ฝานลี่เทียนที่ได้ฟังคำถามเช่นนั้นตกตะลึงเล็กน้อย “ข้าไม่ได้สงสัยอะไร! ข้าก็แค่ตกใจกับความสามารถของสาวน้อยก็เท่านั้น ถ้าหากฝานซงมีความสามารถมากกว่านี้ ข้าก็คงจะตายตาหลับแล้ว”
“ผู้อาวุโสฝาน เจ้าน่ะโลภมากเกินไปแล้ว ลำพังฝานซงในตอนนี้ก็มีความสามารถพอแล้ว เขาฝึกฝนตัวเองจนสำเร็จวิชาหยินทั้งสามและหยางทั้งหกได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังฝึกฝนจนมีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบโดยใช้เวลาเพียงแค่หกเดือน ข้าแน่ใจว่าฝานซงจะต้องสืบทอดมรดกที่เจ้ามีในไม่ช้าได้แน่” เล้งลั่วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ฝานลี่เทียนกระแอมก่อนที่จะหันกลับไปหาเล้งลั่ว “เจ้าอิจฉาอย่างงั้นสินะ?”
“ข้าน่ะเหรออิจฉา?” เล้งลั่วหันกลับมาพูดอย่างเย็นชา
ซูยู่ชูมองไปที่ฝานลี่เทียนก่อนจะพูดขึ้น “เจ้ากำลังเปรียบเทียบความสามารถของฝานซงกับหอยสังข์อย่างงั้นเหรอ? เจ้าจะไปเปรียบเทียบแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อความสามารถที่หอยสังข์มีมากกว่าข้าซะด้วยซ้ำ?”
ฝานลี่เทียนส่ายหัว “ข้าพูดผิดไปแล้ว ทุกคนได้โปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่ทันคิดก่อนพูดด้วย” ฝานลี่เทียนไม่อยากจะโต้เถียงกับผู้อาวุโสทั้งสองอีกต่อไป
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งก็ได้เข็นรถเข็นไม้ที่มียี่เทียนซินนั่งอยู่มา ไม่นานนักยี่เทียนซิน หญิงสาวผู้มีผมสีขาวบริสุทธิ์ก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
“ศิษย์พี่หก!”
นอกจากสีหน้าและแววตาที่ดูอ่อนแรง การหายใจและอาการบาดเจ็บโดยรวมของยี่เทียนซินคงที่แล้ว เมื่อได้เห็นลู่โจวอยู่ที่ศาลาตะวันออก นางก็ลุกขึ้นก่อนที่จะโค้งคำนับให้ “ท่านอาจารย์”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ ตัวเขาจ้องมองยี่เทียนซินอยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนว่าออร่าพลังชีวิตที่นางมีจะดูอ่อนแอ แต่ถึงแบบนั้นพลังที่นางมีก็ยังไหลเวียนเป็นปกติได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ลู่โจวสังเกตเห็นในทุกๆ วัน “มีเรื่องอะไรกัน?”
“ข้ายินดีที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยศิษย์พี่ใหญ่…”
“พักผ่อนซะเถอะ” ลู่โจวโบกแขนเสื้อก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไป เมื่อเดินมาถึงทางเข้าตัวเขาก็ได้หยุดเดินก่อนจะพูดต่อ “จะไม่มีใครไปไหนได้ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ถ้าหากใครจะสื่อสารกับโลกภายนอกก็จงใช้จดหมายซะ”
“ครับ/ค่ะ ท่านปรมาจารย์”
ลู่โจวที่พูดเสร็จก็ได้เดินจากไป
…
สามวันต่อมา
ณ ทางตะวันออกของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ที่ตรงนั้นมีรถม้าลอยฟ้าขนาดใหญ่ของสำนักอเวจีลอยอยู่
หลังจากที่เริ่มการโจมตีมาเป็นเวลาสามวัน กำแพงด้านตะวันออกของเมืองก็เต็มไปด้วยรูโหว่ ที่ไม่ไกลนักเต็มไปด้วยซากศพ
กลิ่นเลือดผสมกลิ่นโลหะได้ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
บัดนี้สาวกของสำนักอเวจียึดครองกำแพงเมืองได้แล้ว
รถม้าลอยฟ้าเคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆ
สาวกสำนักอเวจีส่วนใหญ่ยังคงติดตามรถม้าต่อไป
ยู่เฉิงไห่กำลังมองลงมาที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ตัวเขามองเห็นสถานการณ์ของการต่อสู้แล้ว
“ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า เมื่อไหร่กันที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะใช้เขตแดนพลังทั้งสิบน่ะ?”
