ตอนที่ 11 ร่วมล่องนาวา (2)
เดือนเก้า วันที่ยี่สิบเจ็ด ลูกน้องของตงไห่โหวนำทางพวกหลินปี้ขึ้นเรือใหญ่ลำหนึ่ง นั่นเป็นเรือลำใหญ่ที่กิจการเดินเรือตระกูลไห่ตั้งใจเตรียมไว้ต้อนรับแขกผู้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสบนเกาะในความครอบครองของตงไห่โหว เรือสำหรับแขกลำนี้มีเพียงผู้มีฐานะพอสมควรเท่านั้นจึงจะโดยสารได้ หลัวเหิงแม่ทัพคนสนิทของตงไห่โหวเป็นผู้รับผิดชอบต้อนรับแขกเหรื่อ เขายิ้มแย้มแจ่มใสทักทายพูดคุยกับแขกอยู่บนดาดฟ้าเรือ ไม่เหลือเค้านักเชือดแห่งท้องทะเลดังในข่าวลือแม้แต่น้อย
ตอนเพิ่งขึ้นเรือ หลินถงตื่นเต้นยิ่งนัก แต่เมื่อเรือออกจากท่ากลับรู้สึกมึนหัวตาลาย แม้ตัดใจเลิกมองทิวทัศน์ผืนทะเลมิลง แต่ก็ถูกหลินปี้บังคับให้กลับไปพัก หลินปี้กลับยืนอยู่ตรงหัวเรือ ดื่มด่ำกับลมทะเลอ่อนโยนพลางใช้ปลายหางตาสังเกตแขกเหรื่อบนลำเรือ
แขกบนเรือมีมากมายนัก ฐานะก็แตกต่างกันไป แต่เห็นชัดยิ่งว่ามากกว่าครึ่งล้วนเป็นพ่อค้าวาณิช ผู้ที่ได้โดยสารเรือลำนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งหรือเศรษฐีแห่งถิ่นหนึ่งกระมัง
เวลานี้ ด้านหลังพลันมีคนเอ่ยขึ้นว่า “ผู้น้อยไห่จ้งอิง ได้ยินว่าองค์หญิงทรงขึ้นเรือมาด้วยจึงตั้งใจมาคารวะ ขอองค์หญิงโปรดอภัยที่ผู้น้อยล่วงเกิน”
หลินปี้หันกลับไปมองก็เห็นบุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งยืนอยู่นอกวงคุ้มกันของเหล่าองครักษ์ของตน เขามีหน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยน สีผิวถูกแสงแดดย้อมเป็นสีทองแดง ด้านหลังร่างเขามีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งตามมาด้วย หน้าตาเกลี้ยงเกลาสง่างาม สีผิวออกกร้านแดด เห็นชัดว่าเดิมทีสีผิวคงจะขาวผ่องอย่างยิ่ง แต่น่าจะเป็นเพราะตากแดดมาหลายปีจึงกลายเป็นกร้านแดดเช่นนี้ หน้าตาของบุรุษทั้งสองมีเค้าโครงละม้ายกันถึงเจ็ดแปดส่วน เห็นชัดว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
หลินปี้ฉุกคิดในใจแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ก็ท่านไห่อู๋หยากับคุณชายไห่หลีนี่เอง วันนี้ได้พานพบ เป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่ง” พูดพลางก็ให้องครักษ์ปล่อยทั้งสองคนเดินเข้ามา
ไห่อู๋หยายิ้มแย้มเอ่ยว่า “อู๋หยาสองคำนี้เป็นเพียงนามที่ทุกคนมอบให้เท่านั้น เพราะล่วงเกินซ้ำกับนามของท่านตงไห่โหว ตอนนี้จึงมิได้ใช้เท่าไรนัก องค์หญิงเรียกขานผู้น้อยว่าจ้งอิงก็พอ องค์หญิงเสด็จมาเยือนตงไห่ จ้งอิงเดิมสมควรเดินทางไปคารวะ แต่องค์หญิงฐานะสูงศักดิ์ ผู้น้อยมิกล้าเสียมารยาท ขอองค์หญิงโปรดอภัยด้วย”
