ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 10 ร่วมล่องนาวา (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตอนที่ 10 ร่วมล่องนาวา (1)

ไห่จ้งอิง มีอีกนามว่าอู๋หยา เป็นชาวจิงฉู่ ครอบครัวทุกรุ่นเป็นบัณฑิต จ้งอิงเป็นบุตรเกิดจากอนุภรรยา นิสัยตรงไปตรงมา ภรรยาเอกของบิดาจึงมิชอบนัก ต่อมาบิดามารดาสิ้น จ้งอิงจึงนำความสามารถเดินทางมาดินแดนหมิ่น ก่อตั้งขบวนเรือค้าขายทางทะเลจนมั่งคั่ง จ้งอิงใจกว้างยุติธรรม ผู้คนจึงล้วนนับถือเขา
รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสาม จ้งอิงออกเดินทางสู่หนานไห่ แต่กลับพบโจรสลัดเข้ากลางทาง เสียสินค้าบนเรือไปสิ้น มีจ้งอิงรอดมาชีวิตมาเพียงลำพัง ยามนั้นเจ้าของสินค้ารวมถึงครอบครัวของลูกเรือต่างกดดันเขายิ่งนัก มีบางคนกล่อมให้เขาเปลี่ยนชื่อแซ่หนีหนี้สินไปเสีย แต่จ้งอิงกล่าวว่าข้าดำรงตนอย่างสัตย์ซื่อ หากวันนี้หลบหนี วันหน้าลูกหลานคงไม่มีหน้าพบเจอผู้คน เขาเอาทรัพย์สินทั้งหมดชดใช้ ต่อมาจ้งอิงมาตั้งหลักใหม่ที่ตงไห่และรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง ยามพ่อค้าวาณิชเจรจาราคา เขามักเอ่ยราคาเดียวเป็นเด็ดขาด ทุกคนต่างเลื่อมใสความน่าเชื่อถือของเขา
…พงศาวดารต้ายง บทตำนานวาณิช
หลินปี้ฟังหลินถงเล่าเรื่องจบก็เอ่ยปลอบ “ถงเอ๋อร์ เจ้ามิต้องเสียดาย ไห่อู๋หยาเป็นผู้มีอิทธิพลในปินโจว การได้พบหน้าเขาย่อมเป็นเรื่องดี แต่เห็นชัดว่าคนผู้นี้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตงไห่โหว เพียงโน้มน้าวเขาไม่มีประโยชน์ หากตงไห่โหวไม่พยักหน้า ผู้ใดก็ตัดสินใจมิได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราสืบจนรู้ชัดแล้ว หากคิดจะเกลี้ยกล่อมไห่อู๋หยา มิสู้โน้มน้าวไห่หลีหลานชายของเขาจะได้ผลกว่ามาก
ไห่อู๋หยาจนบัดนี้ก็ยังไม่แต่งงาน สองปีกว่าก่อนหน้านี้ หลานชายของเขาไห่หลีเดินทางจากหนานฉู่มาพึ่งพิง จนวันนี้กลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของเขา พวกเราส่งคนไปสืบแล้ว เมื่อหลายปีก่อนตระกูลไห่เคยย่อยยับชั่วข้ามคืนเพราะน้ำท่วม หลานชายของเขาคนนี้ระหกระเหินเร่ร่อนลำพังอยู่หนานฉู่มาหลายปี เคยทำมาแล้วแทบทุกสิ่ง จนกระทั่งสองปีก่อน ไห่หลีผู้นี้มิทราบล่วงรู้จากที่ใดว่าไห่อู๋หยาเป็นท่านอาของเขา จึงเดินทางไกลพันลี้มาพึ่งพิงญาติ
