หลังจากไท่จื่อเสด็จกลับไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงเสด็จไปที่ตำหนักหย่างซิน พลิกตัวไปมาเกือบทั้งคืน ทำเช่นไรก็บรรทมไม่ได้ เพิ่งจะผล็อยหลับไปช่วงใกล้รุ่งสาง ทำให้เช้านี้ไร้เรี่ยวแรงลุกจากเตียง
จิ่งหมิงฮ่องเต้เกิดประชวรขึ้น
วันที่หนึ่ง วันที่สอง วันที่สาม…เหล่าขุนนางที่ไม่ได้เข้ามาถวายฎีกาที่ท้องพระโรงเริ่มเดือดเนื้อร้อนใจ
เหล่าองค์ชายก็เริ่มอยู่ไม่สุข คนที่แลดูอาการหนักกว่าใครทั้งหมดคือฉีอ๋อง
“เสด็จพ่อประชวรไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย…” ฉีอ๋องหันไปกล่าวแก่พระชายาฉีอ๋อง
ความผิดของไท่จื่อบวกกับเรื่องฉาวที่อำเภอเฉียนเหอแผ่หลาอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ขนาดนี้ ตำแหน่งองค์รัชทายาทของไท่จื่อคงสั่นคลอนเต็มที
แต่เหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ถึงล้มป่วยเอาตอนนี้
โรคมาเยือนไวปานเขาถล่ม โรคหายใช้เวลานานปานเก็บใยจากหนอนไหม ในช่วงเวลาที่ฮ่องเต้ประชวร ความโกรธเกรี้ยวที่สะสมไว้ก็จะค่อยๆ จางไป หากฮ่องเต้หวนคิดเรื่องเก่าๆ อาจทำให้ความคิดที่จะปลดไท่จื่อเริ่มลดน้อยถอยตามไปด้วย
ฉีอ๋องยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ
“หรือว่าสวรรค์จะเข้าข้างไท่จื่อ”
พระชายาฉีอ๋องกล่าวโน้มน้าว “ท่านอ๋องอย่าคิดเช่นนั้นเลยเพคะ เพราะหากสวรรค์เข้าข้างไท่จื่อจริง จะลิขิตให้เสด็จพ่อทราบความผิดของไท่จื่อได้อย่างไร ไท่จื่อบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่หยุดหย่อนเช่นนั้น ต้องมีสักวันที่เสด็จพ่อหมดหวังในตัวเขาอย่างแน่นอนเพคะ”
ฉีอ๋องหัวเราะ
เสด็จพ่อทรงทราบปัญหาที่ไท่จื่อก่อทุกครั้งเช่นนี้ มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับสวรรค์ แต่เป็นเพราะเขาคอยบงการอยู่เบื้องหลังต่างหาก
ซึ่งก็แน่นอนว่า เรื่องนี้มีพี่น้องคนอื่นๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
“แต่ยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อ ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลง ผู้ใดจะรู้ว่า ‘สักวัน’ จะมาถึงเมื่อไหร่”
พระชายาฉีอ๋องแววตาเป็นประกาย “ท่านอ๋องหมายความว่า?”
สายตาของฉีอ๋องเย็นชาขึ้นมาโดยพลัน “ยิ่งเร็วยิ่งดี ข้าจะใช้จังหวะที่เสด็จพ่อประชวรนี่แหละ!”
ในเมื่อเสด็จพ่อไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ แต่กลับประชวรไม่รู้เวล่ำเวลาเอาตอนนี้ เขาก็จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ทำให้เสด็จพ่อหมดหวังในตัวไท่จื่อโดยสมบูรณ์
ครั้งนี้ เขาจะเล่นงานไท่จื่อให้ถึงแก่ชีวิต!
