ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 13 เป็นตายมิอาฆาตแค้น (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตอนที่ 13 เป็นตายมิอาฆาตแค้น (2)

หลี่เสี่ยนเห็นจิตสังหารในดวงตาของหลินปี้หดหายไปแล้วจึงตอบอย่างโล่งใจ “องค์หญิงอย่าเสียดายนักเลย หากองค์หญิงได้พบคนผู้นั้นก็จะทราบว่านิสัยของเขาประหลาดจริงๆ ข้าเองก็เพิ่งได้พบคนส่งสารที่เขาส่งมาหลังมาถึงตงไห่แล้ว คนผู้นี้ปกติชอบใช้ชีวิตเกียจคร้านเป็นที่สุด การใหญ่ของบ้านเมืองหลบได้เป็นหลบ ตงไห่กว้างใหญ่ไพศาล ขอเพียงตงไห่โหวปกป้อง แม้เสด็จพี่กับข้าอยากเชิญเขากลับไป เขาก็หลบซ่อนเหมือนมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง สุดท้ายคงหาสถานที่ซ่อนตัวของเขาไม่พบ อีกทั้งเสด็จพ่อก็ยังไม่เปลี่ยนความคิด เสด็จพี่จึงไม่สะดวกออกตามหาอย่างเอิกเกริก
ยิ่งไปกว่านั้น จนวันนี้ตงไห่โหวก็ยังเคืองต้ายงอยู่ในใจ เสด็จพี่ย่อมไม่อยากทำให้เขาโกรธ หากมิใช่ว่าข้าถูกแม่ทัพหลงบีบจนสภาพอเนจอนาถก็คงมิกล้าบุ่มบ่ามเช่นนี้ แม้แต่สถานที่ซ่อนตัวของเขายังมิทราบก็มาขอให้เขาช่วยเหลือ เดิมทีข้าวางแผนว่าจะบีบให้ตงไห่โหวพาไปพบ แต่เพราะได้พึ่งใบบุญจากองค์หญิง ข้าเพิ่งมาถึงตงไห่ก็ได้พบคนส่งสารของเขาเสียแล้ว”
จิตใจของหลินปี้ค่อยๆ สงบลง แต่เดิมการลอบสังหารเจียงเจ๋อก็เป็นงานที่จำใจต้องทำ ในเมื่อถูกคนล่วงรู้แล้วย่อมไม่มีความจำเป็นต้องฝืนทำต่อ มิสู้ไหลตามสถานการณ์ไป บางทีอาจได้ผลประโยชน์มากยิ่งกว่าก็เป็นได้ นางมองหลี่เสี่ยนอย่างสนใจ ในใจคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ สังหารคนผู้นี้บางทีอาจคุ้มกว่า
หลี่เสี่ยนเห็นรอยยิ้มประหลาดของหลินปี้ก็คาดเดาความคิดของนางได้ในทันที เขาหัวเราะลั่น “องค์หญิงอย่าใจเหี้ยมเช่นนี้สิ กล่าวไปแล้ว ข้ากับแม่ทัพหลงต่างก็มีอุดมการณ์คล้ายกัน ได้ต่อสู้ฟาดฟันกันบนสนามรบไยมิใช่เรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งของชีวิต เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายเหล่านั้นต่อให้ผลลัพธ์ดีอีกเท่าใดก็ทิ้งพิษร้ายไว้ไม่จบสิ้น พวกเราเดิมทีเป็นทหารใช้ชีวิตเข้าชิงชัย ไฉนต้องใช้เล่ห์เพทุบายสู้กันนอกสนามรบอีกเล่า เรื่องเหล่านั้นให้พวกขุนนางบุ๋นเหล่านั้นทำไปเถิด องค์หญิงไยมิติดตามแม่ทัพหลงเผชิญหน้าตัดสินเป็นตายกับข้าบนสนามรบ หากรอดย่อมเปรมปรีดิ์ แม้นตายมิเสียดาย”
หลินปี้ฟังแล้วหัวใจฮึกเหิมดั่งคลื่นโถม เดิมทีนางเองก็ปรารถนาเช่นนั้น แต่น่าเสียดายเป่ยฮั่นต่อต้านจงหยวนด้วยกำลังของแคว้นเดียวจึงต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หากยืดเยื้อต่อไป น่ากลัวว่าต่อให้ชนะ แว่นแคว้นก็คงสูญสิ้นกำลัง ยิ่งไปกว่านั้นฉีอ๋องเอาแต่ป้องกัน ปิดเมืองเผานา อยากชนะก็ไร้หนทาง
