ขณะที่เจินซื่อเฉิงพบหน้าฮ่องเต้ เขารับรู้ได้ทันทีเลยว่าฮ่องเต้แลดูห่อเหี่ยว
เจินซื่อเฉิงลอบถอนหายใจ
ฝ่าบาทมีความอดทนเหลือเกิน หากเขามีบุตรอย่างไท่จื่อ เขาคงไม่ได้แค่จิตใจห่อเหี่ยว เคราที่คางคงถูกดึงจนโกร๋นเกร๋นเป็นแน่
“เจินอ้ายชิงมีธุระอันใดหรือ”
“มีคดีหนึ่งเมื่อสองวันก่อนที่กระหม่อมจำเป็นต้องรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”
เขาใช้เวลาขบคิดอยู่เกือบทั้งคืน และสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะต้องรายงานแก่จิ่งหมิงฮ่องเต้
ไท่จื่อเน่าเฟะยันราก การถูกปลดและแต่งตั้งใหม่มิได้เป็นคุณประโยชน์แก่ประชาราษฎร์ แต่เป็นเคราะห์กรรมของแผ่นดินต้าโจว!
ปลดครั้งที่สองจะเป็นไรไป สั่นคลอนอีกสักครั้งจะเป็นไรไป เลือกองค์ชายที่ไม่โดดเด่น แต่เป็นคนปกติมาเป็นองค์รัชทายาท อย่างน้อยๆ ต้าโจวก็ยังเดินหน้าต่อไปได้
เขาเป็นขุนนาง จะแต่ก่อนหรือภายภาคหน้าเขาก็ยังเป็นขุนนางที่จงรักภักดี เดิมทีเขาไม่อยากมีส่วนเอี่ยวในเรื่องนี้
แต่เพราะเขาหน้าที่แบ่งเบาภาระของฮ่องเต้ เขาจึงไม่อาจทนดูต้าโจวตกอยู่ในมือองค์รัชทายาทเสเพลเช่นนั้น เพราะมิฉะนั้นแล้วคงได้ถึงคราวอวสานเป็นแน่
การทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากการแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้าย เพราะหากไท่จื่อได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้เมื่อใด เขาคงไร้ทางรอด
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ยอม!
จิ่งหมิงฮ่องเต้พิศมองไปที่เจินซื่อเฉิงก่อนจะยกมือขึ้นกดที่เปลือกตา
แย่แล้ว แย่แล้ว ตากระตุกอีกแล้ว!
เจินซื่อเฉิงที่ตัดสินใจแน่วแน่แต่กลับรู้สึกคล้ายว่ากำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
เขายังรอคำตอบจากฮ่องเต้ ฝ่าบาทจ้องเขาไม่หือไม่อือ เอาแต่กดเปลือกตาเช่นนี้ทำไมกัน
“อะแฮ่ม” เจินซื่อเฉิงกำมือป้องปากแสร้งส่งเสียงกระแอมกระไอ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เตรียมใจพร้อมแล้วจึงเอ่ยปากถามในที่สุด “คดีอะไรรึ”
เจินซื่อเฉิงลอบถอนหายใจ
ตอบรับแล้วก็ดีหน่อย จะได้ว่าต่อ
“คดีนี้มีความเกี่ยวข้องกับไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกพรวดจากที่นั่ง แต่เมื่อเห็นสายตาสงสัยของเจินซื่อเฉิงถึงได้ค่อยๆ นั่งลงอีกครั้ง น้ำเสียงในตอนนี้เหมือนไม่ใช่เสียงของเขาอีกต่อไปแล้ว “ว่ามา ไท่จื่อทำไมอีก”
คำว่า ‘อีก’ ทำให้เจินซื่อเฉิงรู้สึกเห็นใจจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างยิ่งยวด
“เมื่อไม่กี่วันก่อนมีสตรีนางหนึ่งมาตีกลองร้องทุกข์อยู่ที่หน้าศาลาว่าการพระนคร ขอร้องให้ช่วยตามหาบิดาของเด็กในครรภ์ และคนที่นางกำลังตามหาก็คือไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ…”
“เดี๋ยวก่อน!” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวแทรกทันควัน “เจินอ้ายชิง เจ้ากำลังบอกว่าไท่จื่อมีสัมพันธ์กับหญิงที่นอกวังหลวงงั้นหรือ”
ไม่กี่วันก่อนที่ไท่จื่อจะโดนฟาดหัว แม้เขาจะเข้าออกวังหลวงได้ตามอำเภอใจ แต่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ คงทำลูกไม่ทันหรอกจริงไหม
ในวินาทีนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้นึกชื่นชมในความปราดเปรื่องของตนเองที่สามารถวิเคราะห์ได้ถี่ถ้วน
บางทีอาจเป็นเพราะไอ้ลูกตัวดีทำให้เขาผิดหวังจนชิน พอเกิดเรื่องเช่นนี้เลยไม่ตื่นตระหนกอีกแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะเยาะกับตัวเอง
“สตรีนางนั้นเป็นใครกัน”
“กราบทูลฝ่าบาท นางเป็นชาวบ้านจากเมืองจิ๋นหลี่ อำเภอเฉียนเหอพ่ะย่ะค่ะ สามีของนางมีชื่อว่าตู้เอ้อร์ คนในเมืองนั้นจึงเรียกนางว่าตู้เจีย พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้คล้ำหม่นพลางเอ่ยถามเน้นที่ละคำ “หญิงผู้นั้นมีสามีอยู่แล้วงั้นหรือ”
