ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 12 เป็นตายมิอาฆาตแค้น (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตอนที่ 12 เป็นตายมิอาฆาตแค้น (1)

รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสี่ จ้งอิงกำลังระทดท้อใจอยู่ในนครฉางอัน วันหนึ่งมีคนแซ่หานมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน มอบเงินทองมากมายชดใช้หนี้ของเขา ไม่นานจ้งอิงก็ออกเดินทางสู่ปินโจว ก่อตั้งกิจการเดินเรือตระกูลไห่ รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้า ตระกูลไห่ได้รับเงินทุนก้อนใหญ่ก่อสร้างเรือยักษ์ออกเดินทางสู่โพ้นทะเล ท่องข้ามสมุทรหมื่นลี้จนได้ฉายาอู๋หยา
…พงศาวดารต้ายง บทตำนานวาณิช
ชื่อจี้เกือบจะอุทานคำด่าออกมาแล้ว เขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าฉีอ๋องจะเอ่ยปากพูดกับตน ต่อให้เป็นคนโง่ เมื่อเห็นตนกับพวกหลินปี้มาด้วยกันย่อมไม่มีทางบุ่มบ่ามเอ่ยชื่อตนออกมา ถึงแม้เขาจะประหลาดใจที่ฉีอ๋องยังจำชื่อตนได้ก็ตาม เพราะอดีตพวกเขาเคยพบหน้ากันยามเจียงเจ๋อรักษาอาการบาดเจ็บให้ฉีอ๋องที่หนานฉู่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ระหว่างที่ในใจผรุสวาทหยาบคาย ชื่อจี้ก็ฉีกยิ้มอย่างไร้ความจริงใจ “ทูลท่านอ๋อง ผู้น้อยถูกนายท่านปล่อยให้เป็นอิสระนานแล้ว คราวนี้เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีที่ตงไห่ หากท่านอ๋องต้องการ ผู้น้อยยินดีนำไปพบ”
หลี่เสี่ยนรับ “อืม” คำหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉย “นิสัยนายท่านของเจ้าออกจะประหลาดเกินไปหน่อยแล้ว มีลาภยศสรรเสริญให้ดื่มด่ำไม่เอา ดันชอบหาเรื่องลำบากให้ตัวเอง” สิ้นเสียงก็หัวเราะกล่าวต่อ “องค์หญิงปี้ แม้แคว้นท่านกับข้าจะเป็นศัตรูกัน แต่ที่แห่งนี้คือตงไห่ ข้ามิอยากก่อเรื่องให้ยุ่งยาก ยากจะสลัดภารกิจของกองทัพได้สักครั้ง ข้าคิดว่าองค์หญิงคงไม่เมินเฉยผู้อื่น ข้าอยากเชื้อเชิญองค์หญิงไปร่วมชื่นชมทิวทัศน์ทะเลด้วยกัน มิทราบจะได้รับเกียรตินี้หรือไม่”
หลินปี้รั้งสายตาที่จับจ้องชื่อจี้กลับมา ดวงตาทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “ได้พบท่านอ๋อง แม้หลินปี้เป็นสตรีก็มิต้องการพลาดโอกาสสนทนา ท่านอ๋อง เชิญ”
หลี่เสี่ยนเผยสีหน้าชื่นชม แล้วเดินไปทางหัวเรือด้วยกันกับหลินปี้ ขณะที่หลี่เสี่ยนเดินผ่านข้างตัวโหรวหลันก็หยุดฝีเท้า แล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “หลินเอ๋อร์ของข้าอายุน้อยกว่าเจ้าสักหน่อย เจ้าจะยอมเล่นเป็นเพื่อนเขาหรือไม่”
ดวงตาของโหรวหลันฉายแววงุนงง แต่นางก็เอ่ยกับคนแปลกหน้าที่เหมือนเคยรู้จักกันผู้นี้ว่า “ก็ได้ แต่ข้าเป็นพี่สาวนะ ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง ข้าจะสั่งสอนเขา”