หลินปี้ยิ้มละไมตอบว่า “ท่านไห่มิต้องเกรงใจ เหตุใดท่านไห่จึงมิไปช่วยตงไห่โหวจัดเตรียมงานมงคลเล่า ความสัมพันธ์เช่นท่านกับท่านโหวน่าจะเดินทางไปช่วยสิ”
ดวงตาของตงไห่โหวทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง “ว่าที่ฮูหยินของท่านโหวน้อยเป็นบุตรีตระกูลเย่ว์จากหนานหมิ่น ผู้แซ่ไห่กับตระกูลเย่ว์มีความแค้นกันมาก่อน มิอยากทำลายบรรยากาศจึงมิได้เดินทางไปช่วยเหลือ” กล่าวถึงตรงนี้ ไห่อู๋หยาก็คล้ายได้สติกลับมา รีบเอ่ยกลบเกลื่อน “งานประมูลสมบัติหายากของผู้แซ่ไห่จะจัดขึ้นเดือนเก้าวันที่สามสิบ มิทราบว่าองค์หญิงสนใจหรือไม่ ครั้งนี้ผู้แซ่ไห่นำสมบัติหายากจากโพ้นทะเลกลับมาจำนวนหนึ่ง บางสิ่งองค์หญิงอาจนึกสนใจ”
ไห่อู๋หยาพูดพลางก็ยื่นมืออกมา ไห่หลีที่ยิ้มแย้มไม่พูดไม่จามาตลอดพลันหยิบเทียบเชิญสีแดงแผ่นหนึ่งส่งให้ไห่อู๋หยา ไห่อู๋หยาส่งเทียบเชิญให้หลินปี้แล้วกล่าวว่า “บนเทียบเชิญมีรายชื่อสมบัติล้ำค่าซึ่งจะนำมาแสดงอยู่จำนวนหนึ่ง หากองค์หญิงสนพระทัย จะไปลองดูสักหน่อยก็ได้”
หลินปี้รับเทียบเชิญมาแต่มิเปิดออกอ่าน นางคลี่ยิ้มตอบว่า “ท่านไห่ช่างทำการค้าเก่งเสียจริง ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่นก็เป็นยักษ์ใหญ่แห่งกิจการเดินเรือเช่นกัน ตงไห่โหวคงคิดหาผู้ร่วมงานเพิ่มกระมัง”
ไห่อู๋หยาดวงตาฉายแววยิ้มหยันจางๆ แล้วตอบว่า “องค์หญิงเข้าพระทัยผิดแล้ว มารดาของท่านโหวน้อยเดิมเป็นคนตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่น การแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงการทำให้ครอบครัวใกล้ชิดกันมากขึ้นก็เท่านั้น”
เวลานี้เอง เสียงหัวเราะของเด็กหญิงตัวน้อยผู้หนึ่งก็ดังมาแต่ไกล “ท่านอาไห่ ท่านอาไห่ ท่านดูสิหลันหลันยิงได้อะไรมา”
หลินปี้มองตามเสียงไปก็เห็นเด็กหญิงตัวน้อยสวมอาภรณ์สีชมพูคนหนึ่งกำลังวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามา มือขวาของนางถือหน้าไม้ประณีตชิ้นหนึ่ง มือซ้ายหิ้วนกทะเลตัวหนึ่งที่ส่วนหัวถูกลูกดอกเล็กจ้อยยิงทะลุ
หลินปี้ลอบส่งสัญญาณไม่ให้องครักษ์เหล่านั้นขัดขวางเด็กหญิง นางพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของไห่อู๋หยาอย่างดีอกดีใจ แล้วชูนกทะเลให้เขาดูประหนึ่งถวายสมบัติ
ไห่อู๋หยาเอ่ยอย่างเอ็นดู “เยี่ยมมาก หากบิดาของเจ้าทราบต้องดีใจมากเป็นแน่ แต่เขาคงจะชอบให้เจ้าทำตัวเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์มากกว่านะ”
