บทที่ 446 โทสะของไท่จื่อ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 446 โทสะของไท่จื่อ

ไท่จื่อเฟยดวงหน้างามถอดสี!

เป็นแบบนี้ได้อย่างไร

ไม่ใช่เซียวลิ่วหลังหรอกรึ

ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่ใช่อาเหิงหรอกรึ

กลายเป็นหนิงอ๋องไปได้อย่างไร!

ปฏิกิริยาแรกของเขาคือจ้องชายชู้บนเตียงเขม็ง ดวงตาไท่จื่ฉายแววเย็นชากว่าเดิม!

ลำคอไท่จื่อมีกลิ่นคาวเฝื่อนพลุ่งพล่านขึ้นมา เขารู้สึกว่าตัวเองแตกสลาย โงนเงนจะล้มลง

เขาหยิกตัวเองอย่างแรง ไม่ได้ฝันไป นี่เป็นความจริง นี่มันคือความจริง!

หลินหลังของเขา หลินหลังผู้อ่อนโยนจริงใจ หลินหลังผู้มีความรอบรู้ หลินหลังที่รักใคร่กันกับเขาราวกับดนตรีที่สอดประสานกันอย่างดี เหตุใดจึงทำเรื่องพรรค์นี้กับชายอื่นลับหลังเขาได้

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เขาไร้แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนอง

ภายใต้อาการนิ่งอึ้งยกใหญ่ เลือดลมทั่วร่างคล้ายแข็งทื่อ

แต่ละถ้อยแต่ละคำที่เวินหลินหลังเอ่ยออกมาดุจมีดดาบทิ่มแทงไท่จื่ออย่างไร้ปรานี

จะว่าเจ็บก็เหมือนจะไม่เจ็บ จะว่าไม่เจ็บแต่ก็แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว

ขอบตาไท่จื่อแดงก่ำ เขาโซเซอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนชนเข้ากับประตูไม้ด้านหลัง

เสียงดังขึ้นอีกระลอก ในที่สุดไท่จื่อเฟยก็ได้สติขึ้นจากอาการตกตะลึงที่เซียวลิ่วหลังกลายเป็นหนิงอ๋อง นางจึงได้รู้ตัวขึ้นมาว่าการกระทำไร้สาระและคำพูดบ้าๆ บอๆ ของตนเมื่อครู่ถูกไท่จื่อได้ยินได้เห็นคาหนังคาเขาหมดแล้ว

สมองนางยุ่งเหยิง

ถ้อยคำเหล่านั้นไม่เหมือนนางเป็นคนพูดเลย

นางพูดจาเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้ไม่ได้หรอก

ทว่านางดันพูดออกไปแล้ว…

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ไหนจะหนิงอ๋องกับไท่จื่ออีก…

ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบายได้

ทว่าเรื่องนี้เร่งด่วน ยามนี้นางไม่มีเวลาไปจัดการความคิด นางมองไท่จื่อที่ราวกับถูกสายฟ้าฟาด แววตาขยับไหว ดึงเสื้อผ้าที่ไหลตกลงมาขึ้นไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นก็ลงจากเตียง ขอบตาแดงก่ำเดินไปตรงหน้าไท่จื่อ ยื่นมือไปจับมือเขาไว้ “ฝ่าบาท ฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน…”

ไท่จื่อคล้ายหลบนางตามจิตใต้สำนึก พอหลบไป เขาก็ชนเข้ากับบานประตูอย่างยากจะเลี่ยง

เมื่อครู่ตำแหน่งที่โดนชนเจ็บได้รับความเจ็บเพิ่มมาอีก ความเจ็บนี้ทำให้เขาได้สติ เขามองเวินหลินหลังอย่างยากจะเชื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้…เหตุใด…”

เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้

นางไม่อยากทำเช่นนี้เลยสักนิด!

