บทที่ 443 เจียวเจียวลงมือ
ไท่จื่อเฟยโดนกู้เจียวเมินครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้เป็นหุ่นดินก็เกิดโทสะขึ้นมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่อยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิงซิ่นหยางแล้วอีกฝ่ายมาทำสงครามกับตนเลย ที่น่าโมโหกว่านั้นคืออีกฝ่ายรับปากองค์หญิงซิ่นหยางแล้วว่าจะไม่ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป ภายหลังเพิ่งจะพบว่าที่องค์หญิงซิ่นหยางปกป้องกู้เจียวเช่นนี้ ก็เป็นเพราะองค์หญิงซิ่นหยางอาจจะรู้อีกทั้งยังยอมรับแล้วด้วยว่านางเป็นสะใภ้
ยังจะมาหลอกตนว่าเป็นหมอที่รักษาให้อีก!
ไท่จื่อเฟยครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก ที่ตนโมโหเพียงนี้หาใช่เพราะกู้เจียวลงมือทำอะไร แต่เป็นเพราะนางไม่ทำอะไรเลยต่างหาก แต่ดันค่อยๆ ชิงตำแหน่งในใจขององค์หญิงซิ่นหยางแทนที่ตนทีละนิด แย่งของที่เดิมทีเป็นของตนไป
ทั้งการปกป้องจากองค์หญิงซิ่นหยาง ทั้งความรักจากอาเหิง
ไท่จื่อเฟยวางกรรไกรในมือลงในตะกร้าที่ชุนอิ๋งคล้องแขนไว้ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างกายกู้เจียว เอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเซียวลิ่วหลังอยู่ที่ไหน”
กู้เจียวตัดดอกไม้มาดอกหนึ่ง เอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “สามีข้าจะอยู่ไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าห่วงหาสามีคนอื่นจนติดใจไปแล้วรึ”
“เจ้า!” ไท่จื่อเฟยสีหน้าพลันเปลี่ยน!
กู้เจียว “หลบไป”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่คิดจะจัดการกับเซียวลิ่วหลังเป็นใคร มีแค่ข้าเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้!” ไท่จื่อเฟยไม่เคยคิดเลยสักนิดที่จะเอาชีวิตเซียวลิ่วหลัง และนางก็ไม่อยากเห็นเขาไปตายตาปริบๆ ด้วย
กู้เจียวหันกลับมาส่งสายตาถากถางให้นาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่อยู่กับใครไปแล้ว ก็อย่ามาทำดีชดเชยภายหลัง”
สงสารเซียวเหิง แล้วตอนนั้นมัวทำอะไรอยู่
โศกนาฏกรรมของเซียวเหิงใครเป็นคนก่อกันแน่
บนโลกนี้มีคนสองประเภทที่น่ารำคาญที่สุด หนึ่งคือคนชั่วร้ายโทษมหันต์ที่มีจุดประสงค์ชัดเจนอย่างเช่นหนิงอ๋อง อีกประเภทคือคนที่โทษไม่ถึงตาย ที่ไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตถึงชีวิตคนในตอนแรก แต่ก็ก่อเรื่องก่อราวขึ้นมากมายก่ายกอง นอกจากตัวเองที่ไม่เป็นไรแล้ว นอกนั้นก็ถูกนางลากไปซวยด้วยหมด
ประเภทแรกยังพอจะใช้กฎหมายจัดการเขาได้ ได้ใจคนไปยกใหญ่ แต่ไอ้ประเภทหลังจะฆ่าก็ฆ่าไม่ได้ ทนไว้ก็ทรมาน ราวกับมีอะไรติดคอ
ทว่าได้ยินว่ากฎหมายแคว้นเจากับกฎหมายในชาติก่อนของนางแตกต่างกัน ไม่รู้ว่าไท่จื่อเฟยสมคบคิดกับหนิงอ๋องจะมีโทษอย่างไร
ไท่จื่อเฟยสะอึกพูดอะไรไม่ออกสักคำ
นางคล้ายจะกระจ่าง แต่ก็คล้ายจะไม่เข้าใจ
นางกับเซียวลิ่วหลังไม่มีความรู้สึกอะไรให้พูด แต่กับเซียวเหิงน่ะมี
ดังนั้นความหมายของกู้เจียวคือยอมรับว่าเซียวลิ่วหลังคือเซียวเหิง อีกทั้งยังพูดแทงใจดำว่านางยังมีความรู้สึกที่ไม่พึงมีต่อเซียวเหิงด้วยรึ
นางกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร
นางไม่กลัวตนจะเปิดโปงตัวตนของเซียวเหิงรึ
หรือว่านางมองออกแต่แรกแล้วว่าตนรู้ว่าเซียวลิ่วหลังก็คือเซียวเหิง
แน่นอนว่าที่น่าฉุนมากที่สุดก็คือประโยคที่ว่า ‘หากพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่อยู่กับใครไปแล้ว ก็อย่ามาทำดีชดเชยภายหลัง’ นางมีสิทธิ์อะไร…มีสิทธิ์อะไรมาฉีกหน้าตนเช่นนี้!