สีวู่หยาเคยเป็นราชครูในราชสำนักเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในตอนนั้นตัวเขาเคยศึกษาเรื่องของเขตแดนพลังทั้งสิบมาก่อน เพราะแบบนั้นแล้วสีวู่หยาจึงพอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง “ไม่ต้องกังวลไปศิษย์พี่…แม้ว่าหลิวกู่จะเปิดใช้งานเขตแดนพลังทั้งสิบจริง แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว เขตแดนพลังทั้งสิบสามารถสกัดกั้นการใช้พลังลมปราณได้เท่านั้น ทุกคนที่อยู่ในเขตแดนพลังจะต้องต่อสู้ด้วยความสามารถทางด้านกายภาพและกระบวนท่าแทน พวกเรามีพรรคพวกกว่าหลายแสนคน พรรคพวกที่เรามีจะต้องเทียบเท่าได้กับทหารของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แน่”
“ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่ พวกเราจะต้องชนะได้แน่!” ยู่เฉิงไห่พูดอย่างมั่นใจ
ในตอนนั้นเองฮั๊วจงหยางก็ได้บินกลับมา “ท่านเจ้าสำนัก ตอนนี้พวกเราเข้าควบคุมกำแพงเมืองทางด้านตะวันออกได้แล้วครับ”
“ดีมาก” ยู่เฉิงไห่เหลือบมองสถานการณ์ด้านล่างต่อ “ฮั๊วจงหยาง ไปสมทบกับประตูทางเหนือซะ รีบแจ้งข้าทันทีถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น”
“ครับ ท่านเจ้าสำนัก”
“ช้าก่อน”
“ท่านเจ้าสำนักมีอะไรให้ข้ารับใช้?”
“จงขี่กุ้ยหนิวของข้าไปซะ…”
ฮั๊วจงหยางคุกเข่าในทันที “ท่านเจ้าสำนักจะให้ข้าใช้สัตว์ขี่ของท่านจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?!”
“จงใช้มันซะ!” ยู่เฉิงไห่ก้าวไปด้านหน้าก่อนที่จะจับแขนของฮั๊วจงหยางเอาไว้ “เจ้าต่อสู้เคียงข้างข้ามาหลายปี เจ้าต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากโดยที่ไม่ปริปากบ่น เป็นเพราะเจ้าจึงทำให้พวกเรามีวันนี้ได้ ในตอนนี้เป้าหมายของเราอยู่ใกล้แค่เอื้อม ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าก็คงจะยินดีกับความสำเร็จไม่ได้แน่!”
ฮั๊วจงหยางที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “ท่านเจ้าสำนักไม่ต้องกังวลไป พวกเราจะต้องชนะแน่!”
“ไปได้แล้ว” ยู่เฉิงไห่ตบไหล่ของฮั๊วจงหยาง
ฮั๊วจงหยางรีบกระโดดขึ้นไปขี่หลังของกุ้ยหนิวก่อนที่จะบินไปยังประตูทางเหนือ
…
ในตอนนี้ชาวยุทธรวมไปถึงทหารที่กล้าหาญได้หายไปจำนวนหนึ่งแล้ว ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ถูกทิ้งร้างอย่างไม่เคยเป็น
มีเพียงทหารรักษาการณ์เท่านั้นที่เดินอยู่บนถนนคนเดิน
“ทหารราชสำนักกำลังเคลื่อนไหวแล้ว!”
“นั่นมันทหารของราชสำนัก!”
“ระวัง!”
ทหารจากราชสำนักเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ในตอนนี้ทหารชุดสีดำกำลังบินออกมาในระดับความสูงที่แตกต่างกัน
ว่ากันว่าที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มักจะมีทหารราชสำนักปกป้องเมืองกว่า 30,000 คนในตลอดทั้งปี ทหารที่ว่านั้นแข็งแกร่งที่สุดที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มี นอกจากนี้ทหารทั้งหมดยังถูกนำทัพโดนแปดแม่ทัพใหญ่ ยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือแห่งโลกยุทธภพ แม้จะเหลือแม่ทัพใหญ่เพียงแค่สองคน แต่พลังที่ทหารจากราชสำนักมีก็ยังไม่อาจมองข้ามได้
เมื่อทหารทั้งหมดตั้งขบวนทัพได้แล้ว พลังอวตารทศภพก็เริ่มจะปรากฏขึ้นมา ในตอนนี้ทหารทั้งหมดกำลังเร่งหน้าไปยังประตูทางตอนเหนือ
…
ที่ประตูทางตอนเหนือ ผู้นำทัพย่อยของสำนักอเวจีทั้งสี่ได้ลอยอยู่ก่อนแล้ว
“ระวังเอาไว้ ทุกคน…โจมตีประตูเมือง!”