นางเหลือบมองหลี่เสี่ยน สีหน้าหม่นหมองเฉยชาก่อนหน้านี้ของเขาหายไปสิ้น ดวงหน้ากลับมีชีวิตชีวา รอยยิ้มหยิ่งผยองประหนึ่งดูแคลนทั้งใต้หล้า ในใจนางอดคิดขึ้นมามิได้ว่าได้ต่อสู้ฟาดฟันกับคนเช่นนี้บนสนามรบก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งของชีวิตจริงๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความห้าวหาญพลันผุดพรายในใจของหลินปี้ นางเอ่ยเสียงดัง “เอาสุรามา”
องครักษ์สองนายของหลินปี้ได้ยินคำสั่งก็รีบหยิบถุงบรรจุสุราสองถุงส่งมาให้ หลินปี้ถือไว้เองถุงหนึ่ง แล้วส่งสายตาบอกเจตนาแก่หลี่เสี่ยน หลี่เสี่ยนเข้าใจความนัยจึงรับถุงสุราใบหนึ่งมา
หลินปี้คลี่ยิ้ม “ในนี้คือสุราร้อนแรงชั้นเลิศของเป่ยฮั่น พวกเราชาวไต้โจวมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง หากพบยอดสหายหรือศัตรูผู้น่าเคารพจะเชื้อเชิญเขาร่วมดื่มสุรารสดี หากเป็นสหาย นับจากนี้คบหากันด้วยใจ หากเป็นศัตรู วันหน้าฟาดฟันเอาชีวิตไม่คิดแค้นอีกฝ่าย ท่านอ๋องห้าวหาญเช่นนี้ หากถิงเฟยอยู่ตรงนี้จักต้องเชิญท่านอ๋องร่วมดื่มแน่นอน แม้หลินปี้เป็นสตรี แต่คิดว่าตนมิแพ้บุรุษ ขอเชิญท่านอ๋องร่วมดื่มสุรานี้ด้วยกัน วันหน้าพบพานบนสนามรบ แม้นตายมิอาฆาตแค้น”
ดวงตาหลี่เสี่ยนทอประกาย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ “องค์หญิงเป็นยอดหญิงในหมู่สตรีอย่างแท้จริง พี่หลงช่างมีบุญนัก ดี สุรานี้ ข้าดื่ม” กล่าวจบ หลี่เสี่ยนก็ดึงจุกปิดถุงสุราออกแล้วดื่มคำโต ถุงสุราใบนี้ใส่สุราร้อนแรงไว้ครึ่งชั่ง หลี่เสี่ยนอาศัยความคอแข็งกับกำลังภายในอันลึกล้ำ ดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยง สุราร้อนไหลลงกระเพาะ หลี่เสี่ยนพลันรู้สึกหัวหนักเท้าลอยเล็กน้อย แต่ก็ยังคว่ำถุง แสดงว่าไม่เหลือสักหยด
หลินปี้เห็นแล้วยิ้มละไม ยกถุงสุราดื่มรวดเดียวหมดเฉกเช่นกัน ทว่าใบหน้าเพียงซับสีแดงระเรื่อเท่านั้น นางขับบทกวีเสียงกังวาน “ผ่านทางพบสหายรู้ใจ แม้นวันหน้าชิงชัยใจดุจเดิม” กล่าวจบก็มิเอ่ยคำใดอีก หมุนตัวเดินเข้าไปในตัวเรือ
หลี่เสี่ยนสะท้านในอก รู้สึกว่าบทกวีสองวรรคนี้ของหลินปี้เปิดเผยตรงไปตรงมา แต่กลับแฝงความนัยลึกซึ้ง เขาท่องบทกวีซ้ำไปมา พลางรู้สึกถึงความปรารถนาอันแรงกล้า คาดหวังจะพานพบกันอีกครั้งในห้วงเวลาที่ต้องตัดสินความเป็นความตาย
เวลานี้เอง เสียงตวาดขององครักษ์ก็ดังมาจากด้านหลังหลี่เสี่ยน หลังจากนั้นเสียงนุ่มกังวานก็ดังขึ้น “ไห่หลีขอพบฉีอ๋อง”