ไห่อู๋หยาเป็นผู้ใจกว้างอย่างที่สุด เขาไม่คิดแค้นการทะเลาะเบาะแว้งของพี่น้องในอดีตแม้แต่น้อย และรับหลานชายผู้นี้มาดูแล ไห่หลีผู้นี้แม้อายุน้อยแต่ความคิดละเอียดอ่อน เฉลียวฉลาดเหนือผู้คน กิจการของไห่อู๋หยา เขาเป็นผู้ดูแลอยู่มากกว่าเจ็ดส่วน คิดจะกีดกันต้ายงอย่างสิ้นเชิง ข้าคิดว่าคงไม่มีหวังแล้ว แต่หากเกลี้ยกล่อมไห่หลีให้เข้าข้างพวกเราได้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จะได้ผลประโยชน์มากมาย”
หลินถงฟังแล้วก็อดไม่อยู่ คิดในใจว่าในเมื่อไห่อู๋หยามีหลานชายเพียงคนเดียว ถ้าเช่นนั้นเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นคือผู้ใดกัน ไห่อู๋หยาจึงตามใจเช่นนั้น ฐานะของนางจักต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
แต่นางก็ทราบว่าคำถามนี้ ถามไปก็คงมิได้คำตอบ จึงถามว่า “ท่านพี่ ยังมีอีกเรื่องนี้ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านระวังหวังจี้ยิ่งนัก ไม่เหมือนการกระทำยามปกติของท่านสักนิด”
หลินปี้ถอนหายใจแผ่วเบา “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าข้ากับถิงเฟยต้องการชักชวนหวังจี้มาทำงานจริงหรือ”
หลินถงตกตะลึง ถามขึ้นว่า “อะไรกัน พวกท่าน?”
หลินปี้หัวเราะ “ข้ากับถิงเฟยสงสัยตัวตนนายท่านของเขา หวังจี้คนนี้ไม่เพียงวิชายิงธนูบนหลังม้าเป็นเลิศ วาทศิลป์ค่อนข้างดี แล้วยังมีความสามารถในการดูม้าและรักษาอาชาอีก สิ่งที่หายากยิ่งกว่าก็คือบุคลิกของเขา แม้เผชิญหน้ากับผู้มีฐานะเช่นข้ากับถิงเฟยก็ยังวางตัวได้เหมาะสม ตลอดทางที่ผ่านมาข้าเห็นเขาคุ้นเคยกับขุนเขาลำน้ำและภูมิประเทศยิ่งนัก คนเช่นนี้ มิว่าอยู่ที่ใดล้วนไม่มีทางถูกคนมองข้าม เขากล่าวว่าเขาเคยอยู่หนานฉู่กับต้ายงมานาน เหตุใดกลับไม่ได้เข้าร่วมกองทัพหรือถูกคนชักชวนเป็นพรรคพวก”
หลินถงแย้งว่า “เขาเป็นหมอรักษาสัตว์ บางทีอาจมิชอบเข้าร่วมกองทัพ หรือเป็นลูกน้องผู้อื่นกระมัง”
หลินปี้กล่าวอีกว่า “ตลอดทางพวกเราเร่งเดินทางจนแทบเหมือนการเดินทัพ แต่เขาไม่เพียงไม่มีสีหน้าเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย แต่ยังมักจะเล่าเรื่องตลกกับสิ่งที่เคยพบเจอให้เจ้าเบิกบานใจอยู่บ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคิดว่าเขาเองก็มิใช่ว่าจะไม่คุ้นกับเรื่องในกองทัพ เห็นชัดว่าเขาเคยเข้าร่วมกองทัพมาก่อน เคยได้รับการฝึกฝนด้านนี้มา น้องเล็ก ตัวตนของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา”
หลินถงสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว แล้วจึงลุกพรวดจะเดินออกไป หลินปี้พลันรั้งนางไว้แล้วถามว่า “เจ้าจะไปทำสิ่งใด”
หลินถงเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าจะไปถามเขาว่าเหตุใดต้องมาเป็นสายลับ เหตุใดต้องหลอกลวงข้า…กับท่านพี่”
หลินปี้ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าเขาเองก็คงมิได้ตั้งใจจะหลอกลวงเจ้า ระหว่างทางมาเขามิได้จงใจใกล้ชิดกับเจ้าเป็นพิเศษ แล้วก็มิได้สืบข่าวการทหารอย่างไร ข้าคิดว่าเรื่องที่เขาพบเจ้าเป็นเรื่องบังเอิญ เขา น่าจะไม่ได้ตั้งใจมาเป็นสายลับ ข้าเพียงบอกว่าตัวตนของเขาต้องมีปัญหาบางประการแน่ก็เท่านั้น เจ้า เจ้าก็เห็นว่าเขายกย่องนายท่านผู้มีพระคุณของตนยิ่งนัก น้องเล็ก คนเช่นไรจึงจะมีบ่าวเช่นนี้ได้ เจ้าเคยคิดหรือไม่”
หลินถงนิ่งอึ้งอยู่เนิ่นนาน แล้วย้อนนึกทุกประโยคที่หวังจี้เคยกล่าว หลังจากนั้นในสมองของนางก็ปรากฏภาพยามหวังจี้เอ่ยถึงเจียงเจ๋อผู้นั้น ดวงตาของเขามิว่าอย่างไรก็เก็บซ่อนประกายไม่มิด จึงเอ่ยอย่างอึกอัก “ท่านพี่ ท่านคงไม่คิดว่า คิดว่า นายท่านของเขาคือคนผู้นั้นกระมัง”
หลินปี้ยิ้มละไมตอบ “เดิมทีข้าคงไม่เดาอย่างไร้หลักฐานเช่นนี้ แต่นายท่านของเขาดันอยู่ที่ตงไห่ นี่ยิ่งชักนำความสงสัยของพวกเรา แรกเริ่มหลังจากเจียงเจ๋อถอนตัวไปหลบซ่อน มีผู้ใดในใต้หล้ามิต้องการทราบที่อยู่ของเขา คนเช่นนี้ หากไม่ควบคุมเขาไว้ในมือก็ไม่มีผู้ใดวางใจได้
เมื่อลองคิดดูให้ดี เจียงเจ๋อมิใช่คนธรรมดา เขาเป็นกุนซือคนสนิทของยงอ๋อง แล้วยังพาองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อแห่งต้ายงมาด้วยอีก แม้องค์หญิงฉางเล่อเดิมเป็นพระมเหสีแห่งหนานฉู่ แต่เมื่อคิดถึงการกระทำของเจียงเจ๋อ เขาคงไปหนานฉู่มิได้ แคว้นสู่วันนี้ถูกหนานฉู่กับต้ายงฉีกแบ่งกัน แล้วเขายังเป็นคนบีบเจ้าแคว้นสู่จนสิ้นพระชนม์อีก หากเขาเป็นคนฉลาด ชาตินี้ทั้งชาติดีที่สุดอย่าไปเหยียบสู่จงอีก
แล้วตอนนี้สถานการณ์ที่สู่งจงก็ไม่มั่นคงนัก กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วปลุกระดมว่าจะต่อสู้เพื่อฟื้นฟูแว่นแคว้น เดินทางไปมาในสู่จงกันอย่างอิสระ หากเขาอยู่ต้ายง แผ่นดินใต้ผืนฟ้า มีที่ใดมิใช่ของจักรพรรดิ น่ากลัวว่าคงหลบไม่พ้นหูตาของทางการต้ายง หากมาเป่ยฮั่น เขาจะไม่กลัวพวกเราจับตัวเขาไว้หรือ