หลี่เสี่ยนหัวเราะฮ่าๆ ดวงตาปรากฏรอยยิ้มที่แท้จริงเป็นครั้งแรก แล้วตอบว่า “ได้สิ หลินเอ๋อร์ เจ้าต้องเชื่อฟังล่ะ หากเจ้าไม่เชื่อฟังนาง นางจะสั่งสอนเจ้าแทนข้า” กล่าวจบก็เดินเคียงกับหลินปี้ไปยังหัวเรือ องครักษ์สองนายคอยกันผู้คนบนเรือออกห่างพวกเขา เพื่อมิให้คนไม่เกี่ยวข้องได้ยินบทสนทนา
โหรวหลันเอ่ยกับหลี่หลินอย่างลำพองใจ “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ท่านพ่อเจ้าบอกแล้วว่าจะให้เจ้าเป็นน้องชายของข้า ดีเหลือเกิน น้องเล็กของข้ายังเดินไม่ได้ ข้ายังสั่งสอนเขาไม่ได้ ก็ลองสั่งสอนเจ้าก่อนแล้วกัน”
ในที่สุดหลี่หลินก็แสดงสีหน้ากลัดกลุ้มออกมา เวลานี้สีหน้าของเขาค่อยดูเหมือนเด็กน้อยจริงๆ คนหนึ่ง แต่ไม่ทันไรโหรวหลันก็ลากเขาวิ่งไปด้านหลังเสียแล้ว เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเหมือนพบของเล่นชิ้นใหม่
หลี่เสี่ยนมองมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่เชื่อมจรดกับผืนนภา แล้วทำท่าจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป หลินปี้เกี่ยวเส้นผมเงางามแผ่วเบาแล้วเอ่ยปากว่า “เหตุใดฉีอ๋องมิเอ่ยวาจาเล่า คิดว่าท่านอ๋องคงมีเรื่องสำคัญยิ่งต้องการสนทนาเป็นการลับกับข้ากระมัง ข้ามิกลัวคนครหา มาพบหน้ากับท่านด้วยจริงใจ เหตุใดท่านอ๋องจึงสำรวมขึ้นมาเสียได้”
ทันใดนั้นหลี่เสี่ยนก็ขยับยิ้ม หลินปี้งงงัน ฉับพลันก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของนางมีความหมายกำกวมไปในเชิงชู้สาวอยู่เล็กน้อย ใบหน้าพลันแดงระเรื่อ “หากท่านอ๋องมิยอมสนทนาเรื่องสำคัญ หลินปี้คงต้องขอตัวลาแล้ว”
หลี่เสี่ยนเอ่ยเสียงราบเรียบ “การเดินทางครั้งนี้องค์หญิงคงแบกรับภารกิจสำคัญมา แต่มิทราบองค์หญิงเคยขบคิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่”
หลินปี้สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างเย็นชา “มิทราบคำพูดนี้ของท่านอ๋องต้องการชี้แนะสิ่งใด ข้าได้รับบัญชาให้มาเป็นทูตยังตงไห่ มิทราบจะมีผลลัพธ์ใดตามมาได้ หรือว่าตงไห่อยู่ในปกครองของต้ายง ผู้อื่นเข้ามาแตะต้องมิได้หรือ”
หลี่เสี่ยนถอนหายใจ “ข้ามิเคยชอบเรื่องวุ่นวาย องค์หญิงมาเป็นทูตยังตงไห่ด้วยเรื่องงาน ส่วนข้าเดินทางมาร่วมงานมงคลด้วยเรื่องส่วนตัว ดังนั้นมิว่าองค์หญิงต้องการทำสิ่งใด ข้าล้วนคร้านจะสนใจ ทว่าการเดินทางครานี้องค์หญิงมีคนติดตามมาไม่น้อย ข้าได้ข่าวลับมาว่าศิษย์หลายคนของประมุขพรรคมารจิงอู๋จี๋ซึ่งเดิมสมควรรั้งอยู่ข้างกายแม่ทัพหลงปกป้องเขา หลายวันนี้กลับหายไปไม่เห็นร่องรอย เดิมทีข้าคิดว่าแม่ทัพหลงเป็นห่วงความปลอดภัยขององค์หญิงจึงให้พวกเขาติดตามมาคุ้มกัน แต่ดูจากวันนี้แล้ว ข้างกายขององค์หญิงกลับไม่มีพวกเขาเหล่านี้ คิดว่าคงกำลังคุ้มกันองค์หญิงจากที่ลับ หากมิใช่ว่าองค์หญิงคิดจะทำการบางอย่าง เหตุใดต้องให้พวกเขาซ่อนตัวด้วยเล่า”
