ในขณะเดียวกันกองกำลังของสำนักอเวจีที่ประตูทางด้านใต้ เหนือ และตะวันตกต่างก็เริ่มการโจมตีเช่นกัน
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ณ ท้องฟ้าเหนือประตูทางตะวันออก
ฮั๊วจงหยางกำลังลอยอยู่ในอากาศ ในตอนนี้ตัวเขากำลังศึกษากำแพงเมือง ทันใดนั้นเองฮั๊วจงหยางก็มองเห็นกระสุนขนาดใหญ่หลายร้อยลูกพุ่งตรงมา
“หยุดซะ!” ฮั๊วจงหยางได้ใช้พลังอว9ารของตัวเองก่อนจะปล่อยคลื่นพลังงานอันมหาศาลออกมา พลังงานที่หลั่งไหลได้ขับไล่กระสุนหน้าไม้ทั้งหมดทิ้งไป
กระสุนหน้าไม้ทั้งหมดถูกทำลายในทันที เศษกระสุนที่ถูกทำลายตกลงสู่พื้น
เหล่าสาวกจากสำนักอเวจียังคงโจมตีอยู่บนภาคพื้นดินอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเองก็มีผู้ฝึกยุทธผู้ใช้ธนู 5 คนบินขึ้นมาจากกำแพงเมืองทางทิศตะวันออก เหล่ามือธนูล้วนง้างสายธนูก่อนจะจู่โจมเหล่าสาวกจากสำนักอเวจีบนพื้น
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
ลูกศรที่ถูกยิงแต่ละลูกได้จัดการสาวกไปทีละคน
ยอดมือธนูยังคงจู่โจมต่อไปอย่างไม่หยุดพัก ไม่นานนักพวกเขาก็ได้คร่าชีวิตของเหล่าสาวกสำนักอเวจีไปกว่าหลายสิบคน
…
บนรถม้าลอยฟ้า ยู่เฉิงไห่ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดขมวดคิ้ว
“นี่มันฝีมือของยอดมือธนูอย่างงั้นเหรอ?”
สำหรับยอดมือธนูแล้ว การต่อสู้ที่เป็นฝ่ายตั้งป้องกันจะทำให้เหล่ามือธนูได้เปรียบมากยิ่งขึ้น
สีวู่หยายิ้มก่อนที่จะตอบกลับ “ถ้าหากยอดมือธนูถูกปล่อยตัวออกมาเร็วแบบนี้ แสดงว่าการป้องกันที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีคงจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรแน่”
“เจ้าพูดมีเหตุผลศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า”
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาเริ่มเห็นพี่น้องร่วมสำนักล้มลงบนพื้นมากยิ่งขึ้น แต่ยังไงซะนี่ก็คือสงคราม ไม่มีทางเลยที่สงครามจะไม่ก่อให้เกิดผู้บาดเจ็บล้มตาย นี่คือสิ่งที่ยู่เฉิงไห่จะต้องจ่าย ถ้าหากหยุดการต่อสู้เพื่อไว้อาลัยให้กับผู้จากไปในตอนนี้ การทำแบบนั้นก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการดูถูกพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์…สานต่อเป้าหมายของทุกๆ คน
“ข้าจะจัดการพวกเขาเอง” สีวู่หยากระโดดขึ้น พัดขนนกยูงได้ลอยออกจากมือก่อนที่จะเปล่งแสงระยิบระยับ
“ขนนกยูงรำพัน!” พัดขนนกยูงสลายหายไปกลายเป็นปีกที่อยู่ด้านหลังของสีวู่หยาแทน ปีกคู่สีทองอันสง่างามค่อยๆ คลี่ออกมาจากทางด้านหลังอย่างพร้อมเพรียงกัน สีวู่หยาได้ลอยผ่านกำแพงเมืองไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องไปกลัว!”
ยอดมือธนูทั้งห้ามองเห็นสีวู่หยาดี ดวงตาของทุกคนเบิกกว้าง ในตอนนี้เป้าหมายของทุกคนก็คือสีวู่หยา
“ถอยเร็ว!”
ทหารรักษาการณ์กว่าหลายสิบคนที่คอยปกป้องยอดมือธนูทั้งหมดรีบเดินหน้ามา
สีวู่หยายิ้มออกมาอย่างเย็นชา ”อวตาร!” พลังอวตารดอกบัวหกกลีบของสีวู่หยาขยายตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่ปีกคู่ของสีวู่หยาได้ปลดปล่อยเข็มพลังงานจำนวนมากใส่คู่ต่อสู้ทั้งห้าอย่างไม่หยุดพัก
“ป้องกันมันซะ!”
เข็มพลังงานทุกเล่มแหลมคมมาก
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
เข็มพลังงานสีทองทุกเล่มไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากหยาดน้ำแข็งอันแหลมคมในฤดูหนาว เข็มพลังงานได้เจาะทะลุร่างกายของทหารรักษาการณ์ผู้โชคร้ายกว่าหลายคน
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น!