ใต้หล้ากว้างใหญ่เช่นนี้แต่มีเพียงสถานที่เดียวซึ่งเขาจะซ่อนตัวได้ นั่นก็คือดินแดนที่แยกตัวเป็นอิสระของตงไห่โหว แม้ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตงไห่โหวกับต้ายงจะเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่กลับไปอยู่ใต้อาณัติของต้ายง เจียงหย่งนิสัยดื้อรั้น เกรงว่าก่อนหลี่หยวนสิ้นพระชนม์ เขาคงไม่มีทางยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง
ยิ่งไปกว่านั้น จากข่าวสารที่พวกเราได้รับมา เจียงไห่เทาบุตรชายของตงไห่โหวเคยต้องพิษ เจียงเจ๋อเป็นผู้รักษาให้หายดี เจ้าว่าตงไห่มิใช่สถานที่ดีที่สุดสำหรับให้เจียงเจ๋อหลบเร้นอาศัยหรือ ตงไห่โหวย่อมต้อนรับเขาดั่งแขกสำคัญ และด้วยเหตุนี้ ต้ายงก็มิต้องกังวลว่าเขาจะถูกแคว้นอื่นใช้งาน
แต่ด้วยตงไห่กว้างใหญ่ และการรบบนผืนทะเลก็มิใช่ทางถนัดของพวกเราเป่ยฮั่น ยิ่งกว่านั้นแม้เจียงเจ๋อจะร้ายกาจ แต่ข้ากับถิงเฟยหาหวาดกลัวเขาไม่ พวกเราจึงปล่อยเรื่องนี้ไป ครั้งนี้พอพบหวังจี้ ข้าจึงเดาว่านายท่านของเขาน่าจะเป็นเจียงเจ๋อ ถงเอ๋อร์ เจ้าว่าหากเจียงเจ๋อตายอยู่ที่ตงไห่ จะเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
แม้หลินถงจะเยาว์วัย น้อยครั้งนักที่ได้เข้าร่วมวางกลศึก ทว่านับแต่เล็กได้ยินได้ฟังบ่อยเข้าย่อมซึมซับมาบ้าง ดังนั้นนางครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็อุทานอย่างตกตะลึง “น่ากลัวว่าจักรพรรดิต้ายงจะพิโรธหนัก ระหว่างตงไห่กับต้ายงจะกลายเป็นศัตรู เพราะไม่ว่าอย่างไรเจียงเจ๋อก็ตายที่ตงไห่”
หลินปี้เอ่ยด้วยท่วงท่าผ่อนคลายแต่สง่างาม “เรื่องนี้ยังมิใช่เรื่องใหญ่ หลี่จื้อจักรพรรดิแห่งต้ายงเป็นผู้ชาญฉลาด ช้าเร็วย่อมเข้าใจว่าตงไห่โหวเป็นผู้บริสุทธิ์ แม้พานโกรธแต่คงไม่ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายเปลี่ยนแปลงเพราะเหตุนี้ ตงไห่จะสวามิภักดิ์ต่อต้ายงเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น แต่หลี่จื้อย่อมขบคิดหาวิธีไล่ล่าผู้ร้ายที่ลอบสังหารเจียงเจ๋อแน่นอน เป่ยฮั่นของพวกเรากับหนานฉู่ย่อมเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุด ถึงเวลาหากพวกเราประกาศออกไปว่าพวกเราเป็นคนทำ หลี่จื้อคงออกคำสั่งให้ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนบุกโจมตีเป่ยฮั่นทันที
แม้หลี่เสี่ยนจะมีทหารและแม่ทัพมากมาย แต่ยามนี้ระหว่างเจ้าแผ่นดินกับขุนนางมีรอยบาดหมางกันอยู่ เมื่อแม่ทัพแคลงใจ พวกเราเป่ยฮั่นย่อมได้ชัยครั้งใหญ่ บุกรวดเดียวเข้าทางเหนือของต้ายง ยึดครองความได้เปรียบ ให้อีกหลายปีนับจากนี้ต้ายงไม่มีกำลังต่อสู้คะคานกับพวกเราได้อีก มิหนำซ้ำหนานฉู่ก็ใช้โอกาสนี้ก่อเรื่องได้ด้วย ถงเอ๋อร์ ถึงเวลาพวกเราก็มิต้องกังวลทุกวี่วันว่าแคว้นจะล่มสลายแล้ว”