ที่ฐานของประตูเมือง สาวกของสำนักอเวจีได้โจมตีทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในเวลานั้นเองเสียงร้องของกุ้ยหนิวก็ดังขึ้น
ม่ออ!
ผู้นำทัพย่อยทั้งสี่ได้หันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อได้เห็นใบหน้าของแขกผู้มาเยือน ทุกคนก็อดยิ้มไม่ได้ “ยินดีต้อนรับ ผู้พิทักษ์แห่งสำนักอเวจี”
ฮั๊วจงหยางเป็นผู้ที่ขี่กุ้ยหนิวมา
ฮั๊วจงหยางได้มองไปยังประตูเมืองและกำแพงเมืองที่กำลังสั่นคลอน กำแพงเมืองอันสูงตระหง่านที่มนุษย์สร้างขึ้นถือเป็นการสำแดงภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่มนุษย์พึงมี “โจมตีต่อได้!”
“เข้าใจแล้ว!”..
ฮั๊วจงหยางลอยสูงขึ้น ตัวเขากำลังเหลือบมองไปยังทิศใต้ของเมือง ที่ตรงนั้นฮั๊วจงหยางมองเห็นผู้ฝึกยุทธกว่าหลายคนที่พร้อมไปด้วยพลังอวตารทศภพที่มี “บุกเข้าไปซะ!”
“ครับ!”
ในตอนนั้นเองทหารจากราชสำนักกว่าหลายร้อยคนก็ได้บินขึ้นไปบนกำแพงเมือง ทุกคนล้วนกระโดดลงมาก่อนที่จะพุ่งหาสาวกจากสำนักอเวจีที่อยู่บนพื้นเบื้องล่าง
ฮั๊วจงหยางที่เห็นแบบนั้นตะโกนอย่างเย็นชา “ฆ่าพวกมันซะ!”
“ฆ่าพวกมัน!”
“ฆ่าพวกมัน!”
ผู้นำทัพย่อยทั้งสี่ได้เรียกพลังอวตารของตัวเองก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนอากาศ พลังอวตารร้อยวิถีที่มีดอกบัวทองคำสองกลีบได้ปรากฏขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
พลังอวตารได้กวาดร่างทหารผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมา ไม่นานนักฝนโลหิตก็ได้โปรยปรายลงบนกำแพงเมือง
ฮั๊วจงหยางไม่ได้สนใจทหารของราชสำนักอีกต่อไป ตัวเขาเลือกที่จะหันไปมองภายในเมืองแทน แม้ว่าสำนักอเวจีจะได้เปรียบมากก็ตาม แต่ถ้าหากไม่ระวังตัวให้ดี ฝ่ายสำนักอเวจีก็อาจจะเสียเปรียบได้ ยังไงซะยอดฝีมือของทางราชสำนักก็ยังไม่ปรากฏตัว
ตู๊ม!
เสียงดังที่ราวกับฟ้าร้องได้ดังขึ้น ไม่นานนักประตูทางเมืองก็ถูกเปิดออก!
สาวกของสำนักอเวจีกูเข้ามาที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะเริ่มสังหารจัดการกับทหารราชสำนักไป
ฮั๊วจงหยางบินไปที่ด้านหน้า เมื่อข้ามกำแพงเมืองไปได้ตัวเขาก็ได้เห็นใครบางคนปรากฏตัว ชายคนนั้นกู่ร้องออกมาอย่างเย็นช้า “ข้ารอเจ้ามานานแล้ว!”
ชายคนนั้นเคลื่อนไหวฝ่ามืออย่างรวดเร็ว!
“ฝ่ามือเต๋า! พลังฝ่ามือสายฟ้าฟาด!”
พรึ๊บ!
พลังฝ่ามือสีทองแวววาวได้พุ่งไปบนอากาศ
สีหน้าของฮั๊วจงหยางเปลี่ยนไป ตัวเขารีบใช้แขนทั้งสองข้างสกัดกั้นการโจมตีไว้
ตู๊ม!
ฮั๊วจงหยางดึงหลังของกุ้ยหนิวเอาไว้
กุ้ยหนิวร้องออกมาก่อนที่จะลงสู่พื้นเพื่อปล่อยให้ฮั๊วจงหยางลงจากตัวมัน
ฮั๊วจงหยางทรงตัวก่อนที่จะพุ่งไปบนอากาศ ฮั๊วจงหยางมองไปที่ยอดฝีมือคนนั้นก่อนที่จะใช้คลื่นเสียงขึ้นมา “หยุดซะ!”