แววตาขับประกายเลือดเย็นของฉีอ๋องทำให้พระชายาไม่กล้าซักไซ้ นางเพียงแต่ถามว่า “พวกเราจะเข้าไปเยี่ยมเสด็จพ่อเมื่อไหร่ดีเพคะ”
ครั้นฮ่องเต้ประชวรเช่นนี้ บรรดาองค์ชายที่มีจวนอยู่นอกวังจะต้องมาขอเข้าเฝ้า แม้รู้ว่าอาจไม่ได้พบหน้าก็ตามที แต่การทำเช่นนั้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู
“เตรียมตัวให้เรียบร้อย จะไปกันเดี๋ยวนี้แหละ เรื่องเช่นนี้จะให้ผู้ใดชิงตัดหน้าไม่ได้”
สองสามีภรรยาเร่งรี่ไปที่วังหลวงก่อนจะพบว่า พี่น้องคนอื่นๆ พาชายาของตนมากันเกือบจะครบแล้ว ขาดก็แต่เยี่ยนอ๋องและพระชายาเท่านั้น
ในขณะนั้น เจียงซื่อและอวี้จิ่นอยู่บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้ามาที่วังหลวง
เมื่อเช้าขณะที่กำลังจะออกจากจวน อาฮวนสำรอกนมออกมา พ่อแม่มือใหม่ถึงได้มัวแต่วิ่งวุ่นกันยกใหญ่ รอจนแน่ใจว่าบุตรสาวไม่เป็นอะไรถึงได้ออกจากจวน
ในตอนนี้ทั้งสองกำลังสนทนาเรื่องอาการป่วยของจิ่งหมิงฮ่องเต้
“เสด็จพ่อประชวรมาตั้งหลายวัน แต่กลับไม่ยอมให้ใครเข้าเยี่ยม ไม่รู้ว่าพระอาการตอนนี้เป็นเช่นไร”
อวี้จิ่นเย้ยหยัน “ก็คงเพราะกริ้วเรื่องไท่จื่อนั่นแหละ”
แม้ว่าเรื่องสตรีชาวจิ๋นหลี่หอบลูกในท้องมาตามหาพ่อของเด็กยังไม่กระจายออกไป แต่เนื่องจากเขาสนิทกับคนในศาลาว่าการพระนคร จึงได้ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขา ‘แอบ’ เล่าเรื่องของสตรีนางนี้ให้ฉีอ๋องฟังโดยมิได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ จึงพอเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
เจียงซื่อเลิกม่านหน้าต่างดูทิวทัศน์ด้านนอก
ในฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆ นำพาให้ใจของผู้คนเบิกบานตามไปด้วย
นางปล่อยม่านลงที่เก่าพลางเอ่ย “ไท่จื่อคงจะอยู่ในตำแหน่งได้อีกไม่นาน”
นางยังไม่เคยพูดเรื่องปลดไท่จื่อครั้งที่สองกับอวี้จิ่นอย่างจริงจังเลยสักครั้ง และดูเหมือนว่านี่จะถึงแก่เวลาแล้ว
อวี้จิ่นหัวเราะ “เจ้าสี่รีบกว่าพวกเราเป็นไหนๆ เสด็จพ่อประชวรคราวนี้ ไม่แน่ว่าเจ้าสี่คงวางแผนจะเอาชีวิตไท่จื่อ”
เจียงซื่อถอนหายใจแผ่วเบา “จริงสิ หากไท่จื่อถูกปลดอีกครั้ง โอกาสรอดชีวิตก็เหลือน้อยนัก”
เมื่อชาติที่แล้ว ปลดไท่จื่อครั้งที่สองในโทษฐานก่อกบฏ ฮ่องเต้พระราชทานสุราพิษ ส่วนพระชายาไท่จื่อก็ต้องโทษประหารดุจกัน มีเพียงไท่ซุนและธิดาอีกสองคนที่ยังมีชีวิตรอด ไท่ซุนถูกคุมขัง ส่วนธิดาอีกสองคนไม่ทราบว่าถูกส่งไปอยู่ที่ใด
เจียงซื่อมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์จุดจบของไท่จื่อ นางเพียงแต่เสียดายแทนพระชายาไท่จื่อเท่านั้น
ทั้งสองสนทนาจนกระทั่งรถม้ามาจอดอยู่ที่หน้าประตูวัง เมื่อลงจากรถม้าแล้วก็มุ่งหน้าไปที่ตำหนักหย่างซินทันที
“น้องเจ็ด เจ้ามาช้าสุดเลย” หลู่อ๋องตะโกนบอกทันทีที่เห็นอวี้จิ่นเดินเข้ามา
อวี้จิ่นชำเลืองมองไปที่หลู่อ๋องแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวเนิบนาบ “ในเมื่อยังไม่มีใครได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อ แล้วจะให้รีบมาเพื่อนั่งสนทนาเรื่องไร้สาระงั้นหรือ”
หลู่อ๋องลูบจมูกเงียบงัน
ชวนเจ้าเจ็ดคุยด้วยทีไร เป็นต้องถูกตอกหน้าหงายไปเสียทุกครั้ง สู้เก็บปากเงียบจะดีกว่า
เสียงเคลื่อนไหวลอยมาจากทางประตู พร้อมการปรากฏตัวของพานไห่
“พานกงกง เสด็จพ่ออาการเป็นเช่นไรบ้าง” เหล่าองค์ชายออกปากถามยกใหญ่
พวกเขามาเข้าเฝ้าหลายวันติดต่อกัน แต่จนกระทั่งวันนี้ยังไม่มีผู้ใดได้เข้าพบเลยสักคน
พานไห่กวาดตามองรอบๆ ก่อนจะค้อมตัวถวายความเคารพ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาเข้าไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งหมดถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบหน้าเสียที
ไท่จื่อกระตือรือร้นกว่าใคร
หลายวันมานี้เขาจมอยู่กับความหวั่นวิตกจนไม่เป็นอันนอน เฝ้าขบคิดว่าเสด็จพ่อจะลงโทษเขาเช่นไร การที่ไม่ได้พบหน้าเสด็จพ่อ ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ไท่จื่อร้อนใจถลาตัวไปยืนอยู่หน้าสุด
พานไห่อึกอักชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “องค์รัชทายาทคอยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งหมดชะงักงัน มองสลับระหว่างไท่จื่อและพานไห่
ไท่จื่อถามด้วยความกระวนกระวายใจ “เสด็จพ่อเรียกพวกเราให้เข้าไปมิใช่หรือ พานกงกงจะรั้งข้าไว้ด้วยเหตุอันใด”
พานไห่ยิ้มแห้ง “องค์รัชทายาท ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านอ๋องและพระชายาเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อผงะและเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เสด็จพ่อไม่ให้ข้าเข้าเฝ้า?”
