บทที่ 444 ปฐมาจารย์การเล่นแกล้งคน (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 444 ปฐมาจารย์การเล่นแกล้งคน (1)

หลังจากออกจากตำหนักบูรพา กู้เจียวก็ตรวจรับผลการเรียนของกู้เฉิงเฟิง

กู้เฉิงเฟิงต่อต้านอยู่ในใจ

กู้เจียวหยิบยาปลูกผมออกมาขวดหนึ่ง ค่อยๆ จัดการอย่างสบายๆ

เมื่อแน่ใจว่าอุปกรณ์ประกอบฉากตัวหลักอย่างกู้เฉิงเฟิงไม่มีปัญหา กู้เจียวก็เริ่มลงมือเตรียมล่อไท่จื่อให้ติดเบ็ด

อันดับแรก นางต้องเลือกช่วงที่ไท่จื่อเฟยอยู่ตัวคนเดียว จะให้ไท่จื่อเฟยมีหลักฐานว่าไม่อยู่ที่นี่ไม่ได้ จากนั้นจึงจะสามารถชี้นำไท่จื่อไป ‘จับชู้’ ได้อย่างราบรื่น

แล้วก็บังเอิญอีกเสียแล้ว ตกค่ำมาเซียวฮองเฮาก็ให้ไท่จื่อเฟยไปทานมื้อค่ำที่ตำหนักคุนหนิงพอดี หมู่นี้ตำหนักบูรพายุ่งมาก ฉินฉู่อวี้ถูกรับกลับไปเลี้ยงดูที่ตำหนักคุนหนิงอีกแล้ว

เมื่อทานข้าวเสร็จ ฉินฉู่อวี้จะไปหาเสี่ยวจิ้งคงที่ตำหนักเหรินโซ่ว เซียวฮองเฮาจึงให้ไท่จื่อเฟยไปเป็นเพื่อนฉินฉู่อวี้

ไท่จื่อเฟยไม่กล้าปฏิเสธ จึงไปด้วยกันกับฉินฉู่อวี้

เจ้าเด็กซนสองคนอยู่ด้วยกันมันช่างน่าปวดหัว ตั้งแต่ตำหนักเหรินโซ่วไปจนถึงสวนหลวง แล้วก็จากสวนหลวงไปจนถึงสระไท่เย่ ไท่จื่อเฟยรับคำสั่งมาให้ดูฉินฉู่อวี้ จึงต้องคอยตามไปด้วยตลอด

แต่นางไหนเลยจะตามเจ้าเด็กสองคนนี้ทัน เพียงไม่นานก็หายตัวไปแล้ว

ข้างกายไท่จื่อเฟยเหลือแค่ชุนอิ๋ง นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก

กู้เจียวเดินไปหาทันที “ช่วยหน่อยสิ ช่วยข้าถือไปตรงนั้นที”

ไท่จื่อเฟยขมวดคิ้ว “เจ้าอีกแล้วรึ เจ้าหลอนไปแล้วรึ”

กู้เจียวเลิกคิ้ว “จะช่วยหรือไม่ช่วย”

หากไท่จื่อเฟยเป็นฝ่ายถามกู้เจียว กู้เจียวไม่ช่วยแน่ๆ แต่ไท่จื่อเฟยแตกต่าง นางมียศถาบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่ง จึงต้องช่วยเหลือ

ไท่จื่อเฟยมองตะกร้าของกู้เจียว พลางเอ่ยกับชุนอิ๋ง “ช่วยหมอกู้ถือที”

“เพคะ!” ชุนอิ๋งรับตะกร้ามาอย่างไม่ยินยอม เดินไปทางศาลารับลมด้วยกันกับกู้เจียว

กู้เจียวเดินมาได้ครึ่งทางก็เอ่ยกับชุนอิ๋ง “เจ้าถือไปตำหนักเหรินโซ่วเลย ข้าต้องเด็ดผลไม้อีก”

ชุนอิ๋งสะอึก ไหนบอกว่าถือมาถึงแค่ศาลารับลมมิใช่รึ เหตุใดยามนี้กลับเปลี่ยนไปที่ตำหนักเหรินโซ่วแล้วเล่า

“ไท่จื่อเฟยของข้าอยู่ตรงนั้นคนเดียว ข้าเป็นห่วง”

“ข้าเรียกนางไปเด็ดผลไม้ด้วยกันก็ได้”

ก็เพราะเจ้าเรียกนี่แหละข้าจึงเป็นห่วง ชุนอิ๋งพึมพำขึ้นในใจ แต่สีหน้ากลับไม่กล้าชักสีหน้า

