บทที่ 560 แดนลับหวนกำเนิด ฉีเทียนต้าเซิ่ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 560 แดนลับหวนกำเนิด ฉีเทียนต้าเซิ่ง

เหตุใดจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการถึงทำร้ายหานทั่ว

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนายดู ทว่าไม่อาจทำนายได้ เป็นไปได้ว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจะไม่ได้เข้าสู่มรรคาสวรรค์

เขาจำเป็นต้องใช้ระบบวิวัฒนาการ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หานเจวี๋ยมองเห็นหานทั่ว

ที่นี่คือโลกมืดมิดแห่งหนึ่ง ในอากาศมีสายฟ้าประหลาดแลบแปลบปลาบ แผ่นดินรกร้าง มีหนองน้ำน้อยใหญ่มากมายส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา เมื่อกวาดสายตามองออกไป ก็พบซากกระดูกกองอยู่ทั่วทุกแห่งหน

หานทั่วเดินอย่างระมัดระวังยิ่ง สังเกตรอบด้านด้วยความตื่นตัว

ทันใดนั้นไอดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า จากนั้นก็ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ปั่นป่วนรุนแรง ดวงตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางไอดำ

ดวงตาคู่นี้ชั่วร้ายเยียบเย็น หลุบมองหานทั่ว

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ!

“มดปลวกเผ่ามนุษย์ เจ้ากล้ามาถึงที่นี่เชียวหรือ”

หานทั่วรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่มิได้ตระหนกเสียขวัญ เพียงได้ยินเขาเอ่ยว่า “ได้ยินว่าแดนลับหวนกำเนิดชุบชีวิตคนตายได้ เพียงแต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง”

หานเจวี๋ยแปลกใจ

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการมีฐานที่มั่นในแดนเซียนด้วยหรือ

เขาเฝ้าสังเกตการณ์หานทั่วอยู่ตลอด เด็กคนนี้ไม่ได้ออกจากแดนเซียนเลย

แดนลับหวนกำเนิด…

ช่างมีลูกเล่นโดยแท้!

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเอ่ยว่า “ราคาในการชุบชีวิตนั้นมากมายนัก ยิ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดเท่าไร ราคาก็ยิ่งสูงเท่านั้น ไม่อาจย้อนผลกรรมได้”

หานทั่วสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าอยากคืนชีพให้ภรรยาข้า!”

หานเจวี๋ยสบถในใจ

ไอ้เด็กเหลือขอ!

เหตุใดถึงไม่คืนชีพให้พ่อแม่เจ้า

ใช่สินะ พอเติบโตก็ถูกสตรีฉกชิงไปเสียแล้ว

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “หากคืนชีพให้ภรรยาเจ้า ต้องสังเวยด้วยอายุขัยครึ่งหนึ่งของเจ้า ยินยอมหรือไม่”

หานทั่วถามอีก “เช่นนั้นหากอยากคืนชีพให้บิดามารดาของข้าเล่า”

“ต้องแลกด้วยอายุขัยครึ่งหนึ่งของเจ้าเช่นกัน”

“กล่าวก็คือ ข้าเลือกได้เพียงอย่างเดียว เลือกทั้งคู่ไม่ได้สินะ”

“การชุบชีวิตเดิมทีก็เป็นเรื่องฝืนธรรมชาติอยู่แล้ว ไหนเลยจะราบรื่นสมดั่งใจได้”

หานทั่วตกอยู่ในภวังค์ความคิด

เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แล้วไปเถิด ไม่ว่าจะเลือกผู้ใด หัวใจข้าล้วนต้องแบกรับความรู้สึกผิด รอจนข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง ต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าได้ราบรื่นสมดั่งใจ!”

หานทั่วโค้งคำนับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ จากนั้นก็หมุนตัวก้าวจากไป

“แดนลับหวนกำเนิดใช่สถานที่ที่เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปอย่างนั้นหรือ”

“ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็ทิ้งดวงชะตาของเจ้าไว้เสีย!”

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการกลายเป็นหมอกดำมากล้นมหาศาล เข้าท่วมทับหานทั่วโดยตรง รวดเร็วจนหานทั่วตั้งตัวไม่ทัน

จากนั้น ด้านข้างหมอกดำพลันปรากฏรอยแยกมิติสายหนึ่งขึ้น หานทั่วร่างโชกเลือดถูกพ่นออกมา โยนเข้าไปในรอยแยกมิติ

ภาพลวงตาวิวัฒนาการสิ้นสุดลงเท่านี้

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น จมอยู่ในห้วงความคิด

เขาสอดส่องแดนเซียน หาพิกัดของแดนลับหวนกำเนิดจนพบ พบว่าอยู่ในเขตพรมแดนของแดนเซียน ซ่อนเร้นอยู่ในมิติเล็กๆ ที่แยกตัวเป็นเอกเทศ ทางเข้าอยู่ในละแวกแนวเขารกร้างที่ทอดตัวยาว ลับตาผู้คน

หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย สำแดงความฝันอันธการ เข้าฝันฉิวซีไหล

ในความฝัน ฉิวซีไหลตระหนกอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถูกเข้าฝันอย่างกะทันหัน

หานเจวี๋ยเล่าถึงต้นตอที่มาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการรอบหนึ่ง จากนั้นจึงเล่าถึงแดนลับหวนกำเนิด

ฉิวซีไหลแสดงสีหน้าตะลึง ตัวตนน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้หลี่มู่อีเสียท่าได้มิใช่สิ่งที่อริยะมรรคาสวรรค์อย่างพวกเขาจะต่อกรได้

“แดนลับหวนกำเนิด แดนลับนี้ปรากฏขึ้นมาสามยุคมหาเคราะห์แล้ว จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจับตามองมรรคาสวรรค์มานานแล้ว” ฉิวซีไหลขมวดคิ้วแน่น พึมพำกับตัวเอง

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เรื่องนี้ขอมอบให้พวกเจ้า ข้าต้องฝึกบำเพ็ญต่อ เตรียมป้องกันการโจมตีจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ”

ฉิวซีไหลพยักหน้ารับ ไม่ได้เอ่ยโต้แย้ง

ประโยชน์สูงสุดที่หานเจวี๋ยมีต่อเหล่าอริยะก็คือพลังของเขา

ถ้าหานเจวี๋ยยอมปิดด่านเก็บตัวไปตลอดก็เป็นเรื่องดีสำหรับอริยะรายอื่นๆ พวกเขาไม่ต้องการบำเพ็ญ เพราะตบะยากจะก้าวหน้าได้ หากอยากแข็งแกร่งขึ้น ก็ต้องพึ่งดวงชะตามรรคาสวรรค์

ยิ่งมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเท่าไร อริยะมรรคาสวรรค์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!

หลังจากเข้าฝันเสร็จ หานเจวี๋ยสังเกตการณ์หานทั่วต่อ

หานทั่วอยู่กับอี๋เทียนบุตรแห่งมรรคาสวรรค์ ความสัมพันธ์ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสองประลองแลกเปลี่ยนทักษะกันอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง พูดคุยยิ้มหัว

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วนิดๆ

กลิ่นอายของหานทั่วคลายคลึงกับอี๋เทียนอยู่บ้าง ประกอบกับสถานะของอี๋เทียน คาดว่าเหล่าอริยะต้องสังเกตเห็นหานทั่วด้วยแน่นอน

ก็แล้วไปเถอะ

ปิดไม่อยู่เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรหานทั่วก็กำลังแข็งแกร่งขึ้น

ถึงแม้หานทั่วจะยังไม่กลายเป็นเทพมารอนธการอย่างสมบูรณ์ แต่เขาแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป ครั้งแรกยามที่หานเจวี๋ยเปลี่ยนผ่านกลายเป็นเทพมารอนธการก็ยังคงเข้าสู่อาณาเขตฟ้าบุพกาลได้ บางทีฟ้าบุพกาลและอนธการ เดิมทีอาจมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดบางอย่าง

“จิ๊ๆ บุตรแห่งมรรคาสวรรค์ช่างได้ทุกอย่างดั่งใจนึกโดยแท้ เพิ่งถือกำเนิดได้เท่าไรกัน ใกล้จะบรรลุระดับเทพแล้ว!”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง เขาพบว่าร่างกายของอี๋เทียนคือยอดสมบัติ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่ได้กราบอาจารย์ ทว่ากลับครอบครองพลังวิเศษอันแข็งแกร่งประการหนึ่งไว้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นพลังวิเศษระดับอริยะ

เจ้ายอดเยี่ยมนักมรรคาสวรรค์!

มองข้ามกฎเกณฑ์มรรคาสวรรค์ ใช้สูตรโกงกับลูกเจ้าสินะ!

หานเจวี๋ยยกมือขวาขึ้นมา สำแดงเวทอีกครั้ง

เขากำลังจะคลายผนึกสายเลือดให้หานทั่วอีกครั้ง ครั้งนี้ปลดออกทีเดียวครึ่งหนึ่งเลย ไม่ทราบเช่นกันว่าพอจะทัดเทียมกับบุตรแห่งมรรคาสวรรค์หรือไม่

อีกด้านหนึ่ง

บนเกาะกลางทะเลอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง หานทั่วกำลังต่อสู้กับอี๋เทียน

ทั้งสองไม่ได้สำแดงพลังวิเศษวิชาเวท ประลองกันด้วยความสามารถทางกายภาพ หมัดกระทบเนื้อ

แต่ก่อนหานทั่วพึ่งพาพลังทางกายภาพผงาดขึ้นมา อี๋เทียนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล คุณสมบัติร่างกายแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าจอมเวทในอดีตกาลเสียอีก

ตูม!