สวรรค์คงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางแค่ไปซื้อของเหตุใดจู่ๆ จึงหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมาก็เพิ่งจะ…

ไท่จื่อเฟยน้ำตาคลอเบ้าฟ้อง “ฝ่าบาท เชื่อหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าข้าเป็นอะไรไป หม่อมฉันถูกคนลอบทำร้าย…”

ไท่จื่อเอ่ย “ลอบทำร้ายรึ มีใครถือมีดจ่อคอเจ้าอยู่ บีบบังคับให้เจ้าเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมารึ”

“มีใครมัดมือมัดเท้าเจ้าไว้ ไม่ให้เจ้าหนีไปจากที่นี่รึ”

“เจ้ายินยอมพร้อมใจเองเวินหลินหลัง! ข้าได้ยินหมดแล้ว! เจ้าบอกว่าในใจเจ้ามีเขา! คนที่เจ้าชอบมาตลอดคือเขา!”

ไท่จื่อเอ่ยพลางแตกสลายไปหมดแล้ว เขาเกิดมาก็เป็นโอรสสายตรงของฮองเฮา สูงส่งอย่างหาใดจะเทียมได้ ซ้ำยังมีเซวียนผิงโหวท่านลุงผู้ยิ่งใหญ่คอยให้ท้ายเขาอีก เขาแทบจะเรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน ไม่เคยมีใครทำให้เขาต้องระคายเคือง

ซ้ำเขาก็ไม่ได้ซุกซนเหมือนเจ้าเจ็ด ด้วยเหตุนี้จึงเคยโดนลงโทษน้อยมาก

เขาใช้ชีวิตราบรื่นมายี่สิบกว่าปี เปลี่ยนไปชั่วข้ามวัน ราวกับผืนฟ้าพังทลายลงมาทั้งแผ่น!

“ชายชู้มันเป็นใคร!” เขาขอบตาแดงก่ำถามขึ้น

ไท่จื่อเฟยตัวสั่น ขยับไปทางขวาตามสัญชาตญาณ บังสายตาไท่จื่อไว้

ที่ไท่จื่อจำนางได้เพราะได้ยินเสียงนาง แต่เพราะแสงภายในห้องสลัวมาก ไท่จื่อจึงยังไม่ทันเห็นชัดว่าคนบนเตียงคือหนิงอ๋อง

ต่อให้สมองไท่จื่อเฟยยุ่งเหยิงกว่านี้ก็ยังรู้ว่าอย่าให้ไท่จื่อเห็นชายคนนั้นว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขาเด็ดขาด

มิฉะนั้น นี่จะไม่ใช่ ‘ความเข้าใจผิด’ ธรรมดา แต่เป็นหายนะแน่!

ปกติไท่จื่อไม่ได้ปราดเปรื่องเพียงนี้ ทว่าวันนี้เหมือนมีบางอย่างดลใจ นึกไม่ถึงว่าจะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่ไร้ร่องรอยของไท่จื่อเฟย

ไม่ว่าจะใจสลายก็ดี หรือศักดิ์ศรีความเป็นชายย่อยยับก็ดี สรุปยามนี้เขากำลังเดือดดาลเลือดขึ้นหน้า แม้แต่ความสงสารให้เวินหลินหลังก็ไม่มี

เขาผลักไท่จื่อเฟยให้หลีกอย่างหยาบคาย สาวเท้ายาวเดินไปหา

กู้เจียวฉีดยาให้หนิงอ๋องค่อนข้างเยอะ สองเท่าเต็มๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้สติช้ากว่าไท่จื่อเฟย

เขาคาดเดาได้แล้วว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้มันเกิดอะไรขึ้น เขาคิดว่าตัวเองใช้แผนซ้อนแผนกับกู้เจียว แต่ไม่รู้ว่าได้ตกสู่กับดักของอีกฝ่ายตั้งแต่ชั่วขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นแล้ว

เขาสืบหาร่องรอยของเซียวลิ่วหลังได้ เพราะกู้เจียวทำให้เขาสืบหาเจอ

เกรงว่าคนที่เขาให้องครักษ์ลับจับตัวไปจะไม่ใช่เซียวลิ่วหลังตัวจริงด้วย เป็นแค่แพะรับบาปคนหนึ่งเท่านั้น

เกี่ยวกับจุดนี้ หนิงอ๋องเดาถูกแล้ว

ซึ่งนั่นจุดประกายให้กู้เจียวคิดแผนซ้อนแผนขึ้นมา เดิมทีในยุทธภพมีสิ่งที่เรียกว่าหน้ากากหนังมนุษย์ วัสดุหลักๆ คือหนังปลากับกระเพาะปลา เลียนแบบได้เหมือนจริงมาก หากไม่พินิจดีๆ ก็มองไม่ออก การเคลื่อนไหวมากไปก็จะเผยคลายลับออกมา

