บทที่ 447 คาหนังคาเขา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 447 คาหนังคาเขา

ไท่จื่อเฟยสีหน้าพลันเปลี่ยน “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”

หนิงอ๋องสายตาเป็นประกายโหดเหี้ยมพลางเอ่ย “เขารู้เรื่องของเราแล้ว หากเขาพูดเรื่องนี้ออกไป เจ้าย่อมรู้ผลของมันดี!”

ไท่จื่อเฟยย่อมรู้ดี…

นางไม่ได้แต่งเข้าราชวงศ์วันแรกเสียหน่อย กฎธรรมเนียมราชวงศ์นางท่องจนขึ้นใจ คุ้นหูจนละเอียดนานแล้ว

ราชวงศ์คบชู้สู่ชายเป็นโทษมหันต์ หากเบาหน่อยก็กักบริเวณ หากสถานหนักก็ริบตำแหน่งคืน กลายเป็นสามัญชนธรรมดา หากฮ่องเต้กริ้วขึ้นมาหน่อยก็จะสั่งประหารเข้าให้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!

ทว่า…

ไท่จื่อเฟยมองไท่จื่อที่ถูกหนิงอ๋องเหวี่ยงลงพื้นจนสลบไป สีหน้าปรากฏความลังเลขึ้นทันที

หนิงอ๋องตวาด “เจ้ามัวลังเลอะไรอยู่! เจ้าคงไม่ได้กำลังพนันว่าไท่จื่อจะมีความจริงใจต่อเจ้ากี่ส่วนหรอกกระมัง เมื่อก่อนเขาให้อภัยเจ้าอย่างไร้ขอบเขตอย่างไรที่ทำให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าทำเรื่องหักหลังเขาพรรค์นี้แล้วเขาก็ยังจะให้อภัยเจ้าเหมือนเก่า”

ถูกต้อง ไท่จื่อเฟยคิดเช่นนี้จริงๆ

เมื่อคนคนหนึ่งใจกว้างไม่ถือโทษตนจนไร้ที่สิ้นสุด ก็จะเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมา เหมือนว่าตัวเองทำอะไรก็จะได้รับการอภัยหมด

นางไม่ไปปิดประตู หนิงอ๋องจึงไปแทน

ประตูงับปิดขึ้นเสียงดังด้านหลังนาง ม่านตานางพลันหดเกร็ง แทบจะมองเขาอย่างเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

หนิงอ๋องเดินมาหยุดตรงหน้านาง กดตาลงมองต่ำ “เวินหลินหลัง เจ้าลงเรือลำเดียวกันกับข้าตั้งนานแล้ว เจ้าหนีไม่พ้น และหนีไม่รอดด้วย”

เวินหลินหลังส่ายหน้าอย่างนิ่งอึ้ง แววตาไม่รู้เพราะสับสนหรือหวาดกลัว ถึงได้สะท้อนหยดน้ำตา

นางไม่ควรมาถึงขั้นนี้เลย

นางเป็นยอดสตรีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจา นางมีทั้งสติปัญญาและคุณธรรม ซ้ำยังมีใบหน้างดงามล่มเมือง นางเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในที่สุด ต้องมีสักวันที่โดดเด่นกลายเป็นมังกรในฝูงชน

“เอาละ หลินหลัง เจ้าลงมือไม่ได้ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า เจ้ารีบจากไปเสีย ที่นี่ให้ข้าจัดการเอง” น้ำเสียงหนิงอ๋องอ่อนโยนขึ้นทันใด เขาประคองไหล่ไท่จื่อเฟย จ้องนางอย่างลุ่มลึก กุมมือนางไว้แล้วเอ่ย “ข้าไม่รอบคอบเอง มือเจ้าไม่ควรทำเรื่องพวกนี้ พวกมันสะอาดสะอ้านอยู่แล้ว”

ขนตาไท่จื่อเฟยสั่นไหวเล็กน้อย

หนิงอ๋องเอ่ยว่า “เจ้าไปเถอะ”

ไท่จื่อเฟยอ้าปาก “เจ้า…”