หลินถงเห็นพี่สาวสีหน้าเปล่งประกาย ในใจพลันมีความยินดีปะปนกับความเศร้าใจ นางย่อมทราบว่าหลายปีที่ผ่านมา บิดา พี่สาวกับพี่เขยกังวลเรื่องแว่นแคว้นอยู่ทุกคืนวัน หากทำให้ความปรารถนาในใจพี่สาวสำเร็จได้ย่อมดีที่สุด แต่ไม่รู้เหตุใด เมื่อหลินถงนึกถึงเรื่องราวของเจียงเจ๋อที่หวังจี้เล่าให้ฟัง นางก็ทนมองคนผู้นั้นตายจากการลอบสังหารมิได้
หลินปี้คล้ายเข้าใจความรู้สึกของนาง จึงกุมมือนางไว้แล้วเอ่ยว่า “ถงเอ๋อร์ ยามนี้เจ้าเข้าวัยปักปิ่นแล้ว พี่สาวหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ มิใช่พี่สาวชมชอบการทำเช่นนี้ แต่สองแคว้นทำศึกกัน ผู้ใดมิใช้สารพัดเล่ห์กลบ้าง เรื่องเช่นนี้จะยอมให้มีความเห็นใจแม้แต่น้อยมิได้ พี่น้องของพวกเราล้วนเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญดุดัน แต่ดันไม่มีสักคนเป็นแม่ทัพผู้บัญชาศึกได้
แม้เจ้าเยาว์วัยซุกซน แต่ข้ารู้ว่าสติปัญญาของเจ้ามิด้อยกว่าพี่ ถงเอ๋อร์ เจ้าต้องขยันหมั่นเพียร ผ่านไปอีกสองสามปี เมื่อเจ้ารับผิดชอบภาระใหญ่ได้แล้ว พี่จะได้วางใจติดตามพี่เขยเจ้าออกศึกจากเหนือจรดใต้”
หลินถงอึ้งครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็น้ำตาร่วง กอดหลินปี้แล้วร่ำไห้เอ่ยว่า “ท่านพี่ พวกเราไม่ดีเอง มิเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้ท่านยังไม่ได้ตบแต่งกับพี่เขยจนถึงตอนนี้ ท่านพี่ ท่านวางใจเถิด หลังจากนี้ถงเอ๋อร์จะไม่มัวแต่เล่นอีกแล้ว ต่อไปเมื่อถงเอ๋อร์เป็นแม่ทัพใหญ่นำพันทหารหมื่นอาชาปกปักษ์ไต้โจว ท่านกับพี่เขยก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีก”
หลินปี้ปวดใจ นางกอดหลินถงแล้วเอ่ยเสียงเบา “ถงเอ๋อร์ นี่คือโชคชะตา พวกเราตระกูลหลินไม่เคยมีคนไม่จงรักภักดี ในอดีตท่านพ่อกับท่านแม่รักกันมาตั้งแต่ก่อน แต่หลังจากท่านตานำทหารแยกตัวตั้งแว่นแคว้น ท่านพ่อก็ยอมไม่พบหน้าท่านแม่อีกต่อไป แต่ไม่ยอมทรยศเจ้าแผ่นดินราชวงศ์จิ้น ข้าได้ยินท่านอากับท่านลุงทั้งหลายเล่าว่ายามนั้นเจ้าแคว้นองค์ก่อนนำกองทัพใหญ่มาล้อมไต้โจวไว้ ในเมืองเสบียงหมด ยามนั้นเองเจ้าแคว้นองค์ก่อนก็ส่งคนมาแจ้งข่าวท่านพ่อว่าจักรพรรดิจิ้นถูกขับจากบัลลังก์ ท่านพ่อเศร้าโศกแทบสิ้นใจ แม้ท่านจำยอมสวามิภักดิ์ต่อเจ้าแคว้นองค์ก่อนเพื่อทหารและประชาชนไต้โจว แต่ท่านพ่อก็ยังมิยอมเป็นขุนนางของเป่ยฮั่น อ้างว่าเจ็บป่วยรักษาตัว เก็บตัวอยู่ในจวนท่าเดียว