เด็กหญิงเอ่ยแย้ง “ไม่มีทางเสียหรอก ท่านพ่อบอกว่าหลันหลันชอบเป็นอย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้น วันหน้าหลันหลันจะตามพี่หลีออกไปดูพวกชาวโพ้นทะเลผมแดงตาเขียว”
ไห่หลีคลี่ยิ้มกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้ามิกล้ารับปาก ผู้ใดมิทราบว่าคุณชายกับฮูหยินดูแลคุณหนูประหนึ่งไข่มุกกลางฝ่ามือ หากข้าพาท่านออกทะเล อย่างมากคุณชายก็คงกักบริเวณท่าน แต่ข้าเกรงว่าคงถูกไล่ออกจากบ้าน”
เด็กหญิงน้อยเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “พี่หลีก็มิกล้าอีกแล้ว ฮือ ฮือ ครั้งก่อนหลันหลันจะฝากคนส่งจดหมายถึงพี่จวิ้นก็ไม่มีใครกล้าสักคน”
ไห่หลีได้ยินเด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยเช่นนี้ หัวใจพลันเย็นวาบ สายตาเหลือบมองหลินปี้อย่างกังวล แต่เห็นนางคล้ายจะไม่สังเกตอันใด เพียงยิ้มแย้มมองเด็กหญิงตัวน้อย เขาจึงวางใจแล้วเอ่ยอย่างขออภัยว่า “องค์หญิง เด็กน้อยซุกซน ขายหน้าท่านแล้ว”
หลินปี้หัวเราะ “มิเป็นไร แม่นางน้อยน่ารักนัก มีนามว่าอันใด คุณชายไห่กับบิดาของนางเป็นนายบ่าวกันหรือ”
ไห่หลียิ้มตอบ “นางมีนามว่าโหรวหลัน เป็นบุตรสาวสุดรักของผู้มีพระคุณของไห่หลี ในอดีตผู้น้อยเร่ร่อนไปทั่ว ได้ผู้มีพระคุณรับไว้เป็นลูกน้อง ต่อมาทราบที่อยู่ของท่านอาจึงเดินทางมาขอพึ่งพิง ไห่หลีได้รับเมตตาจากนายท่านมอบอิสระให้ เพียงแต่บุญคุณเก่าก่อนมิกล้าลืมเลือน จึงยังเรียกขานเช่นนายบ่าว”
หลินปี้มองดวงตาโตแฝงความสงสัยใคร่รู้ของโหรวหลันแล้วยื่นมืออกมาคิดจะอุ้มนาง ไห่หลีรับหน้าไม้กับนกทะเลไปจากมือโหรวหลันเสร็จพอดี สองมือที่ได้อิสระของโหรวหลันจึงคล้องลำคอของหลินปี้อย่างเป็นธรรมชาติ หลินปี้รู้สึกอุ่นซ่านในใจ จึงยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เสี่ยวหลันหลัน เหตุใดท่านพ่อของเจ้ามิอยู่ที่นี่เล่า”
ไห่หลีขมวดคิ้ว กำลังจะแย่งตอบ แต่ถูกองครักษ์นายหนึ่งใช้สายตาเตือน เวลานี้โหรวหลันก็เอ่ยตอบเสียแล้ว “ท่านพ่อมิชอบคนมากมายเช่นนี้ หลันหลันลำบากนักกว่าจะขอท่านแม่จนยอมรับปากให้ท่านอาไห่กับพี่หลีพาหลันหลันไปชมดูเรื่องสนุก”
หลินปี้คลี่ยิ้มอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นหลันหลันแซ่อะไรหรือ”
ดวงตาของโหรวหลันมีประกายบางอย่างแล่นผ่านไป แล้วตอบว่า “เรื่องนี้ หลันหลันก็ไม่รู้ ท่านพ่อก็คือท่านพ่อ หลันหลันก็คือหลันหลัน ท่านอาไห่ ท่านพ่อแซ่อะไรหรือ”