ทว่าหากระมัดระวังหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว

คนที่ถูกจับไปแทนเซียวลิ่วหลังก็คือกู้เฉิงเฟิง

ยามนี้เผ่นแนบไปไร้ร่องรอยแล้ว

หนิงอ๋องรู้ว่าไท่จื่อเดินมาทางตน เขารู้ดีว่าตัวเองไม่อาจให้ไท่จื่อมองเห็นได้ มิฉะนั้นต่อให้เขาได้รับความโปรดปรานกว่านี้ก็ล้างมลทินตัวเองไม่หมด!

เขาคว้าผ้าห่มบนร่างมาคลุมศีรษะไท่จื่อทันทีในชั่วขณะที่ไท่จื่อเข้ามาใกล้!

จากนั้นก็ลงจากเตียง เร่งฝีเท้าไปทางนอกประตู!

ทว่าได้ยินเสียงปึ้งดังขึ้น เขาหน้าคะมำลงกับพื้นทันที!

โธ่เว้ย!

ใครมันมัดขาเขาไว้!!!

เขาล้มลงมาแรงมาก สมองหนิงอ๋องกระทบกระเทือนมึนงงไปหมด!

ไท่จื่อทั้งรีบทั้งว้าวุ่น นานทีเดียวกว่าจะดึงผ้าห่มลงจากหัวได้ ก้วนของเขาถูกดึงจนคลายออก ผมเผ้ายุ่งเหยิงสีหน้าอเนจอนาถไปหมด

เขาไม่สนใจมาดของราชวงศ์ใดๆ ทั้งนั้น ยื่นเท้าออกไปถีบอีกฝ่ายอย่างแรงก่อนเลย

ลอบทำร้ายไท่จื่อ!

อยากตายรึ!

ไม่สิ มันนอนกับสตรีของเขาไปแล้วด้วย อยากตายแน่ๆ!

“ดี ข้าอยากจะเห็นนักว่าชายชู้ใจกล้าบ้าบิ่นอย่างเจ้าเป็นใครกันแน่!”

ยามนี้ไท่จื่อเฟยจะโผไปหาก็ไม่ได้แล้ว อย่างไรเสียนางก็ไม่เป็นวรยุทธ์ ห้ามไท่จื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ

ส่วนหนิงอ๋องนั้น เขาล้มจนมึนงงไปหมด ยังจะไปทำอะไรได้

ไท่จื่อก็คร้านจะใช้มือคว้าเขา จึงถีบเพิ่มไปอีกที ให้อีกฝ่ายพลิกกลับมา

ไม่ดูก็แล้วไปเถอะ พอดูแล้วก็โดนสายฟ้าฟาดเข้าอย่างจังอีกหน!

“พะ…พี่ใหญ่”

ความตกใจที่ชายชู้คือหนิงอ๋องสร้างความสะเทือนใจเสียยิ่งกว่าตอนเห็นไท่จื่อเฟยสวมเขาให้เขาอีก เขาไม่อาจรับความจริงตรงหน้าได้

หนิงอ๋องอาศัยจังหวะที่เขาตะลึงงัน กัดฟันล้วงกริชออกมาจากบั้นเอวตัดเชือกบนขาให้ขาด!

อันที่จริงหากได้เห็นเพียงอย่างเดียวก็ยังพอจะฟื้นคืนอะไรกลับมาได้ ถ้าภายหลังหนิงอ๋องบอกไท่จื่อว่าตัวเองไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย ชายชู้คือคนที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์ที่หน้าเหมือนเขาก็ได้

เพราะตั้งแต่ต้นจนจบหนิงอ๋องพูดแค่คำว่าดีคำเดียว จากปฏิกิริยาของไท่จื่อนั้น เขาจำเสียงตนไม่ได้

สิ่งสำคัญอันดับแรกของเขาคือการออกไปจากที่นี่โดยเร็ว แล้วคิดหาวิธีหาหลักฐานว่าตนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุให้ตัวเอง