กู้เจียวคร้านจะสนใจว่าไท่จื่อเฟยจะคิดอย่างไร นางเด็ดดอกไม้เสร็จก็เดินกลับไปโดยไม่หันกลับมาเลย
พวกนางกินมื้อเที่ยงที่ตำหนักเหรินโซ่วเสร็จ ขนมเปี๊ยะดอกไม้ของกู้เจียวก็ถูกแย่งไปจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว
ยามบ่ายเด็กๆ ทั้งสามยังคงไปสอยรังนก แบบที่ถูกองครักษ์ลับใช้เชือกโหนขึ้นไปน่ะนะ
แผนการต่อไปของกู้เจียวคือเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างหนิงอ๋องกับไท่จื่อเฟย ท่าทีของหนิงอ๋องเฟยค่อนข้างมีความนัยลึกซึ้งให้ระมัดระวัง คล้ายจะรู้เรื่อง และก็คล้ายไม่รู้อะไร ไม่ว่าอย่างไรกู้เจียวก็ไม่ได้คิดจะลงมือจากทางหนิงอ๋องเฟยอยู่แล้ว
ควรจะให้ไท่จื่อได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเสียก่อนจึงจะถูก
หนิงอ๋องหมู่นี้กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ก็ไม่เป็นไร ของบางอย่างมันสร้างขึ้นมาลอยๆ กันได้
หลังจากคาบบ่ายคาบแรกผ่านไป กู้เฉิงเฟิงก็เข้าห้องน้ำ
จู่ๆ เหยี่ยวตัวหนึ่งก็กระพือปีกบินมาเกาะบนไหล่เขา ปีกข้างหนึ่งกุมหัวกะโหลกของตัวเองไว้อย่างรังเกียจ ปีกอีกข้างตบท้ายทอยเขา
จากนั้นก็ยื่นกรงเล็บออกมาอย่างเย่อหยิ่ง
กู้เฉิงเฟิง “…”
พูดตรงๆ ว่านางเด็กคนนี้มาจับเขาด้วยตัวเองยังดีเสียกว่า ให้นกบินมามันหมายความอย่างไร
บนขาของเสี่ยวจิ่วมีกระดาษแผ่นเล็กๆ มัดไว้ บนนั้นวาดมีดเล็กๆ เปื้อนเลือดออกมาตามแบบ
“ตำหนักบูรพา รีบมา”
กู้เฉิงเฟิงมุมปากกระตุกยิกๆ
เขาสาบานเลยว่าหากครานี้จะยกเค้าคลังทองคำของไท่จื่อ เขาต้องได้ครึ่งหนึ่ง!
น่าเสียดายที่กู้เฉิงเฟิงต้องผิดหวัง เพราะกู้เจียวไม่ได้ไปปล้นไท่จื่อ
กู้เจียว “เจ้าเคยเจอไท่จื่อเฟยหรือไม่”
กู้เฉิงเฟิง “ถามเรื่องนี้ไปทำไม”
กู้เจียว “เจ้าเคยได้ยินนางพูดจามาก่อนหรือไม่”
กู้เฉิงเฟิง “เจ้าแปลกๆ นะ”
กู้เจียว “ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเคยฟังหรือไม่ ก็ฟังอีกสักหนแล้วกัน”
จากนั้นกู้เฉิงเฟิงก็ถูกมือน้อยๆ ข้างหนึ่งคว้าตัวไปตำหนักบูรพา
กู้เจียวเข้าไปอย่างเปิดเฟย แต่กู้เฉิงเฟิงถูกนางโยนเข้าไปอย่างเปิดเผย
ส่วนจะถูกยอดฝีมือของตำหนักบูรพาพบเข้าหรือไม่นั้นก็ต้องดูความสามารถของกู้เฉิงเฟิงแล้ว
กู้เฉิงเฟิงที่เกือบจะล้มหน้าคะมำกัดฟันกรอดๆ ยัยเด็กหน้าเหม็นนี่!