ทุกคนได้ยินล้วนอมยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ เด็กน้อยคนหนึ่งมิรู้จักชื่อแซ่ของบิดามารดาก็เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก หลินปี้จึงได้แต่หัวเราะจบคำถามนี้ไป
หลินปี้มองดูโหรวหลันน้อยวิ่งกระโดดโลดเต้นออกไปไกลแล้วคิดในใจ ‘ข้าอาจสงสัยมากเกินไป เหตุใดพบผู้ใดก็ล้วนคิดว่าเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นกันนะ’
เวลานี้เอง โหรวหลันน้อยก็วิ่งพรวดไปชนกับเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง เด็กชายคนนั้นหน้าตาดูเหมือนอายุไม่ถึงสี่ขวบ แต่กลับสูงกว่ากว่าโหรวหลันเล็กน้อย ตัวหนากว่าอยู่บ้าง เด็กน้อยสองคนชนกัน เด็กชายผู้นั้นเพียงเซนิดหน่อย แต่โหรวหลันก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น
ไห่หลีรีบเดินเข้าไปอุ้มโหรวหลันลุกขึ้น เด็กชายผู้นั้นมองทั้งสองคนอย่างเย็นชาแล้วทำท่าจะหมุนตัวจากไป โหรวหลันพลันตะโกนเสียงดัง “นี่ เจ้าชนข้านะ เหตุใดไม่ขอโทษก็จะไปแล้วเล่า”
ดวงตาของเด็กชายฉายแววดูแคลน แล้วเอ่ยอย่างหยิ่งยโส “เจ้าก็ผิดเหมือนกัน”
โหรวหลันพลันรู้สึกว่าในสมองระเบิดดังตูม แม้นางอายุไม่มาก แต่ผู้คนที่พบเจอในยามปกติหากมิมองนางดั่งสมบัติล้ำค่าก็พินอบพิเทา อย่างเลวที่สุดก็ชอบนางอยู่บ้าง มิเคยมีผู้ใดไร้มารยาทเช่นนี้กับนางมาก่อน มิรู้เหตุใดดวงตาของนางจึงเริ่มแดงระเรื่อ กระโดดลุกขึ้นมาคว้าเสื้อของเด็กชายเอาไว้ “ขอโทษข้าเดี๋ยวนี้”
แรกเริ่มเด็กชายคิดจะสลัดให้หลุด แต่เมื่อเห็นดวงตาน้ำตาปริ่มสองข้างของโหรวหลัน มือไม้ก็อ่อนลงอย่างช่วยมิได้ กระนั้นก็ยังเอ่ยอย่างปากแข็ง “เจ้าก็ผิดเหมือนกัน”
โหรวหลันกลอกตาแล้วปล่อยมือ “ข้าผิดเอง มิสมควรวิ่งมั่ว ขอโทษด้วย”
เด็กชายตะลึง แต่ยังมิทันตอบสนอง โหรวหลันก็ยกมือสองข้างเท้าสะเอวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอโทษแล้ว ถึงตาเจ้า”
ครานี้เด็กชายตะลึงไปจริงๆ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างอึ้งๆ “ข้าผิดเอง”
ตอนนี้โหรวหลันจึงเปลี่ยนน้ำตาเป็นเสียงหัวเราะแล้วแสดงสีหน้าพออกพอใจ เวลานี้เองเสียงหัวเราะกังวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เยี่ยมมาก หลินเอ๋อร์ หายากนักที่จะเห็นเจ้าเอ่ยปากขอโทษ”
เด็กชายหน้าแดง ก้มหน้าเดินไปหลบหลังบุรุษผู้สวมอาภรณ์งดงามคนหนึ่ง บุรุษผู้นั้นอายุสามสิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ดวงตาดำขลับแผ่ประกายเย็นยะเยือก แม้เขากำลังเอ่ยหยอกล้อ ทว่าดวงตากลับมิปรากฏความรื่นเริงให้เห็น รอบตัวบุรุษผู้นี้มีกลิ่นอายความโหดเหี้ยมอำมหิตแผ่ออกมาทั่วร่าง แต่ท่วงท่ากิริยากลับสุขุมสง่างาม บุรุษผู้นี้คล้ายเสือดาวที่ฉากหน้าแสร้งทำเป็นเชื่อง ชวนให้ผู้คนกังวลว่าเขาอาจทลายกรงออกมาฉีกอกศัตรูได้ตลอดเวลา