หลินปี้ผินหน้าหนีเล็กน้อย มิให้จิตสังหารในดวงตาเปิดเผยออกมา แล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “องค์ชายกังวลเกินไปแล้ว บางทีคนเหล่านี้อาจถูกถิงเฟยส่งไปทำงานอยู่ ไม่แน่ยามนี้พวกเขาอาจกำลังเป็นสายลับอยู่ในเขตต้ายงก็ได้”
หลี่เสี่ยนยิ้มละไมแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อองค์หญิงกล่าวเช่นนี้ ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด ในนามแล้วปินโจวเป็นของต้ายง แต่ความจริงถูกตงไห่โหวควบคุมอยู่ ทว่าแม้อำนาจของตงไห่โหวจะไม่น้อย แต่อำนาจส่วนใหญ่ก็อยู่ในทะเล ดังนั้นปินโจวแห่งนี้กลับเป็นสถานที่ซึ่งอำนาจของตงไห่โหวอ่อนแอที่สุด ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดยินดีสิ้นเปลืองกำลังกับแผ่นดินที่อาจเสียไปได้ตลอดเวลา ดังนั้นองค์หญิงจึงกล้าพากำลังคนกลุ่มใหญ่มายังปินโจว แล้วยังมีวิธีการสั่งให้พวกเขาทำได้ทุกสิ่ง บุกตีแล้วถอยหนี อาศัยวิชายิงธนูบนหลังอาชาของยอดฝีมือเป่ยฮั่นย่อมทำให้พวกเขาถอยทัพกลับเขตแคว้นท่านได้ตลอดเวลา ข้าเพียงต้องการเตือนองค์หญิงว่าคนบางคนล่วงเกินได้ คนบางคนดีที่สุดอย่าได้ล่วงเกิน”
ในใจหลินปี้หวั่นไหว ตนมาตงไห่เพื่อทำการใดมีเพียงตนเองที่รู้อยู่ในใจ คนที่เหลือเพียงทำงานตามคำสั่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นตนก็ได้รับคำสั่งมาเพียงว่าให้ ‘ลงมือตามสถานการณ์’ เท่านั้น แต่เหตุใดคำพูดของฉีอ๋องผู้นี้กลับคล้ายล่วงรู้ว่าตนเพ่งเล็งเจียงเจ๋ออยู่ แม้ตนวางแผนการลอบสังหารเจียงเจ๋อเอาไว้แล้ว แต่จะดำเนินการตามแผนก็ต้องมีปัจจัยหลายอย่าง ตนต้องหาที่ซ่อนของเจียงเจ๋อให้พบ แล้วยังต้องมีความมั่นใจอย่างน้อยหกถึงเจ็ดส่วนจึงจะลงมือได้ จนถึงตอนนี้ ตนก็มิกล้าพูดว่าแผนการนี้จักบรรลุผล ตนเองพากำลังคนมาจำนวนมาก แต่เหตุผลมากกว่ากึ่งหนึ่งก็เพื่อรับมือกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายหนานฉู่
หลี่เสี่ยนเห็นหลินปี้เงียบงันก็อดนึกขันในใจไม่ได้ ครั้งนี้ตนเดินทางมาก็เพื่อขอพบคนผู้นั้น เดิมคิดว่าทะเลตงไห่กว้างใหญ่ไพศาล หากมิได้ความช่วยเหลือของตงไห่โหวคงมิอาจได้พบเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึง เมื่อวานคนผู้นั้นกลับส่งคนส่งสารเดินทางมาพบตน คนผู้นั้นวางหูตาไว้ในเมืองปินโจวนับไม่ถ้วน เรื่องใหญ่เรื่องน้อยล้วนล่วงรู้กระจ่างดั่งอยู่บนฝ่ามือ ตนเองมาอย่างฉุกละหุกเช่นนี้ยังหลบไม่พ้นหูตาของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินปี้ผู้ดึงดูดสายตาคน