พานไห่ผงกศีรษะเล็กน้อย
ใบหน้าของไท่จื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มโดยพลัน ริมฝีปากสั่นระริกอยากจะถาม แต่ได้แต่กลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงคอไป
แต่ละคนละสายตากลับไปแล้วเดินตามพานไห่เข้าไปด้านใน ภายในห้องรับรองจึงเหลือแต่ไท่จื่อและพระชายาไท่จื่อสองคน
“เหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่ให้ข้าเข้าเฝ้า” รอจนกระทั่งทุกคนเดินเข้าไป ไท่จื่อจึงหันไปถามพระชายาเสียงเบาอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความโกรธจัด
พระชายาไท่จื่อหันมามองพระสวามี ใบหน้ายังคงราบเรียบไม่สื่ออารมณ์ “พระองค์ก็น่าจะทราบเหตุผลนี่เพคะ”
ไท่จื่อชะงักงัน มือของเขากำหมัดแน่นจนเสียงข้อกระดูกลั่น
ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เสด็จพ่อปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าเฝ้าคนเดียว ช่างขายหน้ายิ่งนัก
ไม่ มิใช่แค่เรื่องขายหน้าเท่านั้น นี่เสด็จพ่อกำลังจะทอดทิ้งเขาอย่างนั้นหรือ
ไท่จื่อตัวสั่น ใบหน้าสีแดงเข้มเมื่อครู่เริ่มขาดเลือด
เมื่อเห็นว่าไท่จื่อมิได้โต้ตอบ พระชายาก็มิได้สนใจ
สำหรับนางแล้ว บุรุษที่ถูกส่งไปช่วยบรรเทาทุกข์ราษฎรแต่กลับไปนอนกกอยู่กับหญิงอื่น นางมิได้รู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้เลยสักนิด ตอนนี้มีสิ่งเดียวที่นางเฝ้ารอคือ รอเสด็จพ่อหายดีเมื่อไหร่ พระองค์จะปลดไท่จื่อที่ไร้คุณธรรมออกจากตำแหน่ง เพราะอย่างน้อยๆ ครอบครัวของนางจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ นางไม่ต้องการให้ไท่จื่ออยู่เป็นภัยต่อแผ่นดินต้าโจวอีกแล้ว
ทั้งสองนั่งเงียบไม่พูดไม่จา
แม้ว่าจะถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยม แต่พวกเขาก็ควรอยู่รอก่อนเพราะเป็นมารยาท
อาการป่วยของจิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ร้ายแรง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคืออาการทั้งหมดเกิดจากอารมณ์โกรธที่ถูกไท่จื่อกระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฮ่องเต้สอดส่ายสายตามองไปยังเหล่าโอรสทั้งหลาย กล่าวกับพวกเขาเพียงเล็กน้อยก่อนจะบอกให้ทั้งหมดกลับไป
วันนี้ที่อนุญาตให้เข้าเฝ้าก็เพื่อจะบอกไอ้ลูกตัวดีทั้งหลายว่าเขายังไม่ตาย ฉะนั้นอย่าเพิ่งจินตนาการวาดฝันไปไกล
“ขอบคุณสวรรค์ สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อแลดูดีขึ้นมาก อีกไม่นานก็คงหายดี”
ไท่จื่อที่ได้ยินเช่นนั้นกลับรู้สึกกังวล เพราะไม่รู้ว่าตนควรจะยินดีหรือทุกข์ใจ
พานไห่กระแอมกระไอ “องค์รัชทายาท เชิญพระองค์เสด็จกลับตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทั้งหลายก็เตรียมเสด็จกลับกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อเดินหน้าบึ้งตึงกลับออกไป ส่วนพระชายาก็เดินตามหลังไปเงียบๆ
เจียงซื่อมองไปที่พระชายาไท่จื่อ ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะชะลอฝีเท้า