ทว่าไท่จื่อกลับดึงเขาไว้

“พี่ใหญ่ ใช่ท่านหรือไม่” ไท่จื่อถามอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ

หนิงอ๋องผินหน้าหนี ไม่มองไท่จื่อ

ไท่จื่อกลับถลกแขนเสื้อข้างขวาของเขาขึ้น ตอนสิบขวบหนิงอ๋องเคยพาพวกน้องๆ ไปขี่ม้า ตอนนั้นไท่จื่อกับรุ่ยอ๋องยังเด็ก อายุแค่แปดขวบ ม้าของทั้งคู่ชนกัน เกือบจะตกจากหลังม้า

หนิงอ๋องได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยพวกเขาสองคน

ไท่จื่อจำได้ว่าแขนขวาของหนิงอ๋องมีแผลเป็นยาวอยู่แผลหนึ่ง

หลายปีผ่านไป รอยแผลเป็นก็จางไปมากแล้ว แต่ก็ยังพอเห็นได้อยู่

ชั่วขณะที่เห็นรอยแผลเป็น ในที่สุดไท่จื่อก็ข่มน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย

“เพราะเหตุใด…พี่ใหญ่…เพราะเหตุใด…”

เขาปวดใจนัก…

เหตุใดจึงเป็นหลินหลัง…

เหตุใดจึงเป็นพี่ใหญ่…

แม้เขากับพี่ใหญ่จะคนละแม่ แต่ใจเขาเคารพบุคลิกลักษณะของพี่ใหญ่มาตลอด เขาไม่เกลียดพี่ใหญ่คนนี้เลย ไม่เคยคิดว่าไท่จื่ออย่างตัวเองจะทำอะไรเขาเลยด้วย

ต่อให้เสด็จแม่จะกำชับเขาเช้าค่ำว่าจะประมาทจวงกุ้ยเฟยกับหนิงอ๋องไม่ได้ เขาก็ไม่เคยใส่ใจเลยสักครั้ง

เหตุร้ายในวันนี้สำหรับคนอื่นแล้วต่างกะทันหันไม่น้อย ราวกับว่าผืนผ้าที่ปิดบังไว้ทั้งหมดพลันถูกเลิกขึ้นภายในชั่วข้ามคืน ความโหดร้ายและโสมมภายในราชวงศ์ถูกเปิดเผยออกมาในเวลานี้

ไท่จื่อถูกปกป้องไว้ดีเกินไป ชั่วชีวิตเขามีเพียงเรื่องเดียวที่นอกลู่นอกทางก็คือลอบพบกันส่วนตัวกับเวินหลินหลัง

ทว่านั่นเกิดตามสัญชาตญาณแต่ก็ระงับไว้ตามครรลอง เขาใช้ฐานะสหายมาคบหากับนาง ก่อนจะแต่งเวินหลินหลังเข้าตำหนักบูรพานั้น เขาไม่เคยแตะต้องเวินหลินหลังเลยแม้แต่ปลายเส้นผม

หากอาเหิงไม่ได้ตาย หากเขากับเวินหลินหลังต่างแยกย้ายแต่งงานกันไป ต่อให้เขาห่วงหาอาลัยนางก็ไม่มีทางใช้วิธีพรรค์นี้มาทำนางแปดเปื้อน!!

เขาไม่อาจเข้าใจการกระทำของหนิงอ๋องได้

แน่นอนว่าเขาก็ไม่เข้าใจเวินหลินหลังเช่นกัน

ทั้งสองคนนี้ ทั้งสองคนนี้ต่างเห็นเขาเป็นตัวอะไร!

“พวกเจ้า พวกเจ้าทำข้าผิดหวังยิ่งนัก!”

เขาสะอื้นเอ่ยจบ ยกมือปาดน้ำตาตรงขอบตา แล้วหันหลังจากไปอย่างเดือดดาล

จะให้เขาป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปไม่ได้!

ชั่วขณะประกายตอนตีหิน สมองหนิงอ๋องกับร่างกายเขาพลันเกิดปฏิกิริยาขึ้นพร้อมกัน เขาสาวเท้าไปข้างหน้า ดึงไท่จื่อกลับมา เอ่ยกับเวินหลินหลังตรงประตูอย่างเย็นชา “ปิดประตู!”