หลินปี้ต้องการลอบสังหารเจียงเจ๋อ เรื่องนี้หลี่เสี่ยนกลับรู้สึกว่าไม่แปลก ในอดีตเมื่อครั้งเจียงเจ๋อเพิ่งเข้ามาในต้ายงก็มิใช่ถูกสำนักเฟิงอี้กับหนานฉู่ลอบสังหารหรือ บุคคลเช่นนี้ยังมีชีวิตอยู่บนโลกย่อมมีคนมากมายกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป่ยฮั่นกับต้ายงทำศึกกันมานานปี ถือเป็นศัตรูคู่อาฆาต มิว่าพวกเขาคิดทำสิ่งใดล้วนไม่แปลก แล้วเป่ยฮั่นเองก็มีคนมากความสามารถ ไฉนจะคิดไม่ออกว่าเจียงเจ๋อคือคนผู้เดียวที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเสด็จพี่ได้ ตนมิได้มาขอความช่วยเหลือเพราะสถานการณ์ยากลำบากในตอนนี้หรอกหรือ ทว่าหลี่เสี่ยนกลับอยากรู้นักว่าเหตุใดเจียงเจ๋อจึงมิวางกับดักรวบกำจัดยอดฝีมือเป่ยฮั่นให้หมดในรวดเดียว แต่กลับส่งตนมาแหวกหญ้าให้งูตื่น บังคับให้หลินปี้ละทิ้งการลอบสังหาร
เขาเหลือบมองหลินปี้ เห็นแววตาคิดสังหารยังซ่อนเร้นอยู่ แต่มีความหวาดหวั่นคลางแคลงเพิ่มขึ้นมา หลี่เสี่ยนก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงน่าจะเคยเห็นแมงมุมจับเหยื่อ กางใยล้อมฟ้าดิน วางกำลังดักซุ่ม รอเพียงศัตรูก้าวมาติดกับก็ต้องตายแน่มิต้องสงสัย คนที่องค์หญิงหวั่นเกรงอยู่ในใจ สิ่งที่เขาถนัดที่สุดก็คือการวางกับดัก เมื่อท่านคิดจะจัดการกับเขา ท่านก็ตกลงมาในกับดักนานแล้ว ยากจะมีกำลังโต้กลับ เขาอยู่ตงไห่มาเกือบสามปี ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นอาณาเขตของเขานานแล้ว ทุกการกระทำขององค์หญิงล้วนปิดบังเขาไม่ได้”
ในใจหลินปี้หนาววูบ เวลานี้ในที่สุดนางก็เข้าใจกระจ่างแล้วว่าคำเล่าลือเหล่านั้นมิใช่คำลวง การกระทำของตนอยู่ในการคาดการณ์ของคนผู้นั้นตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นฉีอ๋องจะทราบได้เช่นไร ทว่าความสงสัยพลันบังเกิดในหัวใจ
หรือว่าฉีอ๋องกับเจียงเจ๋อจะติดต่อกันอย่างลับๆ มาก่อน ไม่อย่างนั้นเหตุใดฉีอ๋องจึงทราบเรื่องเหล่านี้ ทว่าเหตุใดเจียงเจ๋อผู้นั้นชิงความได้เปรียบไว้ในมือก่อนแล้วชัดๆ แต่ฉีอ๋องกลับมาเตือนตน ทำเช่นนี้จะมิผิดใจกับเจียงเจ๋อหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวสลับซับซ้อน
หลินปี้ฝืนคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอ่องที่ชี้แนะ ข้าเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาวจึงพาลูกน้องมาเพิ่มสักสองสามคนก็เท่านั้น แม้ตงไห่เป็นกลางแต่ก็ใกล้ชิดกับต้ายงขึ้นทุกวัน ท่านอ๋องโปรดอย่าถือโทษที่ข้าเตรียมการป้องกันมากสักหน่อย แต่ข้ากลับแปลกใจ ดูท่าท่านอ๋องจะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าคนผู้นั้นหลบเร้นอยู่ตงไห่ เหตุใดราชสำนักต้ายงกลับปล่อยให้เขาเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกตามใจ คนมากความสามารถเช่นนี้หากมิใช้งานให้ดีไยมิใช่น่าเสียดาย”
ตอนต่อไป