หลี่เสี่ยนไม่หันกลับไป เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ให้เขาเข้ามา”
ไห่หลีเดินมาถึงด้านหลังฉีอ๋องก็เอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยไห่หลี ยามอยู่ใต้บัญชาคุณชายมีนามว่าเต้าหลี คารวะองค์ชาย”
หลี่เสี่ยนหันกลับมามองไห่หลี แล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธีแล้ว มีอะไร สุยอวิ๋นเปลี่ยนใจจะยอมพบข้าก่อนกำหนดแล้วหรือ”
เต้าหลีตอบว่า “คุณชายฝากถ้อยคำมาแจ้ง ‘ในเมื่อองค์ชายเสด็จมาตงไห่แล้วก็ไปพบตงไห่โหวสักหน่อยเป็นดี งานฉลองมงคลที่ตงไห่โหวจัดครั้งนี้น่ากลัวว่าคงไม่เป็นไปอย่างราบรื่น องค์ชายอย่าได้พลาดจะดีกว่า’”
หลี่เสี่ยนคลี่ยิ้ม “สุยอวิ๋นช่างทำตัวลึกลับเช่นนี้อยู่เสมอ ก็ได้ ได้พบเขาง่ายๆ เช่นนี้ ข้าย่อมรู้จักพอ แต่ในเมื่องานเลี้ยงฉลองแต่งงานจะเกิดเรื่อง เด็กน้อยสองคนไปร่วมจะไม่อันตรายเกินไปหรือ”
เต้าหลีเอ่ยว่า “องค์ชายโปรดวางพระทัย คุณชายเตรียมการเอาไว้แล้ว ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการทำให้ตงไห่โหวสวามิภักดิ์เป็นขุนนางแห่งต้ายง สองฝ่ายล้วนมีบันไดให้ลง แล้วคุณชายยังบอกอีกว่า ‘วันนี้ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมสรรพสมควรรวบแหจับเหยื่อแล้ว แต่เดิมปินโจวก็เป็นทางเชื่อมกับโลกภายนอกเพียงสายเดียวของเป่ยฮั่น ขอเพียงปิดกั้นที่แห่งนี้ได้ การบุกยึดเป่ยฮั่นขององค์ชายย่อมสำเร็จ โอกาสเช่นนี้ องค์ชายจะพลาดมิได้’”
หลี่เสี่ยนเอ่ยเหมือนคิดอะไรได้ “อะไรกัน สุยอวิ๋นก็รู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้วหรือ แต่ยามนี้คือเวลาที่เป่ยฮั่นรุ่งเรืองที่สุด” เพิ่งเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของเต้าหลี จึงหลุดยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็ลืมสนิทว่าที่แห่งนี้มิใช่ค่ายทหาร เอาละ เจ้าไปแจ้งสุยอวิ๋นว่าข้าตกลง คิดว่าสาสน์ของเสด็จพี่คงมาถึงตงไห่นานแล้วกระมัง”
ฉีอ๋องมองเต้าหลีอีกหนแล้วเอ่ยว่า “สุยอวิ๋นนี่ก็จริงๆ คนมีความสามารถเช่นจ้า ไม่ขอตำแหน่งขุนนางมาให้สักหน่อย ให้ไปเป็นพ่อค้าทำอะไร ลำบากเช่นนี้ไปไยเล่า หากเจ้าปรารถนา ข้าจะเอ่ยปากกับสุยอวิ๋นให้เจ้าไปเป็นขุนนางดีหรือไม่”
เต้าหลีตะลึงครู่หนึ่งก็ตอบว่า “องค์ชายเมตตา ผู้น้อยซาบซึ้งยิ่งนัก แม้วันนี้ผู้น้อยไร้ตำแหน่ง แต่ได้ติดตามเรือสำเภาล่องทะเลหมื่นลี้ไปยังแดนโพ้นทะเลรู้สึกสนุกกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น มีตำแหน่งหรือไม่ล้วนไม่สำคัญอันใดแล้ว อีกทั้งผู้น้อยติดตามคุณชายก็เป็นการทำประโยชน์ให้ต้ายงเช่นกัน มิจำเป็นต้องเป็นขุนนางเท่านั้น”
