บทที่ 440 แตกพ่าย
กู้เจียวพยักหน้าให้อวี้จิ่น “ขอบคุณท่านนักที่บอกข้าเรื่องพวกนี้ เรื่องที่ท่านบอกข้าสำคัญยิ่งนัก”
“ตั่งไม้มาแล้วขอรับ!”
คนรถถือตั่งไม้กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามา
อวี้จิ่นตบ ลงบนหลังมือของกู้เจียวเบาๆ คนรถวางตั่งไม้ลงข้างกายกู้เจียว กู้เจียวย่ำลงบนตั่งไม้ขึ้นรถม้า
ระหว่างทางกลับ กู้เจียวครุ่นคิดถึงคำพูดของอวี้จิ่น
หากที่อวี้จิ่นพูดทั้งหมดคือความจริง เช่นนั้นแล้วคนที่จุดไฟเผาเซียวเหิงที่กั๋วจื่อเจียนในตอนนั้นก็เหลือหนิงอ๋องเพียงคนเดียว
แต่หากที่อวี้จิ่นพูดเป็นเรื่องโกหก แท้จริงแล้วคนที่จุดไฟคือองค์หญิงซิ่นหยาง การที่หนิงอ๋องทำร้ายเซียวลิ่วหลังในครั้งนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงไปได้ ไม่อาจล้างมลทินได้
ไม่ว่าคนร้ายเมื่อสี่ปีก่อนจะเป็นใคร แต่คนที่หมายจะเอาชีวิตเซียวลิ่วหลังในตอนนี้คือหนิงอ๋อง
กู้เจียวหยิบสมุดเล่มน้อยขึ้นมา ยู้ปากไปมา ก่อนจะเขียนชื่อหนึ่งลงไป…ฉินฉู่หัน
ณ จวนหนิงอ๋อง ดวงจันทร์ลอยเด่น สายลมโบกโชย
หนิงอ๋องนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง ร่างทั้งร่างห่อด้วยผ้าพันแผล สภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย
เขาถูกกู้เจียววางยา ก่อนจะถูกกระทืบเจียนตาย กว่าองครักษ์หลงอิ่งจะมาถึง เขานึกว่าในที่สุดก็มีคนมาช่วยตัวเองเสียที แต่ใครจะไปรู้ว่าฝันร้ายกำลังเริ่มต้นเพียงเท่านั้น
องครักษ์หลงอิ่งผู้นี้เป็นคนที่ฮ่องเต้ประทานให้กับเขาเป็นการชั่วคราวเพื่อตามหาเซียวลิ่วหลัง คำสั่งแรกที่องครักษ์หลงอิ่งได้รับคือตามหาคน คำสั่งที่สองคือปกป้องเขา
กู้เจียวซัดเขาจนเละ แต่ก็ได้องครักษ์หลงอิ่งมาช่วยทัดทาน เพราะอย่างนั้นไอ้เจ็บมันก็เจ็บอยู่หรอก แต่ไม่ถึงกับช้ำใน
องครักษ์หลงอิ่งประเมินแล้วว่าเขาไม่ได้กระดูกหักหรือมีบาดแผลภายนอกอะไรมากมาย ยังสามารถตามหาคนได้ต่อ จึงชิงตัวเขาขึ้นรถม้าไป
พลขับรถไม่อยู่แล้ว องครักษ์หลงอิ่งจึงเป็นคนขับรถม้าให้กับเขาเอง
ถึงหนิงอ๋องจะไม่ช้ำใน แต่ทั่วทั้งร่างนั้นไม่ว่าส่วนไหนก็เจ็บจนต้องร้องโอดโอย ฝีมือการบังคับรถม้าขององครักษ์หลงอิ่งนั้นใช้ไม่ได้เอาเสียเลย ท้องไส้ของหนิงอ๋องแทบจะขาดเป็นท่อนอยู่รอมร่อ หัวก็โขกกับผนังรถตั้งเจ็บแปดครั้ง ก้นกบก็กระแทกกับพื้นไม่รู้อีกกี่หน
อันที่จริงเขาจะพลิกตัวก็ได้ แต่ก็ไม่อยากทำอะไรที่เกินกำลัง
เพราะอย่างนั้นจึงเลือกที่จะเสียสละก้นกบของตัวเอง
และแล้วท่อนแขนของเขาก็กระแทกจนหลุดออกจากเบ้า องครักษ์หลงอิ่งจึงวินิจฉัยแล้วว่าอาการบาดเจ็บของเขาต้องได้รับการรักษา
หลังจากนั้นองครักษ์หลงอิ่งจึงหามเขากลับวัง
หาม…
ฟ้ารู้ดินรู้ว่าข้อแขนที่หลุดออกจากเบ้าของเขาถูกกระแทกกลางอากาศมากี่หน กระแทกจนเขาไม่รู้สึกว่าแขนของตัวเองเป็นแขนของตัวเองอีกต่อไป…
นี่มันฝันร้ายกลางวันแสกๆ ชัดๆ!