เข็มพลังงานได้ปะทะเข้ากับยอดมือธนู..
ยอดมือธนูทั้งหมดจ้องไปที่หน้าอกของตัวเอง หน้าอกของพวกเขาเปื้อนของเหลวสีแดง ทุกคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น ไม่นานนักยอดมือธนูทั้งหลายก็เริ่มล้มลง ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความตกใจ เข็มพลังงานจำนวนมากได้พุ่งทะลุหน้าอกอย่างหมดจด เข็มพลังงานที่พุ่งทะลุผ่านไปค่อยๆ จางหายไปในอากาศ
ตุ๊บ!
ยอดมือธนูคนแล้วคนเล่าเริ่มล้มลง ไม่มีใครเลยที่สามารถหนีรอดจากการโจมตีได้
…
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ: 100 แต้มบุญ”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ: 100 แต้มบุญ”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ: 100 แต้มบุญ”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ: 100 แต้มบุญ”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ: 100 แต้มบุญ”
“…”
ลู่โจวลืมตาตื่นขึ้นมา ตัวเขาหยุดทำสมาธิก่อนที่จะเดินออกจากศาลาตะวันออกอย่างช้าๆ
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็เอ่ยปากขึ้นมา “ฮั๊วยู่จิง”
ฮั๊วยู่จิงกำลังฝึกฝนตัวเองอยู่ในศาลาตะวันตก เมื่อนางได้ยินเสียงเรียกของลู่โจวฮั๊วยู่จิงก็เลิกฝึกฝนตัวเองก่อนที่จะเดินทางมายังศาลาตะวันออกอย่างรวดเร็ว
“ท่านปรมาจารย์เรียกหาข้ามีอะไรให้รับใช้?” ฮั๊วยู่จิงที่กล่าวทักทายโค้งคำนับให้อย่างนอบน้อม
“ตอนนี้เจ้ามีพลังวรยุทธถึงขั้นไหนแล้ว?”
สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิดได้เข้าปกคลุมใบหน้าของฮั๊วยู่จิง “ข้าได้ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบแล้ว”
ลู่โจวพลิกฝ่ามือของตัวเอง ในตอนนั้นกระจกทองคำไท่ชูก็ปรากฏขึ้น เมื่อกระจกทองคำดูดซับพลังลมปราณของลู่โจวไป ไม่นานนักมันก็เรืองแสงออกมา แสงที่ว่าได้ส่องไปยังฮั๊วยู่จิง ไม่นานนักภาพพลังอวตารของนางก็ปรากฏขึ้น เป็นอย่างที่ฮั๊วยู่จิงพูดเอาไว้ ภาพที่ลู่โจวได้เห็นคือพลังอวตารดอกบัวสองกลีบ
“ไม่เลว” ลู่โจวพยักหน้าด้วยความยินดี
“ท่านปรมาจารย์หมายความว่ายังไงกัน?”
“มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ซะ จำเอาไว้ว่าให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองก่อน” ลู่โจวพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“ค่ะ ท่านปรมาจารย์!” ฮั๊วยู่จิงขานรับอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ฮั๊วยู่จิงจะจากไป ในตอนนั้นเองฮั๊ววู่เด๋าก็ได้เข้ามาซะก่อน “ท่านปรมาจารย์ ข้ายินดีที่จะไปเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์กับยู่จิง”
ลู่โจวไม่เห็นด้วยกับคำขอของฮั๊ววู่เด๋า ตัวเขาได้ยกกระจกขึ้นก่อนที่จะส่องมันไปยังฮั๊ววู่เด๋าแทน ไม่นานนักพลังอวตารของฮั๊ววู่เด๋าก็ถูกเผยให้เห็น มันเป็นพลังอวตารดอกบัวสี่กลีบ หลังจากที่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งลู่โจวก็พูดขึ้น “ฮั๊ววู่เด๋า”
“ท่านปรมาจารย์โปรดสั่งการด้วย”
“เจ้าจงไปปกป้องฮั๊วยู่จิง จำเอาไว้ล่ะว่าความปลอดภัยสำคัญที่สุด อย่าให้การต่อสู้ที่นั่นทำให้พวกเจ้าเป็นอันตรายได้”
“ครับ ท่านปรมาจารย์!” ฮั๊ววู่เด๋าและฮั๊วยู่จิงโค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งสองคนได้หันหน้าก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจ “เจ้าพวกศิษย์ไม่รักดี”
ไม่นานนักผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
ลู่โจวหันไปมองผู้อาวุโสทั้งสามก่อนที่จะถามออกมา “พวกเจ้าเองก็คงจะอยากไปสินะ?”