เด็กชายมองบุรุษผู้นั้นด้วยแววตาเทิดทูน แต่บุรุษผู้นั้นไม่มองเขา กลับหันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยสายตานิ่งเรียบ ดวงตาของเด็กชายฉายแววผิดหวังก่อนจะก้มหน้าลง
ความระแวดระวังผุดขึ้นในใจหลินปี้ บุรุษผู้นี้ต้องเป็นคนอันตรายแน่นอน เมื่อสายตาเขาจับบนร่างหลินปี้ ดวงตาก็ฉายแววตาขบขัน ใจหลินปี้หนาววูบ นางขยับเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า นางมิยินดีก้มหัวต่อหน้าผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษผู้น่าจะเป็นศัตรูมิใช่มิตรคนนี้
บุรุษผู้นั้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเฉย “องค์หญิงจยาผิง พบกันครั้งแรก ได้ยินชื่อเสียงมิสู้พบหน้าจริงๆ”
หลินปี้ดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องจะเดินทางออกจากกองทัพ หลินปี้ประหลาดใจยิ่งนักจริงๆ”
บุรุษผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง “บำเพ็ญบุญสิบปีเพื่อร่วมล่องนาวา เป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก องค์หญิงจยาผิงเป็นถึงวีรชนในหมู่อิสตรี ปกปักษ์ไต้โจวแทนบิดา คนเถื่อนล้วนกลัวเกรง ข้าปิดบังฐานะเดินทางมาถึงตงไห่ก็หวังอยู่ว่าจะมีโอกาสพบหน้าองค์หญิงสักครั้ง วันนี้ได้พานพบ ชั่วชีวิตมิเสียดายแล้ว แม้หลงถิงเฟยเก่งกาจ ข้าก็หาสนใจไม่ แต่เขามีว่าที่ฮูหยินเช่นท่าน กลับทำให้ข้าอิจฉานัก”
หลินปี้เห็นเขาพูดจาฟังดูเจ้าชู้ แต่สีหน้ากลับแฝงแววเศร้าหมอง จึงนึกขึ้นมาได้ว่าบุรุษผู้นี้เดิมมีชื่อเสียงว่าเป็นบุรุษเสเพล ทว่าสองปีก่อนหลังเกิดเรื่องผลิกพันในชีวิตครั้งใหญ่ เขาไม่เพียงปลดอนุภรรยากับนางบำเรอแทบจะหมดจวน แต่นับจากนั้นก็ยังมิเข้าใกล้สตรีด้วย เขารักภรรยาผู้ตายจากลึกล้ำเช่นนี้ ทำให้หลินปี้บังเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมาอย่างช่วยมิได้
หลินปี้ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงมาตงไห่ได้เล่า ได้ยินว่าราชทูตจากแคว้นท่านครั้งนี้คือชิ่งอ๋องหลี่คังมิใช่หรือ”
บุรุษผู้นั้นสีหน้าหม่นหมองลง ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้ากับตงไห่โหวเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ครั้งนี้หลานชายสมรส ข้าจึงมาร่วมแสดงความยินดีเป็นการส่วนตัว ชื่อจี้ เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่ นายของเจ้าเล่า”
…………..
ตอนต่อไป