ภายหลังเมื่อคนเถื่อนบุกรุกชายแดน ไต้โจวมีอันตราย เจ้าแคว้นองค์ก่อนมาเชิญด้วยตนเอง ท่านพ่อจึงยอมสวมเกราะออกศึกอีกครั้งเพื่อชาวบ้านตาดำๆ ในบ้านเกิด ต่อมาท่านพ่อจึงกลายเป็นขุนนางของเป่ยฮั่น ผ่านมาเนิ่นนานหลายปี ท่านตากับท่านลุงล้วนเชื่อใจและพึ่งพาตระกูลหลินของพวกเรา มิเคยระแวงแคลงใจ
ถงเอ๋อร์ ตระกูลหลินของพวกเราทนเห็นบ้านเกิดเมืองนอนถูกผู้อื่นยึดครองอีกมิได้แล้ว ในฐานะบุตรีตระกูลหลิน เพื่อเป่ยฮั่น เพื่อตระกูลหลิน ไม่มีสิ่งใดสละมิได้ พี่สาวรู้ว่าเจ้าชอบหวังจี้ผู้นั้นอยู่บ้าง แต่เจ้าจงจำไว้ เขามิใช่คนเป่ยฮั่น ส่วนเจ้าเป็นบุตรีแห่งตระกูลหลิน”
หลินถงสีหน้าซีดเผือด นางไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของพี่สาว นางชอบชายหนุ่มผู้ดูสุขุมอ่อนโยนแต่แฝงความเข้มแข็งเด็ดขาดผู้นั้นจริงๆ นางเคยคิดว่าในเมื่อหวังจี้รับปากพี่เขยจะอยู่ที่เป่ยฮั่นแล้ว ถ้าเช่นนั้นบางทีอาจรั้งเขาไว้ข้างกายได้ แต่ตอนนี้ในที่สุดหลินถงก็เข้าใจ รักแรกอันงดงามพร่างพราวดั่งใบไม้ผลิของนางพลันร่วงหล่นลงกลางสายลมสารทอันหนาวเหน็บ หลังจากนั้นนางก็ได้ยินหลินปี้พูดต่อ “ครั้งนี้ข้าพาคนมาสองกลุ่มทั้งทางลับและทางแจ้ง หากพบร่องรอยของเจียงเจ๋อก็จะสังหารเขาเสีย ดังนั้นจะปล่อยหวังจี้ไปมิได้เด็ดขาด เจ้าจงระวัง อย่าให้เขาส่งข่าวคราวอันใดออกไปได้ ตามติดเขาไว้ต้องหาเจียงเจ๋อพบแน่”
เมื่อหวังจี้ผลักประตูเดินออกมาจากห้อง คิดจะไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ก็พอดีเห็นหลินถงเดินออกมาจากห้องของหลินปี้พอดี เขาคิดจะเอ่ยทักทายนาง แต่กลับส่งเสียงไม่ออก รอบตัวของท่านหญิงน้อยผู้น่ารักซุกซนคนนั้นเปล่งประกายความงดงามออกมาจนในตอนนี้นางดูละม้ายคล้ายหลินปี้อีกคนหนึ่ง สายตาของนางเลื่อนมาจับบนตัวหวังจี้แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มนั้นช่างสว่างไสว แต่หวังจี้กลับรู้สึกหัวใจกระตุก
หลินถงเดินเข้ามาข้างกายเขาแล้วยิ้มละไมเอ่ยว่า “เอ๋ ท่านจะไปรับประทานอาหารด้านหน้าหรือ ข้าก็อยากไปด้านหน้าเหมือนกัน ตรงนั้นจะต้องครึกครื้นมากแน่”
หวังจี้คิดจะเอ่ยตอบ แต่กลับรู้สึกปากคอแห้งผากพูดไม่ออก ท่านหญิงน้อยตรงหน้าผู้นี้แลดูคุ้นเคยแต่ก็แลดูเสมือนคนแปลกหน้า
ตอนต่อไป