เหล่าสาวกของสำนักอเวจีเงยหน้าขึ้นมอง
ฮั๊วจงหยางกลับมายืนบนตัวของกุ้ยหนิว ตัวเขาพยายามระงับเลือดลมที่พลุ่งพล่านจากอาการที่บาดเจ็บ “แล้วเจ้าคือใครกัน?”
“หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ทั้งแปดของราชสำนักซวนจิงหยวน”
“ผู้อาวุโสซวนยอดฝีมือแห่งเต๋า ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมาก่อน”
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้นหลังจากที่ถูกข้าโจมตี” ซวนจิงหยวนลอยอยู่ในอากาศ ตัวเขากำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่นั่นเอง ซวนจิงหยวนได้เหลือบไปมองบนพื้น
“ผู้อาวุโสซวน…เวลาของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์นั้นหมดลงแล้ว ทำไมท่านต้องฝืนขัดลิขิตสวรรค์ด้วย? เจ้าสำนักของข้ากำลังทวงหาความยุติธรรมให้กับชาวเมือง เขาปรารถนาที่จะขจัดความชั่วร้ายเพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คน ถ้าหากเจ้าท่านยอมจำนน ท่านจะต้องใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขไปตลอดได้แน่!” ฮั๊วจงหยางพูด
“ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ความสงบสุขที่เจ้าพูดถึงข้าน่ะมีสิ่งนั้นแล้ว”
ซู่วว!
พลังอวตารดอกบัวแปดกลีบตระหง่านขึ้น
เหล่าสาวกของสำนักอเวจีไม่กล้าที่จะเดินหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
“ด้วยคำสั่งขององค์จักรพรรดิ สาวกจากสำนักอเวจีทุกคนจะต้องถูกประหารโดยไม่มีขอยกเว้น!”
ซวนจิงหยวนบินไปทางฮั๊วจงหยางก่อนที่จะใช้พลังฝ่ามือขนาดใหญ่จู่โจมเข้าใส่!
“ไม่!” ฮั๊วจงหยังไม่คาดคิดว่ายอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะรีบร้อนโจมตีตัวเขาแบบนี้ ฮั๊วจงหยางใช้พลังฝ่ามือตอบโต้กลับไปกว่าหลายสิบครั้ง แต่ถึงแบบนั้นพลังที่ผู้มีอวตารดอกบัวแปดกลีบมีมันก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฮั๊วจงหยางจะรับมือได้ พลังฝ่ามือของฮั๊วจงหยางทำได้เพียงชะลอการโจมตี ไม่นานนักฮั๊วจงหยางก็ถูกพลังฝ่ามือของซวนจิงหยวน
ตู๊ม!
“ถอย! ถอยเร็วเข้า!”
สาวกจากสำนักอเวจีต่างก็ถอยออกจากประตูเมือง
ตู๊ม!
ฮั๊วจงหยางกระเด็นกลับมาเพราะการโจมตีของยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ
ซวนจิงหยวนพุ่งไปที่ด้านหน้าต่อ “สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่อย่างงั้นเหรอ? นี่คือฝีมือทั้งหมดที่เจ้ามีอย่างงั้นสินะ?” ซวนจิงหยวนพุ่งไปที่ด้านหน้าเล็กน้อย ในแววตาของเขาเต็มๆ ไปด้วยจิตสังหาร “ข้าจะปลิดชีพเจ้าเอง!”
พรึ๊บ!
ซวนจิงหยวนหายตัวไปในอากาศ! ในวินาทีถัดจากนั้นเขาก็ปรากฏตัวข้างๆ ฮั๊วจงหยางแล้ว ซวนจิงหยวนไม่รอช้าใช้พลังฝ่ามือฝาดเข้าใส่ฮั๊วจงหยางอย่างรวดเร็ว!
“ท่านฮั๊วจงหยาง!”
“ท่านฮั๊วจงหยาง!”
ฮั๊วจงหยางแห่งโถงมังกรฟ้ากำลังตกอยู่ในอันตรายแล้ว!
เมื่อผู้นำทัพย่อยทั้งสี่เห็นแบบนั้น ทุกคนต่างก็ใช้พลังอวตารอีกครั้ง ทุกคนพุ่งเข้าหาซวนจิงหยวนอย่างรวดเร็ว
ตู๊ม!
ซวนจิงหยวนได้ซัดฮั๊วจงหยางจนกระเด็นไปโดยใช้แค่พลังฝ่ามือเดียว ซวนจิงหยวนได้เหลือบมองฮั๊วจงหยางอย่างเย็นชา “พวกเจ้าน่ะประเมินตัวเองสูงเกินไป”