“เจ้ามาทำไม” ไท่จื่อเฟยมองกู้เจียวที่มีคนเดินนำมาอย่างเย็นชา นางกำลังคุกเข่าจัดดอกไม้อยู่ในเรือนอุ่น เศษกิ่งก้านและกลีบดอกไม้เกลื่อนเต็มโต๊ะ
กู้เจียวนั่งไขว่ห้างลงตรงข้ามนางพลางเอ่ย “มาคุยกับเจ้า”
ไท่จื่อเฟยตัดดอกเฉาเย่าดอกหนึ่ง “ระหว่างเจ้ากับข้ามีอะไรต้องคุยรึ”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ “ไม่มีอะไรให้คุยหรอก”
ไท่จื่อเฟย “…”
ไม่เคยพบเคยเห็นเลยจริงๆ… ไท่จื่อเฟยเค้นสมองก็คิดคำเหมาะๆ มาบรรยายกู้เจียวไม่ออก นางตัดมาอีกดอกหนึ่งก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียว “ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินข้างนอกนั่นพูดว่าอะไรบ้าง คนที่ทำร้ายเซียวเหิงไม่ใช่ข้า ข้าไม่ส่งคนไปจับเขา และข้าก็หวังว่าจะเจอเขาได้ในเร็ววัน แต่ยามนี้สถานการณ์ยังไม่สงบ เขาจะหลบซ่อนก่อนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพียงแต่หลบได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น จะหลบไปทั้งชีวิตไม่ได้ เจ้าต้องคิดหาวิธีจัดการที่ต้นตอ”
“ดีมาก ต่อสิ” กู้เจียวเอ่ย
ไท่จื่อเฟยชะงัก
นางค่อนข้างสงสัยว่ากู้เจียวเข้าใจความนัยในถ้อยคำของนางหรือไม่
นางมองกู้เจียว กู้เจียวคล้ายไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่กู้เจียวก็แสดงออกชัดเจนเช่นกันว่าให้นางพูดต่อ
ไท่จื่อเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากเจ้าไม่อยากฟัง…”
กู้เจียวเอ่ยตอบ “อยากสิ เจ้าพูดอีกหน่อยสิ”
ให้กู้เฉิงเฟิงได้ฟังชัดๆ แม่นๆ อีกหน่อย
กู้เฉิงเฟิงที่อยู่บนหลังคากลอกตามองบน
ไท่จื่อเฟยเอ่ยต่อ กู้เจียวตอบสนองน้อยมาก หรือถ้าพูดให้จริงจังหน่อยก็คือการตอบสนองของนางแปลกพิกลนัก
“น้ำเสียงของเจ้าไม่ถูกนะ เจ้าพูดอีกทีซิ โศกเศร้าอีกหน่อย ข้าจะฟังเสียงเศร้าโศกของเจ้า”
“ประโยคเมื่อครู่เป็นน้ำเสียงเบิกบานใจ เจ้าพูดใหม่อีกที”
ไท่จื่อเฟย…เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ กันนะ
ไท่จื่อเฟยเป็นคนฉลาดมาก แต่ต่อให้ฉลาดกว่านี้ก็มีขอบเขตความคิดของตัวเอง พอเกินขอบเขตนี้ไป จิตใต้สำนึกก็จะเมินเฉยไปโดยปริยายหรือไม่ก็ยอมรับความแปลกประหลาดที่ไม่อาจเข้าใจนี้ไว้ หรือแม้กระทั่งหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมาให้แทน
ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ามาหาเรื่องสนุกจากข้า หรือคิดจะถ่วงเวลาเพื่อทำสิ่งใดกันแน่ เจ้าคงไม่ได้คิดจะพบไท่จื่อหรอกกระมัง”
กู้เจียวปรบมือลุกขึ้นยืน “เอาละ เอาละ ในเมื่อเจ้าไม่วางใจเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวแล้วกัน”
อย่างไรเสียก็เรียนวิชาไท่จื่อเฟยไปพอสมควรแล้ว
กู้เฉิงเฟิงควรสำเร็จการศึกษาได้แล้ว