หนิงอ๋องมองไท่จื่อที่ดิ้นรนคลำหน้าผากตัวเองแล้วเอ่ย “เขาจะฟื้นแล้ว เชื่อข้า ข้าจะจัดการเรื่องราวให้สะอาดหมดจด ไม่มีทางลากเจ้ามาเกี่ยวด้วย เจ้ารีบกลับวังไปเสียแต่ตอนนี้ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น”

น้ำตาไท่จื่อเฟยกลอกกลิ้งในขอบตา

หนิงอ๋องยิ้ม “เชื่อข้าสักครั้งนะ”

ไท่จื่อเฟยชักมือกลับ ข่มน้ำตาหันหลังเดินไปทางประตูอย่างเหม่อลอย

ด้านหลังมีเสียงครางเครือและเสียงฝีเท้าโซเซของไท่จื่อลอยมา

นางหลับตาลง น้ำตาหลั่งรินอาบแก้ม

เสียงหนิงอ๋องดังก้องขึ้น “น้องรอง ตั้งแต่เล็กจนโตพี่ใหญ่เสียสละให้เจ้าทุกอย่าง ยกตำแหน่งรัชทายาทให้เจ้า ยกตำหนักบูรพาให้เจ้า ยกธนูมีชื่อที่เจ้าชอบให้เจ้า ยกอาชาโลหิตที่เจ้ารักให้เจ้า หากเมื่อครู่นี้เจ้าแค่เดินจากไปจะดีเท่าใดกันหนอ เหตุใดเจ้า…เหตุใดเจ้าต้องสืบมาเจอพี่ใหญ่ด้วย เจ้าทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจมากนะรู้หรือไม่”

ไท่จื่อสะลึมสะลือ

เขาเป็นวรยุทธ์นิดหน่อย แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญ

ต่อให้ในร่างกายหนิงอ๋องยังเหลือฤทธิ์ยาอยู่ ก็ยังสามารถบีบคอเขาตายได้ง่ายๆ อยู่ดี

ไท่จื่อได้ยินเสียงหนิงอ๋องรางๆ แต่สมองไม่มีปฏิกิริยา

หนิงอ๋องปลดป้ายประจำตัวของไท่จื่อออกมา ค้นหาเงินทองแล้วปลดออกมา คว้ากริชที่ร่วงตกพื้นขึ้นมา “ขอโทษนะน้องรอง พี่ใหญ่เสียสละให้เจ้ามาหลายปีเพียงนี้ ถึงเวลาที่เจ้าต้องเสียสละให้พี่ใหญ่สักครั้งแล้วล่ะ”

เขาเอ่ยพลางกำกริชแน่น แทงไปที่ลำคอไท่จื่อ

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เก้าอี้เจือกำลังมหาศาลตัวหนึ่งก็พุ่งกระแทกท้ายทอยเขา!

เขาไม่ทันตั้งตัวถูกกระแทกจนล้มลงพื้น

ไท่จื่อเฟยโยนเก้าอี้ในมือทิ้งอย่างสั่นเทา ประคองไท่จื่อขึ้นมาจากพื้น “ฝ่าบาท! ฝ่าบาทฟื้นสิ!”

ไท่จื่อถูกหนิงอ๋องเขวี้ยงไม่เบา เขาลืมตาขึ้น ปวดหัวร้าวไปหมด

ไท่จื่อเฟยดึงเขาขึ้นมา จับแขนเขาพาดไหล่ตัวเอง พยุงเขาให้เดินไปข้างนอกทีละก้าว

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ท้ายทอยไท่จื่อเฟยก็ถูกฝ่ามือใหญ่คว้าไว้อย่างแรง นางร้องอ๊ะ ทั้งร่างถูกคว้าเข้าสู่อ้อมออกหนิงอ๋อง

ไท่จื่อที่ไร้นางคอยพยุงล้มพรวดลงกับพื้นอีกครา

หนิงอ๋องมองเวินหลินหลังด้วยแววตาลุกโชน “เวินหลินหลัง เจ้ากล้าหักหลังข้ารึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหักหลังข้าจะมีจุดจบเช่นไร!”