ที่นี่เป็นวังหลวง ฉินฉู่อวี้กับนางกำนัลก็อยู่ใกล้ๆ ชุนอิ๋งคิดว่ากู้เจียวคงไม่กล้าก่อเรื่อง จึงหิ้วตะกร้าเดินจากไป

กู้เจียวไม่ได้ไปเรียกไท่จื่อเฟยไปเด็ดผลไม้หรอก นางเบี่ยงฝีเท้าเดินไปทางห้องทรงอักษร

วันนี้ไท่จื่ออยู่ในห้องทรงอักษร ฉินกงกงเป็นคนให้ข่าวมา

เมื่อกู้เจียวมาถึงห้องทรงอักษร ไท่จื่อเพิ่งจะออกมาจากด้านใน ไท่จื่อมองนางอย่างประหลาดใจ “เหตุใดจึงเป็นเจ้าได้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

ห้องทรงอักษรอันโอ่อ่าเป็นที่ที่คนอย่างเจ้ามาได้รึ

ภาพจำของกู้เจียวสำหรับเซียวลิ่วหลังนั้น นางเป็นเพียงภรรยาไร้ความสามารถของเซียวลิ่วหลัง ใบหน้าอัปลักษณ์ เติบโตในชนบท เป็นหมอหญิงตัวเล็กๆ ที่ต่ำต้อย และไม่รู้ว่าโชคดีอะไรจึงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทและไทเฮาไม่น้อย

สรุปก็คือดูถูกกู้เจียวเป็นอย่างมาก

กู้เจียวไม่ใส่ใจกับท่าทีที่ไท่จื่อมีต่อตนสักนิด เขาออกมาแล้ว ตนจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างพาเขาออกมาให้เปลืองแรง

“ข้า…ผ่านทางมาน่ะ” กู้เจียวเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ไท่จื่อจะกลับตำหนักบูรพาหรือ เมื่อครู่นี้ข้าเจอไท่จื่อเฟยแถวๆ สระไท่เย่แหน่ะ”

ไท่จื่อกำลังจะกลับตำหนักบูรพา ทว่าพอได้ยินว่าไท่จื่อเฟยอยู่สระไท่เย่ เขาก็เปลี่ยนความคิด ตรงไปที่สระไท่เย่ทันที

กู้เจียวเดินไปทางเดียวกันกับเขา

ไท่จื่อขมวดคิ้ว ถามอย่างรำคาญเต็มที “เจ้าตามข้าทำไม”

กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ย “ข้าไม่ได้ตามฝ่าบาทเสียหน่อย ข้าก็จะไปสระไท่เย่เช่นกัน น้องชายข้าเล่นกันกับองค์ชายเจ็ดอยู่แถวๆ สระไท่เย่”

สหายใหม่ของฉินฉู่อวี้ เจ้าเด็กที่ชื่อจิ้งคงอะไรนั่น ไท่จื่อก็พอจะได้ยินผ่านหูมาบ้าง

ไท่จื่อขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยอะไร

ทั้งคู่เข้ามาในวังหลังด้วยกัน เมื่อผ่านภูเขาจำลองระหว่างที่ตำหนักคุนหนิงและตำหนักหย่งโซ่ว ฝีเท้ากู้เจียวพลันชะงัก

“ไท่จื่อเพคะ!” นางเอ่ยเรียกเสียงเบา

ไท่จื่อรำคาญเสียเต็มประดาแล้ว ถามนางอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มีอะไร”

“ชู่ว์” นิ้วดุจหยกของกู้เจียวแตะกลีบปาก ทำท่าส่งเสียงชู่ว์ “หลังภูเขาจำลองมีความเคลื่อนไหว ฟังสิเพคะ!”

ไท่จื่อโดยรวมแล้วไม่ใช่คนเย็นชา ไม่มีทางเมินเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัว ได้ยินกู้เจียวบอกเขาก็ขมวดคิ้ว ชะงักฝีเท้าลง

จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวลอยมาจากหลังภูเขาจำลองที่อยู่ไม่ไกลจริงๆ

ภูเขาจำลองลูกนั้นคือลูกเดียวกันกับ ‘สถานที่เกิดเหตุ’ ที่ต่างออกไปก็คือตำแหน่งที่กู้เจียวเลือกแอบฟังมุมกำแพงต่างไปจากตอนนั้น

ตอนนั้นนางกับรุ่ยอ๋องเฟยยืนอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นซึ่งห่างจากภูเขาจำลองออกไปไกล ฟังไม่ค่อยครบถ้วน ยามนี้นางกับไท่จื่อยืนอยู่บนถนนสายเล็กซึ่งห่างจากภูเขาจำลองใกล้กว่าครึ่ง

