ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 14 เป็นตายมิอาฆาตแค้น (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตอนที่ 14 เป็นตายมิอาฆาตแค้น (3)

เวลานี้เองเสียงร้องเพลงติดๆ ขัดๆ ของเด็กผู้ชายก็ดังแว่วมาจากไกลๆ โหรวหลันคงบังคับให้หลินเอ๋อร์ร้องเพลงสินะ แต่ฟังได้เพียงสองวรรค หัวใจของหลี่เสี่ยนพลันรวดร้าวจนหน้าซีดเผือด
“พิราบขาวจับคู่โฉบโผผิน ออกโบยบินสู่ถิ่นอาคเนย์ บ้างสิบบ้างห้าบินร่อนเร่ ฉวัดเฉวียนโย้เย้ไม่เป็นแนว แล้ววันหนึ่งแม่นกเกิดป่วยไข้ ไร้กำลังล่องเวหาคอยตามเคียง ห่างห้าลี้พ่อนกเมียงมองหา หกลี้ไม่เห็นเฝ้าวนเวียน ข้าอยากคาบพาเจ้าไป ชะรอยจงอยปากกลับเล็กเกิน ข้าอยากแบกเจ้าขึ้นหลัง ไฉนปีกหมดสิ้นกำลัง ยามแรกพบช่างสุขล้ำ วันร่ำลาระทมทุรนทุราย เห็นสหายหยอกเย้าเคล้าคลอคู่ น้ำตาพรั่งพรูไหลเป็นสาย ใจสลายโหยหวนกังวานไกล คอยโหยไห้ครางเครือเจือสะอื้น ดวงหทัยร้าวรานอาบโลหิต น้ำตาหลั่งรินเอ่ยคำลา เจ้าโรยราอยู่พายัพ ข้าไยต้องมุ่งอาคเนย์ หวนนึกแก้วตาวันวานเคยเชยชิด ทุกข์ทนหม่นไหม้มิอาจพรรณนา”
เสียงเพลงเศร้าสร้อยนั่นทำให้หลี่เสี่ยนแทบคลุ้มคลั่ง นั่นเป็นบทเพลงแสนเศร้ายามร่ำไห้จนไม่เหลือน้ำตาใต้แสงจันทร์ท่ามกลางกระโจมทหารอันเปล่าเปลี่ยวระหว่างเฝ้าพิทักษ์ชายแดน น้ำตากำลังจะหยดร่วง หลี่เสี่ยนพลันได้สติ เขาเดินไปยังห้องพักด้านหลังก็เห็นหลี่หลินกำลังร้องเพลงอยู่ ใบหน้าเศร้าสร้อยสิ้นหวัง โหรวหลันมองเขาอย่างตกใจ
หลี่เสี่ยนยังไม่ทันเดินเข้าไป โหรวหลันก็ปิดปากหลี่หลินแล้วพูดว่า “ข้าไม่บังคับเจ้าร้องเพลงแล้ว เจ้าร้องเสียเศร้าปานนี้”
หลี่เสี่ยนสะท้านใจ หลี่หลินอายุน้อยเท่านี้จะเข้าใจสิ่งใดเล่า เห็นชัดว่าเขาเห็นสภาพยามปกติของตนจึงเลียนแบบมา ความเสียใจอย่างสุดซึ้งทะลักขึ้นในอก ตนคิดเพียงว่าต้องพาเขามาไว้ข้างกายเพื่อไม่ให้คนไม่ซื่อทำร้ายรังแก แต่คิดไม่ถึงว่าความตรอมตรมของตนจะถูกเด็กคนนี้เห็นทั้งหมด ปกติตนยุ่งอยู่กับการศึก เพื่อปกป้องเด็กคนนี้จึงเลี่ยงไม่ได้ต้องเย็นชากับเขาอยู่บ้าง แล้วพูดจากใจจริง เขาเองก็มิทราบว่าสมควรดูแลเด็กน้อยคนหนึ่งเช่นไร ดูท่าสองปีกว่าที่ผ่านมา คนที่ทุกข์ใจคงมิใช่ตนเพียงคนเดียว ผู้ที่เจ็บปวดทนทุกข์ไร้ทางออกที่สุดคงเป็นหลินเอ๋อร์ผู้สูญเสียมารดาและไม่ได้รับความรักจากบิดาคนนี้
เวลานี้หลี่หลินเห็นบิดาแล้ว เขาหดตัวไปหลบหลังโหรวหลันอย่างไม่รู้ตัว สำหรับเขาแล้ว บิดาเป็นผู้ปกครองที่เด็ดขาดเย็นชา ขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยที่ร่างกายเล็กกว่าตนเองคนนี้ เรือนร่างน้อยอันนุ่มนิ่มและกลิ่นหอมนั่นของนางกลับทำให้หลี่หลินรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปยังวัยเด็กที่เคยมี คลับคล้ายอ้อมกอดของมารดา
หลี่เสี่ยนสาวเท้าเข้าไปหาแล้วอุ้มหลี่หลินขึ้นมา จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “หลินเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว พ่อผิดเอง ครั้งนี้พ่อจะพาเจ้าไปพบท่านน้า เจ้าอยากอยู่กับท่านน้าหรือไม่”
ดวงตาของหลี่หลินฉายแววตื่นตระหนกทันใด “ท่านพ่ออย่าไล่หลินเอ๋อร์” เขาเกาะเสื้อของหลี่เสี่ยนแน่นไม่ยอมปล่อยมือ
หลี่เสี่ยนขยับยิ้ม “เจ้าเด็กโง่คนนี้ พ่อยุ่งกับการทำศึก ไม่มีเวลาดูแลเจ้า ท่านน้าของเจ้าทั้งใจดีและอ่อนโยน นางจะต้องดูแลเจ้าเสมือนบุตรตนเองแน่ แล้วยังมีพี่สาวตัวน้อยคอยเล่นกับเจ้าด้วยนะ”