ไท่จื่อเฟยรู้สึกเพียงหนังศีรษะตัวเองแทบโดนเขาถลกลงมา เจ็บจนน้ำตาไหล แต่วาจาที่เอ่ยขึ้นกลับไม่เกรงใจเลยสักนิด “คนที่หักหลังเจ้ามีแค่ข้าคนเดียวรึ หนิงอ๋องเฟยก็หักหลังเจ้าด้วยมิใช่รึ นางสมคบคิดกับกู้เจียวเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าก็ลงโทษนางเช่นนี้รึ!”

แน่นอนว่าไม่

เขาไม่เคยลงมือฉู่เย่ว์แม้แต่ปลายเล็บ

หนิงอ๋องกับฉู่เย่ว์แต่งงานกันเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นหนิงอ๋องยี่สิบเอ็ด ฉู่เย่ว์สิบแปด ต่างเป็นวัยที่ดีที่สุดในชีวิต

น่าเสียดายที่ในใจหนิงอ๋องมีเวินหลินหลังแล้ว

ระบำห่านขาวในหอไป่ฮวา แข่งหมากล้อมเริงร่าในห้องหนังสือ เด็กสาวงดงามมีความสามารถ สะสวยเพริศแพร้ว เข้าตาเขาตั้งแต่แรกเห็น

‘ฝ่าบาท ท่านไม่ได้พกร่มหรือ นี่เพคะ’

เด็กสาวตาเป็นประกาย ฟันขาววาววับ น้ำเสียงดุจไพเราะดั่งเสียงน้ำไหล รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน แววตาสะอาดใสบริสุทธิ์

ยามนางทอดมองเขา คล้ายแววตามีประกาย

ยามนางแย้มยิ้มตอนลาจาก ช่างไร้เดียงสาและหลักแหลม ครอบครองดวงใจเขาไปทั้งหมด

บางทีภายหลังเนิ่นนานจึงได้รู้ว่านางคือคู่หมั้นของเซียวเหิง

หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเย็นชา “นางไม่เคยล่วงเกินข้า!”

ไท่จือเฟยมองเขาอย่างเห็นใจ “เจ้าคิดว่าตอนนั้นใครเป็นคนมอบร่มให้! ฉู่เย่ว์! นางให้ข้าเอามาให้เจ้า!”

คุณหนูตระกูลฉู่ถูกตาต้องใจหนิงอ๋องที่ไร้วาสนาต่อบัลลังก์ฮ่องเต้ ปฏิเสธคนมาขอหมั้นหมายมากมายและแต่งเข้าจวนหนิงอ๋อง สุดท้ายเป็นการลงทุนผิด

หากพูดถึงเวินหลินหลังไม่เคยหวั่นไหวต่อหนิงอ๋องเลยนั้นก็ไม่ถูก มิฉะนั้นนางคงสามารถปฏิเสธจะเอาร่มไปให้หนิงอ๋อง แต่หากบอกว่านางมีแผนการมากมายก็ไม่ใช่อีก

นางแค่ชินกับการซื้อใจคน แต่นางไม่คิดว่าหนิงอ๋องจะใจคด

บุรุษผู้นี้ไม่ได้อ่อนโยนไร้พิษภัยเหมือนกับเปลือกนอก เขาเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ ซ่อนดาบไว้ในรอยยิ้ม ปากหวานก้นเปรี้ยว

เมื่อนางตระหนักได้ถึงจุดนี้ก็สายเกินจะถอยแล้ว

ถ้อยคำของไท่จื่อเฟยทำให้หนิงอ๋องชะงักไปครู่หนึ่ง หากไม่ใช่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เขาอาจจะชะงักไปนานเลยก็ได้

เพียงไม่นานเขาก็หลุดจากภวังค์ เขาจับมือไท่จื่อเฟยไว้ ยัดกริชใส่มือนาง “ได้ ในเมื่อเจ้าไม่อยากไป ก็ให้เจ้าลงมือเองเลยแล้วกัน!”

