บทที่ 602 ไม่ลังเล

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 602 ไม่ลังเล

บทที่ 602 ไม่ลังเล

หลังจากพูดทั้งหมดนี้ หมี่ลี่ก็มองซูอันด้วยความสงสัย “แล้ว… เจ้าจะเลือกทางไหน?”

ซูอันไม่ลังเลเลย “แน่นอน ข้าจะเลือกข้อแรก ข้าอยากอยู่ที่ระดับปรมาจารย์ทันที!”

ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์เคยไปถึงระดับปรมาจารย์ตอนไหน? บุคคลเช่นนั้นเคยมีอยู่ในประวัติศาสตร์หรือไม่? เขาอยากเป็นคนแรก!

เขาจะอยู่ในเส้นทางที่จะกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ทั้งชีวิต!

สำหรับศักยภาพต่อยอดหรืออะไรก็ตาม ชายหนุ่มค่อยไปกังวลในภายหลัง

จากสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในสถาบันจันทร์กระจ่าง มีผู้บ่มเพาะไม่กี่คนที่สามารถไต่ไปถึงระดับปรมาจารย์ได้ ยิ่งกว่านั้น เกือบทั้งหมดเป็นชายชราที่เท้าข้างหนึ่งอยู่ในหลุมศพแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ในวัยกลางคน

พูดตรง ๆ เมื่อถึงวัยนั้น ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะคุยโวเกี่ยวกับระดับการบ่มเพาะของตัวเองอีกต่อไป

ลองไปถามคนจากโลกที่แล้วของเขาดูสิ ใครจะเลือกเริ่มต้นจากศูนย์ ทำงานหนัก และเพลิดเพลินกับความมั่งคั่งของพวกเขาเมื่ออายุห้าสิบหกสิบกัน หรือว่าพวกเขาอยากจะเป็นทายาทรุ่นที่สองที่ร่ำรวยตั้งแต่แรกเกิด รายล้อมไปด้วยสาวงามและความหรูหราที่ไม่รู้จบ?

หมี่ลี่ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง คิ้วของนางแทบจะย่นผูกติดกันได้เมื่อนางได้ยินความเชื่อมั่นในเสียงของซูอัน

หมี่ลี่ไม่สามารถฟังเรื่องไร้สาระของเขาได้อีกต่อไป นางจึงตัดบทและพูดว่า “ผู้บ่มเพาะในรุ่นของข้าล้วนไล่ตามจุดสุดยอดของเต๋า เราแสวงหาชีวิตนิรันดร์! ข้าไม่เคยเห็นคนเช่นเจ้าที่เต็มใจจำกัดศักยภาพของตัวเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้!”

นางโกรธมาก

ซูอันไม่สนใจ “เส้นทางของเต๋าคลุมเครือและกว้างใหญ่” เขาตอบ “ผู้บ่มเพาะในประวัติศาสตร์เป็นเหมือนปลาคาร์ปที่ข้ามแม่น้ำนับไม่ถ้วน มีกี่คนที่สามารถไปถึงจุดสุดยอดของเต๋าได้?”

อันที่จริงเขาอยากจะกราบผู้เฒ่ามี่สักสามครั้งในฐานะที่อีกฝ่ายบ่มเพาะจนสำเร็จระดับปรมาจารย์ ในตอนแรกซูอันคิดว่าผู้เฒ่ามี่อยู่ในระดับที่เก้าเท่านั้น

หมี่ลี่พูดอย่างโกรธเคือง “นั่นเป็นเรื่องจริงสำหรับคนทั่วไป แต่เจ้ามีพรสวรรค์ระดับเลิศล้ำในตำนาน! แถมยังมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมถึงสองตั้งแต่อายุยังน้อย! ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังมีข้าเป็นอาจารย์ส่วนตัวอีกต่างหาก!”

“เจ้าพอใจกับตำแหน่งปรมาจารย์ที่ต่ำต้อยงั้นเหรอ? ในความคิดของข้า คนอย่างเจ้าที่ยอมติดอยู่ที่ตำแหน่งปรมาจารย์จะเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์!”