“ฝ่าบาทได้เวลากินยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉีเฟยพยุงร่างที่ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ของหนิงอ๋องให้ลุกขึ้นนั่ง
ร่างทั้งร่างของหนิงอ๋องเหมือนถูกหินก้อนใหญ่กดทับ ไม่รู้สึกว่าส่วนใดเป็นร่างกายของตัวเองเลยสักนิด
เพียงแค่ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงก็ทำเอาหนิงอ๋องเจ็บจนเหงื่อซึม
เขาให้มืออีกข้างหนึ่งที่ไม่ซ้นรับถ้วยยามา
แม้จะไม่ซ้นแต่ก็ถูกกู้เจียวกระทืบจนบวมเบ่งเหมือนเท้าหมู ถือถ้วยยาแทบจะไม่มั่น
สุดท้ายฉีเฟยก็ทนดูไม่ไหว ปรนนิบัติป้อนยาให้เจ้านายด้วยตนเอง
หนิงอ๋องพิงเบาะด้านหลัง นึกย้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อไม่หาย “เหตุใดนางถึงกล้า…”
นั่นสินะ
เหตุใดลูกสาวขุนนางที่พลัดหลงไปอยู่กับชาวบ้านถึงกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับองค์ชาย
ต่อให้มีไทเฮาและฮ่องเต้คอยให้ท้าย แต่หากพูดถึงเรื่องเลือดเนื้อเชื้อไขแล้ว เขาต่างหากที่คือสายเลือดที่แท้จริงของสองคนนั้น
นอกจากองค์หญิงหนิงอันแล้ว เขาคือคนเดียวที่สมควรจะได้รับความเอ็นดูจากไทเฮาและฮ่องเต้ในคราวเดียวกัน
แล้วนางเด็กผู้นี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน
นางคงไม่คิดว่าตัวเองมีไทเฮาและฮ่องเต้ให้ท้ายนิดหน่อยแล้วจะเป็นที่รักที่เอ็นดูไปตลอดชาติหรอกกระมัง
ไม่รู้จักสำเหนียกตัวเอง!
อยู่ใกล้จักรพรรดิเหมือนดั่งอยู่ใกล้พยัคฆ์ อยู่ใกล้อำนาจครั้นยิ่งใหญ่แต่ก็เป็นภัย นางไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือ
ฉีเฟยถามอย่างไม่เข้าใจ “ฝ่าบาท ข้าน้อยคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดหมอกู้ถึงทำเช่นนี้ ท่านเผาโรงเก็บยาของนาง นางเองก็ปล้นพระคลังท่านจนหมดเกลี้ยงแล้วไม่ใช่หรือ คนที่ได้เปรียบคือนาง แต่เหตุใดนางถึงกัดท่านไม่ยอมปล่อย”
หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “จะมีเหตุผลใดที่ทำให้นางทำอะไรไม่คิดชีวิตเช่นนี้ได้อีกเล่า”
ฉีเฟยเองก็ไม่ใช่คนโง่ พลันนึกออกในทันที “หรือว่า…นางรู้เรื่องที่ท่านทำอะไรกับเซียวลิ่วหลังแล้ว”
หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเย็น “แม้ข้าจะไม่มีหลักฐาน แต่คิดไปคิดมาก็มีเพียงแค่เหตุผลเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่านางรู้เรื่องชาติกำเนิดของเซียวลิ่วหลังมากน้อยเท่าใด รู้หรือไม่ว่าเขาเคยเป็นท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา หากนางรู้ แต่ก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าจากเหตุการณ์ครั้งนี้ นางจะเดาได้หรือไม่ว่าเหตุเพลิงไหม้เมื่อสี่ปีก่อนเป็นฝีมือของข้า”
ฉีเฟยชะงักไป สมกับเป็นฝ่าบาท คิดรอบคอบ หากเป็นเขาคงคิดไม่ถึง
หนิงอ๋องเอ่ยราวกับคิดอะไรบางอย่าง “เพียงแต่ข้าสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง นางเดาออกหรือยังว่าเซียวลิ่วหลังอยู่ที่ใด”
การปั่นป่วนของกู้เจียวเรียกได้ว่าทำแผนการของหนิงอ๋องสั่นคลอน เขาไม่เคยพบเจอคนที่อ่านใจไม่ออกเช่นนี้มาก่อน เขาเป็นหนึ่งในโอรสที่ฉลาดที่สุดของฮ่องเต้ เขาช่ำชองยุทธการทหาร เขาอ่านใจคนออกอย่างทะลุปรุโปร่ง มักจะนำหน้าฝั่งตรงข้ามก้าวหนึ่งเสมอ เขาสามารถคะเนก้าวต่อไปได้หลายสิบก้าว
แต่นางตัวดี…อย่างกู้เจียว ชักจะท้าทายอำนาจของเขามากเกินไปแล้ว!