ขอแค่ไท่จื่อไม่ได้หูหนวกก็น่าจะได้ยินทุกอย่างหลังภูเขาจำลองจนหมด

“เป็นเจ้า จะ…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

นี่เป็นเสียงของไท่จื่อเฟย

“ข้าก็ไม่ได้อยากมาหรอก แต่ช่วยไม่ได้”

นี่เป็นเสียงของหนิงอ๋อง

หนิงอ๋องบาดเจ็บสาหัสติดเตียง ยามนี้กำลังนอนรักษาตัวอยู่ในจวนหนิงอ๋อง เขามาที่นี่คงเป็นผีแล้ว

“ข้าว่าเจ้าบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่นี่มันวังหลวง มาหาข้ากลางวันแสกๆ ไม่กลัวใครมาเห็นเข้าบ้างรึ!”

“เจ้าวางใจเถอะ วรยุทธ์ข้าแก่กล้า ไม่มีใครเห็นได้หรอก”

“ไปเสียเถิด”

“ข้านำความจากนายท่านมาบอกเสร็จแล้วจะไป นายท่านให้เจ้าจำไว้ว่าเจ้าเป็นสตรีของเขา จำสถานะของตัวเองไว้ให้ดี! อย่าเอาแต่หลบเลี่ยงเขา หากมีคราต่อไป เขาไม่รับประกันว่าจะปกปิดความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจนถึงที่สุด”

“เจ้าขู่ข้ารึ”

“ข้าพูดจบแล้ว ข้าขอตัว”

“ช้าก่อน! ขะ…เขาอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

น้ำเสียงทั้งห่วงใยทั้งใส่ใจ

“หากเป็นห่วงนายท่านจริง สู้ไปเยี่ยมเขาเองจะดีกว่า ไม่ได้พบนายท่านมานานแล้ว เจ้าไม่อยากไปรึ”

นางถอนใจขื่นขม “อยากแล้วอย่างไร วังชั้นในแห่งนี้เป็นที่ที่ข้าคิดจะออกไปก็ออกไปได้รึ ถูกคนสงสัยเข้าจะทำอย่างไร”

“เจ้าวางใจได้ ขอแค่เจ้าอยากไป นายท่านย่อมจัดการให้เจ้าเรียบร้อยอยู่แล้ว”

อันที่จริงถึงตรงถามไถ่อาการบาดเจ็บก็จบแล้ว ประโยคหลังจากนั้นกู้เฉิงเฟิงเป็นคนด้นสดขึ้นเอง เขาซี้ซั้วเพิ่มบทเข้ามา

กู้เจียวไม่ได้สังเกตสีหน้าไท่จื่อเลยตั้งแต่ต้น ตอนที่ไท่จื่อกำลังฟังสองประโยคแรกนั้นไร้ปฏิกิริยา พอมาถึงประโยคที่สามจึงค่อยๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทว่าเมื่อฟังถึงประโยคที่ว่า ‘นำความจากนายมาบอกเสร็จแล้วจะไป’ หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นกว่าเดิมด้วยความโกรธเกรี้ยว

ไม่สิ ถูกคนอื่นสวมเขาให้ มีปฏิกิริยาแค่นี้เนี่ยนะ

มันก็แปลกอยู่นา

จากความรู้สึกที่ไท่จื่อมีต่อเวินหลินหลัง น่าจะชักดาบพุ่งไปหา ไม่ฟันเวินหลินหลังก็ฟันชู้รักคนนั้น หรือไม่ก็ฟาดฟันทั้งคู่ให้ตายไปแล้วสิถึงจะถูก

แต่นี่กลับไม่

กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ “ไท่จื่อ เสียงของคนผู้นั้นท่านฟังออกหรือไม่”

ไท่จื่อแค่นเสียงเฮอะเอ่ย “ข้าจะไปฟังออกได้อย่างไร ข้าไม่รู้จักเสียหน่อย!”

กู้เจียวอ้าปากพะงาบๆ “ท่าน…ไม่รู้จักหรือ ท่านไม่รู้สึกว่าเสียงเมื่อครู่คุ้นหูบ้างหรือ”

อย่างไท่จื่อเฟยน่ะ มีหรือไม่

“คุ้นหูรึ” ไท่จื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด ส่งเสียงอ๋อแล้วเอ่ย “เหมือนจะใช่ เสียงค่อนข้างคล้ายหลินหลังอยู่บ้าง แต่ต่างกันเป็นโยชน์เลย”

กู้เจียว ‘…ฟังออกได้อย่างไรกัน’

หรือว่าบุรุษผู้นี้จะเชื่อใจไท่จื่อเฟยถึงขั้นตาบอดจนไม่มีอะไรสั่นคลอนได้แล้ว