ไท่จื่อเฟยส่ายหน้าพัลวัน

ทว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิงอ๋อง หนิงอ๋องจับข้อมือนางไว้ บังคับให้นางเล็งปลายมีดไปตรงหัวใจไท่จื่อ

เวินหลิงหลังใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายต่อต้านหนิงอ๋อง

นางไม่อยากฆ่าไท่จื่อ!

เซียวฮองเฮากับเซวียนผิงโหวได้ฆ่านางแน่!

ดีร้ายอย่างไรหนิงอ๋องก็มีตระกูลจวงกับไทเฮาคอยปกป้อง แต่นางไม่มี!

ที่พึ่งพิงทั้งหมดของนางก็แค่ความรักใคร่ของไท่จื่อและฐานะไท่จื่อเฟยของนางเท่านั้น หากแม้แต่สิ่งนี้ก็เสียไป นางได้จบเห่หมดแน่!

“ฝ่าบาท…รีบหนีไป…”

ในที่สุดไท่จื่อก็ได้สติขึ้นมานิดหน่อย เขามองหนิงอ๋องจับมือไท่จื่อเฟยแทงมีดมาทางเขาอย่างหวาดผวา

เขาก็ไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน นึกไม่ถึงว่าจะถีบทั้งคู่ล้ม

จากนั้นก็ล้มลุกคลุกคลานไปทางหน้าประตู

ทว่าเขายังไม่ทันพ้นธรณีประตูด้วยซ้ำ ก็ถูกหนิงอ๋องลากกลับมาแล้ว

ไท่จื่อตัวสั่นเทามองเขา “พี่ใหญ่…”

หนิงอ๋องบีบคอเขา ง้างมีดในมือขึ้น

“หยุดนะ!”

เสียงตวาดคุ้นหูลอยมาจากระเบียงทางเดินฝั่งตรงข้าม

จากนั้นเงาร่างสูงใหญ่กำยำก็ทะยานมากลางอากาศ มือหนึ่งแย่งมีดจากหนิงอ๋อง อีกมือดึงตัวไท่จื่อออกจากมือหนิงอ๋อง

องครักษ์หลงอิ่ง!

อย่าว่าแต่หนิงอ๋องถูกวางยาเลย ต่อให้ไม่โดนวางยาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององครักษ์หลงอิ่ง

องครักษ์หลงอิ่งควบคุมตัวหนิงอ๋องภายในชั่วพริบตา แล้วหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อวางร่างไท่จื่อที่อ่อนแรงลง

ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้วยพระพักตร์เขียวคล้ำ คนที่มาด้วยกันยังมีเว่ยกงกงกับกู้เจียวด้วย

หนิงอ๋องรู้ว่ากู้เจียวจะพาคนมา ‘จับชู้’ แต่เขานึกว่าคนนั้นคือไท่จื่อ เขาไม่คิดเลยว่าเสด็จพ่อจะโดนล่อลวงมาด้วย

พูดให้ถูกก็คือถูกนางพามาด้วยตัวเอง!

สีพระพักตร์ฮ่องเต้เย็นยะเยือกสุดแสน พระองค์กำหมัดแน่น ใช้เรี่ยวแรงทั่วร่างก็ไม่อาจข่มอาการสั่นเทาไว้ได้

หากไม่ได้มาเห็นกับตา ใครจะเชื่อว่าพวกเขาพี่น้องจะขัดแย้งกันเพียงนี้!

นี่คือโอรสองค์โตที่พระองค์รักที่สุด!

เป็นความภาคภูมิใจทั้งชีวิตของพระองค์!

พระองค์แต่งตั้งให้ฉินฉู่เย่เป็นไท่จื่อก็จริง แต่หากฉินฉู่เย่ไม่เอาไหนจริงๆ พระองค์ก็เคยคิดว่าก่อนจะสวรรคตอาจจะแต่งตั้งให้ฉินฉู่หันเป็นไท่จื่อแทน!

ทว่ายามนี้…ดูโอรสคนโตสิว่ากำลังทำอะไร!

“ไอ้ลูกเนรคุณ!”

ฮ่องเต้พลิกมือตบหน้าหนิงอ๋องฉาดหนึ่ง!