ซูอันสัมผัสได้ว่านางโกรธแค่ไหนจากคะแนนความโกรธแค้นที่หลั่งไหลเข้ามา “มันไม่ขนาดนั้นหรอก ปรมาจารย์แย่นักหรือไง? ทำไมท่านถึงทำเสียงเหมือนมันเป็นระดับหมูหมากาไก่?”

เขานึกถึงจำนวนผลไม้พลังชี่ที่จำเป็นต้องเติมเต็มแม้แต่อักขระเดียวของวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ การไปถึงระดับปรมาจารย์เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!

หมี่ลี่สูดจมูกอย่างไม่ใส่ใจ “นั่นเป็นเพียงเพราะเจ้ายังไม่เคยสัมผัสกับโลกที่กว้างกว่านี้ ถ้าเจ้าเป็นข้า เจ้าจะรู้ว่าการบ่มเพาะระดับปรมาจารย์ช่างน่าสังเวชเหลือทน!”

“แล้วพี่หญิงใหญ่อยู่ระดับอะไร?” ซูอันถามอย่างสงสัย ผู้หญิงคนนี้คุยถึงโลกที่กว้างใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วนางอยู่ระดับไหนกันแน่? ปรมาจารย์? ปราชญ์? อย่าบอกนะว่านางเป็นเซียนปฐพี!

หมี่ลี่พ่นลม “การรู้มากเกินไปก็ไม่ช่วยอะไรเจ้าในตอนนี้”

ซูอันยิ้มน้อย ๆ และพึมพำ “เฮอะ ๆ ใคร ๆ ก็พูดใหญ่โตได้ แต่ข้าจำได้ว่าท่านเคยบอกว่าไม่สามารถเอาชนะผู้เฒ่ามี่ได้ด้วยซ้ำ”

หมี่ลี่ถลึงตา “เจ้าพูดอะไรนะ?!”

ซูอันยิ้มขอโทษทันที “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร! ทั้งหมดที่ข้าพูดคือข้าไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดเกินตัว ข้าจะใช้เวลาเป็นผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ก่อนแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน ดีหรือไม่?”

“ไม่มีทาง เจ้าต้องเลือกตัวเลือกที่สอง!” บางทีอาจเป็นเพราะฐานะจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตของนาง น้ำเสียงของหมี่ลี่จึงเด็ดขาดไม่เปิดโอกาสให้มีข้อโต้แย้งใด ๆ เลย

ซูอันรู้สึกท้อแท้ “ในเมื่อท่านตัดสินใจให้ข้าแล้ว จะถามข้าทำไม…”

หมี่ลี่พ่นลม “ข้าแค่อยากทดสอบคุณสมบัติของเจ้า!”

“แล้วท่านคิดว่าเป็นอย่างไรล่ะ? ท่านคิดว่าข้าเป็นคนมองโลกแง่ดีพอหรือเปล่า?” ซูอันพูดพร้อมกับหัวเราะ

หมี่ลี่จ้องเขม็งไปที่เขา “จะแกะสลักอะไรจากไม้เน่าไม่ได้จริง ๆ!”

การแสดงออกที่ขาดความกระตือรือร้นของเขาทำให้หมี่ลี่หงุดหงิด “ตั้งใจหน่อย! ตอนนี้ข้าจะปิดผนึกระดับการบ่มเพาะของผู้เฒ่ามี่ที่ส่งเข้าสู่ร่างกายของเจ้าแล้ว!”

“พี่หญิงใหญ่ ได้โปรดอย่าปิดผนึกมันเลยนะ นะ นะ!” ซูอันยังคงไม่เต็มใจ และอ้อนวอนนางเป็นครั้งสุดท้าย

หมี่ลี่เย้ยหยัน “ข้าเลือกสิ่งที่ดีให้เจ้าก็เหมือนเลือกให้ตัวข้าเองด้วย อย่าลืมสิว่าเราทำสัญญาชีวิตและความตายกันแล้ว!”

นางไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นกับเขาอีกต่อไป นิ้วที่เรียวยาวของนางเหยียดออกและจิ้มลงที่หว่างคิ้วของเขา

คลื่นของพลังงานความเย็นไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ให้ความรู้สึกสบาย และสดชื่น แตกต่างจากความเย็นเยือกของผู้เฒ่ามี่เป็นอย่างมาก

ซูอันผ่อนคลายจิตใต้สำนึก

“เรียบร้อยแล้ว”

ในที่สุด หมี่ลี่ก็ประกาศด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

ดวงตาของซูอันเบิกกว้าง “พี่หญิงใหญ่ ท่านสบายดีไหม?”

หมี่ลี่พ่นลมหายใจ “ข้าไม่เป็นไร”

ซูอันหรี่ตาลง

“ตรวจสอบสภาพร่างกายของเจ้าเองเดี๋ยวนี้” หมี่ลี่สั่งทันที

ซูอันทำตามที่นางพูด เขาไม่ได้รู้สึกแปลกตรงไหนเลย ตรงกันข้าม กลับรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ!

ตอนนี้ อักขระในร่างของเขาส่องสว่างเจิดจ้า พวกมันถูกเติมเต็มเพิ่มขึ้นจนละลานตา ชายหนุ่มค่อย ๆ นับมันไปเรื่อย ๆ ด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ!

“น…นี่ข้ากลายเป็นผู้บ่มเพาะระดับห้าขั้นสี่แล้วอย่างนั้นเหรอ!?” ซูอันอุทานกับตัวเอง

หมี่ลี่พ่นลมหายใจ “ผู้เฒ่ามี่อยู่ในระดับปรมาจารย์ แม้ว่ามวลพลังในการบ่มเพาะส่วนใหญ่ของเขาจะถูกผนึกไว้ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ส่วนที่เหลือจะยกระดับการบ่มเพาะของเจ้าขึ้นมาได้พอสมควร”

ซูอันหัวเราะอย่างเบิกบาน “แหะ ๆ ข้าหลงคิดไปว่าต้องใช้เวลานานกว่าที่ข้าจะเริ่มต้นได้รับประโยชน์จากพลังของผู้เฒ่ามี่”

หมี่ลี่กลอกตา “เอาล่ะ เนื่องจากเจ้าอยู่ในระดับที่ห้าแล้วเรามาดูกันว่าเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะธาตุใดกันแน่จะดีกว่า”

“แล้วธาตุอะไรที่แข็งแกร่งที่สุด?” ซูอันถามด้วยความสงสัย

หมี่ลี่พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “แต่ละธาตุล้วนมีจุดเด่นของตัวเองไม่มีธาตุใดดีกว่ากันอย่างชัดเจน”

“เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าธาตุสายฟ้าและไฟมีพลังในการทำลายมากกว่า ส่วนธาตุน้ำแข็งจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ดีเยี่ยม ธาตุน้ำและธาตุไม้มีข้อดีในการรักษา ธาตุลมทำให้เร็วขึ้น ขณะที่ดินและโลหะเป็นเลิศในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีธาตุใดที่สมบูรณ์แบบที่สุด สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้บ่มเพาะเองว่าจะใช้พวกมันได้อย่างช่ำชองมากแค่ไหน”

ซูอันอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่เป็นธาตุทั้งหมดแล้วหรือเปล่า?”

หมี่ลี่ส่ายหัว “ไม่ แต่ธาตุเหล่านี้พบได้บ่อยที่สุด ส่วนธาตุหายากอื่น ๆ ก็มี ธาตุวิญญาณ ธาตุแสง และธาตุมืด มีข่าวลือว่ายังมีธาตุมิติและกาลเวลา แต่ธาตุเหล่านี้ล้วนเป็นข่าวลือที่ไม่เคยได้รับการพิสูจน์”