เจินซื่อเฉิงหลุบตาตอบ “จากคำบอกเล่าของนาง ข้าหลวงข้างกายไท่จื่อจ่ายเงินให้ตู้เอ้อร์ โดยให้ตู้เอ้อร์ส่งภรรยาของตนไปปรนนิบัติไท่จื่อในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาตู้เอ้อร์ใช้เงินนั้นจนเกลี้ยง อีกทั้งยังติดหนี้พนันก้อนโต เมื่อพบว่าภรรยาของตัวเองกำลังตั้งครรภ์ เขาก็ขับไสไล่ส่งให้นางร่อนเร่เข้ามาขอเงินจากไท่จื่อที่เมืองหลวง หญิงนั้นเข้ามาในเมืองหลวง แต่ไม่รู้ว่าต้องไปหาไท่จื่อที่ใด จึงมาขอความช่วยเหลือที่ศาลาว่าการพระนครพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชื่นชมที่ตนเองอดทนฟังจนจบ เขายกที่ทับกระดาษหยกขาวที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะวางลงที่เก่า วางลงแล้วก็ยกขึ้นมาอีก เฝ้าดูว่าเจินซื่อเฉิงจะแสดงอาการตื่นตระหนกหรือไม่
หากฝ่าบาทกริ้วโกรธโกรธาจะขว้างที่ทับกระดาษใส่เขารึเปล่า
แค่กๆ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอดทนรอได้นานอีกหน่อย รอไท่จื่อมาก่อนจะดีกว่า
ไม่นานเกินรอ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พ่นลมออกมา “สิ่งที่สตรีนางนั้นพูด เป็นเพียงคำบอกเล่าฝ่ายเดียว…”
เจินซื่อเฉิงจึงล้วงจี้หยกที่แกะสลักอย่างประณีตออกมาส่งให้ฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำจี้หยกไว้ในมือแน่นพร้อมใบหน้าเครียดเขม็ง
แน่นอนว่าเขาต้องเคยเห็นจี้หยกนั้นมาก่อน
เจินซื่อเฉิงไม่ลืมอธิบาย “หญิงนั้นบอกว่า ไท่จื่อเป็นผู้มอบสิ่งนี้ให้นางพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาก็ส่งม้วนคดีอีกอันขึ้นไป
“กระหม่อมส่งคนไปตรวจสอบที่อำเภอเฉียนเหอมาแล้ว และนี่คือคำให้การที่รวบรวมมาได้พ่ะย่ะค่ะ…”
เจินซื่อเฉิงไม่รู้ว่าตนควรสงสารไท่จื่อที่ถูกจับได้หรือไม่ เพราะหากจะโทษก็ต้องโทษไท่จื่อที่ไม่เข้าใจคำสอนที่ว่า กระต่ายไม่เล็มหญ้าข้างโพรง การทำเช่นนี้กับสตรีชาวจิ๋นหลี่ต่อหน้าคนในเมือง มีหรือที่ชาวเมืองจะจำเขาไม่ได้…
จิ่งหมิงฮ่องเต้อ่านม้วนกระดาษนั้นแล้วหลับตาลง
เจินซื่อเฉิงรอคอยเงียบงัน
เวลาคืบเคลื่อนไปเนิ่นนานกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพลางบอก “เจินอ้ายชิง เจ้าออกไปก่อนเถิด ฝากดูแลสตรีนางนั้นให้ดีด้วย”
เจินซื่อเฉิงตอบรับแล้วจึงเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร
เขาเงยหน้าขึ้นมองเมฆลอยล่องกลางนภา ทว่าภายในใจกลับมีหมอกครึ้มทอตัวเป็นผืนหนา
ฝ่าบาทมิได้เรียกไท่จื่อมาเข้าเฝ้า ไม่รู้ว่าเพราะวางแผนจะปิดเรื่องฉาวคราวนี้ หรือว่าเพื่อ…ปกป้องขุนนางอย่างเขาที่อาจหาญกล่าวโทษไท่จื่อกันแน่
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดล้วนชี้ชัดว่า ตำแหน่งองค์รัชทายาทกำลังจะสั่นคลอนอีกครั้ง
นานๆ ทีที่คนสุขุมรอบคอบอย่างเจินซื่อเฉิงจะมีอาการคิดไม่ตกเช่นนี้
เจินซื่อเฉิงออกไปได้ไม่นาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เรียกไท่จื่อมาเข้าเฝ้า
“เสด็จพ่อ ในที่สุดเสด็จพ่อก็ทรงยอมพบหน้ากระหม่อม กระหม่อมไม่มีโอกาสได้บอกพระองค์ว่า กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว ต่อไปนี้กระหม่อมจะไม่ทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ…” การได้มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ครั้งแรกหลังจากห่างหายไปนานทำให้ไท่จื่อกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
พระชายาไท่จื่อบอกไว้ว่า เขาต้องกลับตัวจริงๆ เขาก็จะทำตามนั้น แต่ขนาดมาขอเข้าเฝ้าเพื่อจะบอกว่าตนสำนึกผิดแล้ว ยังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเฝ้า
ฉะนั้นตอนนี้ต้องทำอย่างสุดความสามารถ แล้วทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง!