หลี่เสี่ยนฟังแล้วในใจพลันโล่งอก ฟังจากคำพูดของเต้าหลีผู้นี้ก็ทราบแล้วว่าเจียงเจ๋อมิได้คิดจะนิ่งดูดาย ดูท่าแม้หลายปีนี้เขาจะหลบซ่อนตัว แต่ก็ตระเตรียมการไว้ไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นการเชิญอีกฝ่ายลงจากเขามาขจัดรอยร้าวก็น่าจะไม่มีปัญหา เมื่อคิดว่าความกลัดกลุ้มที่รุมเร้าตนมาหลายปีจะสลายหายไปดั่งหมอกควันได้เสียที หลี่เสี่ยนก็เปรมปรีดิ์จนยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่อยู่
เวลานี้เอง เสียงเพลงไพเราะเสนาะหูของโหรวหลันตัวน้อยก็ดังมาจากไกลๆ “กุมมือล่องเหนือคลื่นชลา สุดนัยนาสมุทรบรรจบฟ้า ดวงใจดุจสำเภาแล่นลิบตา กายาดั่งสำปั้นเบาเหวงโหวง ฟองคลื่นซัดผ่าเงาตะวัน โขดกะรังสะอื้นดังครืนโครม นอกม่านหมอกอ้อยอิ่งเวิ้งว้าง กระสาขาวโฉบร่อนอิสระเสรี”
หลี่เสี่ยนฟังแล้วรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งนัก คิดในใจว่าเพลงที่โหรวหลันร้องต้องเป็นบทกวีใหม่ของเจียงเจ๋อเป็นแน่ ‘กุมมือล่องเหนือคลื่นชลา สุดนัยนาสมุทรบรรจบฟ้า’ เขากับฉางเล่อคงผูกพันกันลึกซึ้ง มีความสุขเหลือคณาเป็นแน่
เขาเงยหน้ามองระลอกคลื่นสีครามดุจผืนกระจกกับก้อนเมฆขาวล่องลอยเอื่อยเฉื่อย ท้องน้ำกับผืนฟ้าสีเดียวกันทำให้ใจสงบโดยมิต้องทำสิ่งใด เขามิกลัวศึกสงครามสนามรบ แต่ชิงชังการแก่งแย่งในราชสำนักสุดหัวใจ ยามนี้คำเล่าลือกระจายทั่วราชสำนักต้ายง ขุนนางมากกว่าครึ่งเพ่งเล็งตนเอง ไม่กล่าวว่าตนจะนำทหารก่อกบฏ ก็กล่าวว่าจักรพรรดิจะชำระหนี้แค้นหลังเสร็จศึก
แม้ในใจตนรู้ดีว่า ต่อให้หลี่จื้อต้องการซ่อนเกาทัณฑ์หลังสิ้นวิหคก็คงไม่ลงมือในเวลานี้ แต่ข่าวลือเช่นนี้ ต่อให้ตัวเขาหลี่เสี่ยนมิเชื่อ หลี่จื้อผู้อยู่ในนครฉางอันก็อาจไม่เชื่อ แต่ขุนนางคนสำคัญในราชสำนักกับแม่ทัพผู้กล้าในกองทัพเหล่านั้นกลับเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง ทำให้ขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอน กองหลังไม่มั่นคง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงถูกหลงถิงเฟยฉวยโอกาส
ครั้งนี้หลังจากเขาทราบข่าวงานมงคลของบุตรชายตงไห่โหวจึงเกิดความคิดอันยอดเยี่ยมขึ้นมา เจียงเจ๋อซ่อนตัวอยู่ตงไห่ เรื่องนี้เขากับหลี่จื้อต่างรู้อยู่แก่ใจ แม้ไม่มีข่าวแน่ชัด แต่ก็แน่ใจอยู่รางๆ คนผู้นี้เก็บตัวเงียบอยู่เกือบสามปี น่าจะแอบขี้เกียจพอแล้วกระมัง เวลานี้หากเขาไม่ออกมาช่วยอีก ไยมิใช่ไร้หัวใจเกินไป มิว่าจะกล่าวเช่นไร ยามนี้เขาก็คือลูกเขยตระกูลหลี่ จะยืนมองพี่น้องทะเลาะเบาะแว้ง ปล่อยให้คนนอกได้ประโยชน์มิได้กระมัง
ตอนต่อไป