ฉีเฟยเอ่ย “องค์ชาย เช่นนั้น…ท่านทูลไทเฮาตามตรงไหมพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาเป็นท่านย่าของท่าน ทั้งยังเป็นท่านยายของท่านด้วย นางไม่มีทางเข้าข้างนางหนูนั่นแน่นอน!”
หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ “บอกไทเฮาอย่างนั้นหรือ เข้าทางนางเลยน่ะสิ”
ฉีเฟยไม่เข้าใจ “จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงอ๋องเป็นเจ้านายที่ใจเย็น ไม่ได้เอาแต่ใจตัวเองเหมือนไท่จื่อ ไม่เคยดุด่าบ่าวไพร่ว่าโง่เง่าเพียงเพราะตามความคิดของเขาไม่ทัน
ตามไม่ทันสิถึงจะถูก ขืนฉลาดเท่าทันเขาไปเสียหมด แล้วเขาจะเป็นองค์ชายที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อนได้เช่นไร
เขาเอ่ย “หากข้าบอกว่านางขโมยของข้า แล้วหลักฐานเล่า กระทั่งเด็กสาวคนหนึ่งข้ายังสู้ไม่ได้ ใครจะเชื่อข้า”
ฉีเฟยตาเบิกโพลง “แต่นางวางยาท่าน…”
หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเรียบพลางมองเขา “หากเจ้าหายาพิษที่นางใช้วางยาข้าได้ ก็หามาให้ข้าสิ!”
ยาเหมิงฮั่นต้องใช้เวลากว่าครึ่งถ้วยชาหรือหนึ่งก้านธูปถึงจะออกฤทธิ์ เช่นนั้นแล้วยาที่ถูกแทงเข้ามาในร่างเขานั้นไม่รู้ว่าคืออาวุธลับใด ถึงได้ทำให้เขาหมดสติไปในทันที
คนที่ไม่ได้เห็นกับตาตัวเองคงไม่เชื่อ!
อันที่จริงคนที่เป็นพยานได้คือองครักษ์หลงอิ่ง แต่เห็นก็เหมือนไม่เห็น
หนิงอ๋องพูดต่อ “อีกอย่างหากข้าฟ้องว่านางขโมยของข้า เช่นนั้นนางก็ฟ้องได้เหมือนกันว่าข้าจับตัวเซียวลิ่วหลังไป”
ฉีเฟยเอ่ยพึมพำ “นางเองก็ไม่มีหลักฐาน…อีกอย่างเซียวลิ่วหลังอยู่ที่ใดก็ยังไม่แน่ชัด ไม่แน่ว่าไทเฮาอาจจะส่งคนออกไปตามหา”
หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “เจ้าเองก็บอกว่านางไม่มีหลักฐาน ไทเฮาคงไม่เชื่อนาง แล้วไทเฮาจะเชื่อข้าหรือ”
ล้วนแต่จับมือใครดมไม่ได้ทั้งนั้น หากเชื่อก็คงเชื่อสนิทใจ กลับกันก็อาจไม่เชื่อเลยก็เป็นได้
หากเชื่ออย่างสนิทใจแล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรน่ะหรือ ก็กลายเป็นว่าองค์ชายแห่งแคว้นอย่างเขาจับตัวขุนนางฮั่นหลินคนหนึ่งไป จากนั้นภรรยาของอีกฝ่ายจึงตามมากระทืบเขาเพื่อแก้แค้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าใครเป็นฝ่ายผิด
หากไม่เชื่อแล้วผลจะเป็นอย่างไรน่ะหรือ กลายเป็นว่าพวกเขาทั้งสองล้วนแต่เป็นพวกปากเปราะ นางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง จะพูดโกหกบ้างก็คงไม่เป็นอะไร แต่เขานั้นเป็นถึงราชโอรสองค์โต ให้ร้ายปรักปรำเด็กสาวคนหนึ่งมีแต่เสื่อมเสียเกียรติของตนเอง
เพราะอย่างนั้นไม่ว่าทางไหนเขาก็แพ้ทั้งนั้น
เทียบกันแล้วไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไปฟ้องเรื่องนางเด็กนั้นหรอก กลัวว่านางเด็กนั่นจะไปฟ้องเรื่องของเขาเสียมากกว่า
“นางจะฟ้องเรื่องของท่านหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฟังเจ้านายวิเคราะห์แล้ว ฉีเฟยก็เริ่มเป็นกังวล
หนิงอ๋องเองก็ครุ่นคิดเช่นเดียวกัน “คงไม่หรอก”
ฉีเฟย “เพราะเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงอ๋อง “นางไม่ชอบน่ะสิ”
คนที่เลือกใช้กำลังมากกว่าวาจาเช่นนางน่ะหรือจะวิ่งโร่ไปฟ้องใคร