ครั้นเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของไท่จื่อ พานไห่ก็อดเห็นใจเสียมิได้
แต่ก่อนฝ่าบาทแทบจะไม่เคยได้เห็นอาการหวาดหวั่นของไท่จื่อ แต่ไม่รู้ทำไม เดี๋ยวนี้มาเข้าเฝ้าที่ไรกลับเป็นเช่นนี้ทุกครั้งไป ครั้งนี้ไท่จื่ออุตส่าห์กลับไปเป็นอย่างเช่นนี้ที่ผ่านมา แต่กลับกลายเป็นว่า…
“สำนึกผิดจริงๆ งั้นหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ทวนซ้ำ
ไท่จื่อผงกหัวงึกงัก “ลูกสำนึกผิดแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะไม่ประพฤติตัวเหลวแหลก และจะไม่ปิดบังเสด็จพ่อเรื่องใดๆ อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลื่อนจี้หยกไปตรงหน้าไท่จื่อ
ไท่จื่อพิศมองก่อนที่ใบหน้าของเขาจะเริ่มซีด
“นี่ไม่ใช่ของเจ้าหรอกหรือ”
ไท่จื่อสั่นหัว แต่สั่นได้ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นผงกหัว เขาตอบรับเสียงงึมงำคล้ายยุง “ของลูกพ่ะย่ะค่ะ…”
“ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องจี้หยกนี้ให้ข้าฟังซิ” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวอย่างไม่อนาทร
ไม่รู้ทำไมคราวนี้กลับไม่มีวี่แววของความโกรธอีกแล้ว หรือว่าสภาพจิตใจตอนนี้คงตายด้านไปแล้ว
เมื่อได้คำตอบกับตัวเอง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เศร้าโศกเกินพรรณนา
“ลูก…” ไท่จื่ออ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรแก้ตัวอย่างไร
ชีวิตดั่งสวรรค์แกล้ง!
เขาทราบดีว่าจี้หยกหมายถึงอะไร แต่เหตุไฉนถึงมาอยู่ในพระหัตถ์ของเสด็จพ่อ
“มิได้กำลังจะปิดบังข้าใช่หรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่งยิ้มเย็นชา
ไท่จื่อหวาดกลัว เขากลั้นใจเล่าเรื่องทั้งหมดพลางคิดอย่างเคียดแค้น หากเขารอดไปได้ คอยดูเขาจะจัดการไอ้คนชั่วสองคนนั้นให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
จิ่งหมิงฮ่องเต้จดจ้องไปที่ไท่จื่อไม่วางตา เมื่อเห็นความโหดเหี้ยมแวบผ่านดวงตาของไท่จื่อ ในใจของเขาก็เย็นเยือกขึ้นมาทันใด
เกิดความคิดปุบปับฉับพลัน เขาคงช่วยบุตรชายคนนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ
เพียงแต่การจะปลดไท่จื่อครั้งที่สองมิใช่เรื่องง่าย
“เจ้ากลับตงกงไปเถอะ”
“เสด็จพ่อ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองแวบหนึ่งด้วยสายตาลุ่มลึก
ไท่จื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบใกล้เข้ามา ใบหน้ายังคงขาวซีด
“ไปเถอะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้น
ไท่จื่อออกไปจากห้องทรงพระอักษรด้วยอาการสับสนเต็มประดา ทั้งเรื่องแกล้งความจำเสื่อมก่อนหน้านี้ บวกกับเรื่องในวันนี้ เสด็จพ่อกลับไม่สั่งลงโทษ นี่เสด็จพ่อเป็นอะไรไป