ซูยู่ชูโค้งคำนับก่อนจะตอบกลับ “ถ้าหากท่านต้องการ ข้าก็จะไป”
ลู่โจวส่ายหัว “เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีเขตแดนพลังทั้งสิบ แม้ว่าจะเป็นตัวข้า ข้าก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำลายเขตแดนพลังได้ ถ้าหากพวกเจ้าไปที่นั่น ก็คงไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกเจ้าไปเผชิญหน้ากับความตาย ฮั๊วยู่จิงน่ะเป็นยอดมือธนู นอกเหนือจากนั้นนางยังมีธนูจันทรา ถ้าหากต่อสู้อยู่ที่ด้านนอกเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์โดยที่มีฮั๊ววู่เด๋าคอยป้องกัน ทั้งสองคนจะต้องปลอดภัยแน่ อย่างน้อยๆ พวกเขาก็คงจะจัดการกับศัตรูได้ราวๆ พันคน”
ผู้อาวุโสทั้งสามที่ได้ฟังเหตุผลต่างพยักหน้าเห็นด้วย ยังไงซะทุกคนก็แก่กันหมดแล้ว เมื่อคนชราอย่างทั้งสามต้องต่อสู้กับคนหนุ่มสามภายใต้เขตแดนพลังทั้งสิบคงจะไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากนี้เพราะตัวตนทำให้ทั้งสามคนไม่สามารถต่อสู้อยู่ที่ด้านนอกเมืองได้ ดังนั้นการที่ทั้งสามคนจะไปที่นั่นจึงไม่มีประโยชน์อะไร
ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสำนักอเวจี ในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม
ในตอนนั้นเองหอยสังข์และหยวนเอ๋อก็ได้เดินเข้ามา “ท่านอาจารย์”
ลู่โจวเหลือบไปมองสาวน้อยทั้งสอง “มีเรื่องอะไรกัน?”
หยวนเอ๋อพึมพำออกมา “ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินเรื่องของศิษย์พี่ใหญ่จากศิษย์พี่สี่แล้ว ข้ารู้สึกสงสารศิษย์พี่ใหญ่ ข้าควรจะไปช่วยเขาไหม?”
“พวกเจ้าฝึกฝนต่อไปจะดีกว่า”
“ข้ารู้ดีว่าท่านอาจารย์หมายถึงอะไร ถึงแม้ว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีเขตแดนพลังทั้งสิบปกป้องเอาไว้…แต่หอยสังข์สามารถทำอะไรกับมันได้!” หยวนเอ๋อที่พูดจบได้หันไปมองหอยสังข์ “ใช่ไหมล่ะหอยสังข์?”
หอยสังข์พยักหน้าตอบรับ “อืม…ท่านอาจารย์ ข้าสามารถขอให้พวกสัตว์ร้ายช่วยได้!”
ผู้อาวุโสทั้งสามรู้สึกมีความหวังมากยิ่งขึ้น อันที่จริงแล้วเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายถือเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม
ลู่โจวยกมือขึ้นมาก่อนที่จะใช้กระจกทองคำส่องไปทางหอยสังข์ ไม่นานนักพลังอวตารก็ได้ปรากฏขึ้น
“พลังอวตารฉะกาสามสาย!”
เมื่อได้เห็นพลังอวตารของหอยสังข์ ผู้อาวุโสทั้งสามก็ได้แต่ตกใจ
“สาวน้อยคนนี้มีพรสวรรค์ที่หายากจริงๆ !”
“ถ้าหากสาวน้อยมีพลังอวตารฉะกาสามสายแล้ว…แสดงว่าสาวน้อยคนนี้จะต้องมีพลังวรยุทธอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้วแน่”
“สาวน้อยสามารถขึ้นสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้โดยตรงก่อนที่จะใช้เวลาห้าเดือนฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาราชครูได้ และในที่สุดนางก็ฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ภายในเวลาหนึ่งเดือน! ข้าเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่านางจะเป็นมนุษย์” ซูยู่ชูแสดงความเห็น
เมื่อได้ยินแบบนั้นหอยสังข์ก็เดินถอยหลัง นางกลัวการจ้องมองของซูยู่ชู
ลู่โจวยังคงจำพลังอวตารดอกบัวสีแดงได้ดี ยังมีความลับมากมายเกี่ยวกับตัวตนที่หอยสังข์มี “พอได้แล้วล่ะ”
ทุกคนต่างก็โค้งคำนับให้
“หอยสังข์เป็นลูกศิษย์ข้า เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องปกป้องนาง นับตั้งแต่วันนี้ไปไม่ให้ใครเผยแพร่เรื่องของนางออกจากภูเขา ข้าจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” น้ำเสียงของลู่โจวแข็งกระด้างกว่าครั้งไหนๆ
ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็โค้งคำนับให้อย่างเชื่อฟัง “ครับ/ค่ะ ท่านปรมาจารย์!”
แม้จะโค้งคำนับอย่างเชื่อฟัง แต่ถึงแบบนั้นฝานลี่เทียนก็อดใช้ความคิดไม่ได้ ‘เป็นไปได้ไหม…สาวน้อยคนนี้เป็นลูกสาวลับๆ ของท่านปรมาจารย์จริงๆ?’
“ผู้อาวุโสฝาน เจ้ามีอะไรจะถามอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวมองออกว่าฝานลี่เทียนกำลังคิดสงสัย