่พูดอันใดมาก เดินออกไปด้านนอกทันที เพิ่งเดินพ้นประตูเรือนก็เห็นเสี่ยวเอ้อร์อีกคนหนึ่งรออยู่ที่นั่นดังคาด หวังจี้ไม่พูดสักคำ เพียงเดินตามหลังคนผู้นั้นไป วนอ้อมสองสามรอบก็เดินเข้ามาในห้องพักอันเร้นลับอย่างยิ่งห้องหนึ่ง
ตอนต่อไป