หานทั่วถูกอี๋เทียนซัดคว่ำในหมัดเดียว ล้มลงลงบนเนินเขา ฝุ่นธุลีปลิวฟุ้ง

อี๋เทียนลอยอยู่กลางอากาศ สองมือเท้าเอว หัวเราะดังลั่นด้วยความภูมิใจ “หานทั่ว เจ้าไม่ได้เรื่องเลย ข้ายังไม่ทันได้เอาจริง เจ้าก็ร่วงเสียแล้ว! ยังคิดจะมาเป็นพี่ใหญ่ข้าอีก เจ้ามาเป็นน้องชายข้าน่าจะเหมาะกว่านะ!”

หานทั่วตะกายลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

เวลานี้เอง เขาพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างแทรกซึมเข้าสู่ร่างจากนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว ราวกับปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งออก

ความรู้สึกนี้…

หานทั่วตื่นเต้นขึ้นมา เขารู้จักความรู้สึกนี้ดี!

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเคยเผชิญอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่รู้สึกเช่นนี้ ตบะเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

เขาคิดว่านี่คือการทะลวงขีดจำกัดทางสายเลือดของเขา!

มนุษย์ รวมถึงวิญญาณของสรรพสิ่งต่างๆ ทุกผู้ทุกคนล้วนมีความสามารถอันไร้ขีดจำกัด เพียงแต่เสาะหาวิธีทะลวงโซ่ตรวนขีดจำกัดไม่พบเท่านั้น!

หานทั่วคิดเช่นนี้ ที่เขาสามารถทะลวงโซ่ตรวนอย่างต่อเนื่องได้ ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับความอุตสาหะไม่ย่อท้อของเขาแน่

หานทั่วนั่งสมาธิบนพื้น

อี๋เทียนมองเขาด้วยความฉงน

‘ดูเหมือนเขากำลังจะแข็งแกร่งขึ้น…ใช่จริงๆ เขาเป็นพวกเดียวกับข้า…’

แววตาอี๋เทียนวูบไหว ในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ก่อนได้พบหานทั่ว เขาโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีบริวารนับไม่ถ้วน แต่ในใจเขาว้าเหว่ มีความรู้สึกอ้างว้างเดียวดายไร้ถิ่นฐานให้หวนคืน

….

วันเวลายืดยาวไป

ผ่านไปอีกห้าร้อยปี

ภายในระยะเวลาห้าร้อยปี แดนเซียนเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เผ่าสวรรค์ได้รับการสนับสนุนจากสำนักซ่อนเร้นเริ่มกรีฑาทัพไปทั่ว นอกจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในแดนเซียนแล้ว พวกเขายังต้องการปกครองโลกมนุษย์ด้วย เช่นเดียวกับวังสวรรค์เมื่อครั้งอดีต ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนทางวังสวรรค์ ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว ผู้ที่ไม่ทราบความก็คิดว่าวังสวรรค์ล่มสลายไปแล้ว

แดนเซียนปรากฏผู้แข็งแกร่งขึ้นมากมาย ชื่อเสียงก้องสะท้านไปทั่วหล้า อี๋เทียนเองก็เป็นหนึ่งในบรรดานั้น เขาเรียกขานตนว่าฉีเทียนต้าเซิ่ง

นามนี้มาจากนิทานที่หานทั่วเคยเล่าให้เขาฟัง นิทานเรื่องนี้หานทั่วก็ฟังมาจากท่านพ่อในสมัยที่เขายังเป็นเด็กอีกที

เขตเซียนร้อยคีรี

หานเจวี๋ยเพิ่งแสดงธรรมเสร็จสิ้น เขามองไปที่เผ่าเอกา

หานโยวพาชาวเลิศเอกาหนึ่งพันคนกลับมานานแล้ว กลับเป็นหลี่เต้าคงที่ยังตามพัวพันบรรพจารย์ซานชิงอยู่ด้านนอก เหมือนแมลงวันไม่มีผิด

เวลานี้ตบะของเผ่าเอกาหนึ่งหมื่นคนส่วนใหญ่อยู่ในระดับปฐมเทพขั้นสาม หากต้องการให้ทั้งหมดบรรลุถึงระดับต้าหลัว คาดว่ายังต้องใช้อีกหลายหมื่นปี หรืออาจจะนานกว่านั้น

………………………………………………………………