สายตาหลี่หลินมองไปทางโหรวหลันอย่างสงสัย หลี่เสี่ยนคลี่ยิ้ม “ฉลาด ถูกต้องแล้ว หลังจากนี้เจ้าเรียกนางว่าพี่หลันเถอะ”
ใบหน้าของหลี่หลินปรากฏรอยยิ้มเจิดจ้าอันหาได้ยาก หลี่เสี่ยนเจ็บแปลบในหัวใจ เขากอดบุตรรักแน่น
หลินถงเพิ่งเดินออกจากห้องพักก็เห็นชื่อจี้ยืนนิ่งอยู่ไกลๆ หัวใจนางปวดร้าวขึ้นมาวูบหนึ่ง นางทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้ว ฐานะของคนผู้นี้ถูกเปิดเผยสิ้นแล้ว ต่อให้ตนอยากแสร้งไม่รู้ก็เป็นไปไม่ได้ นางเดินตรงไปด้านนอกเหมือนมองไม่เห็นชื่อจี้ ทันใดนั้นชื่อจี้พลันยื่นมือออกมารั้งแขนนางไว้ หลินถงสีหน้าเย็นยะเยือก เอ่ยว่า “ท่านคิดจะทำอันใด” เสียงของนางไม่ดังมากเพื่อไม่ให้คนอื่นแตกตื่น
ชื่อจี้เอ่ยอย่างขออภัย “ข้ามิได้เจตนาหลอกลวงท่าน”
หลินถงเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านหลอกลวงอันใดข้าเล่า หมอเทวดาปั๋วเล่อ!” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความโกรธเคืองและความเสียใจ
ชื่อจี้เงียบงันครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ข้าไม่เคยเอ่ยโกหกแม้สักคำ เพียงไม่ได้บอกว่าผู้มีพระคุณของข้าคือเจียงเจ๋อหรือเจียงสุยอวิ๋นเท่านั้น อีกอย่างที่รับปากแม่ทัพหลงจะทำงานให้เป่ยฮั่นก็เพราะต้องรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้า ข้ามิได้เจตนาจะอยู่เป่ยฮั่นเพื่อสืบข่าวการทหาร”
หลินถงเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าทราบแล้ว เรื่องนี้ท่านไม่ผิดอันใด สองแคว้นทำศึก ต่างคนต่างทำงานให้นายตนก็เท่านั้น”
ชื่อจี้ถูกสายตาเย็นยะเยือกของนางทิ่มแทงจึงปล่อยมือออกอย่างจำยอม ทั้งที่คิดว่าตนมิได้กระทำผิดประการใดแท้ๆ แต่กลับรู้สึกว่าความละอายทะลักขึ้นมาในอก
หลินถงก้าวไปสองสามก้าวก็หยุดฝีเท้า เอ่ยว่า “ท่านมิได้ทำผิดอันใดต่อข้า เป็นเพราะข้าอารมณ์ร้ายเองจึงพานโทษท่าน หวังจี้ หลังจากนี้ท่านจะติดตามนายบุกตีเป่ยฮั่นของพวกเราหรือไม่”
ชื่อจี้ชะงักวูบหนึ่งก็เอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่”
หลินถงตะลึงครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ท่านน่าจะเหมาะเป็นทหารสอดแนมนะ ท่านคุ้นเคยกับเป่ยฮั่นมากมิใช่หรือ”
ชื่อจี้ตอบเสียงแผ่ว “คุณชายมิเคยบังคับให้พวกเราทำสิ่งใด ใต้หล้ากว้างใหญ่นัก ตัวข้ายังไปทำสิ่งอื่นได้ แล้วอีกอย่าง อีกอย่าง ข้ามิอยากพบท่านบนสนามรบ”
หลินถงหัวเราะ แม้ชื่อจี้มองไม่เห็นรอยยิ้มของนาง แต่ดูจากหัวไหล่ที่สั่นขึ้นลงของนางก็มองออกว่านางคงหัวเราะสุดแรง ทว่าในเสียงหัวเราะกลับแฝงความเศร้าหมองหนักหน่วง ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินถงก็หยุดหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ท่านขี้ขลาดเหลือเกิน เป็นเหมือนพี่สาวข้ากับฉีอ๋องหลี่เสี่ยนดีเพียงไร แม้นับถือกันเป็นสหายก็ยังสัญญาจะพบกันบนสนามรบ เป็นตายมิอาฆาต เป็นตายมิเคืองแค้น หากท่านเดินทางไปทำศึกกับพวกเราแล้วข้าสังหารท่านบนสนามรบ ถึงเวลาข้าย่อมมิคิดแค้นท่าน ส่วนท่านถึงจะเคืองแค้นข้าแล้วจะเป็นอันใด บุรุษผู้ไร้ความห้าวหาญ ข้าหลินถงมิมีวันยั้งมือไว้ไมตรีให้บุรุษขี้ขลาดเช่นท่านเด็ดขาด”
ชื่อจี้มิเอ่ยวาจา ผู้ที่ผ่านการฝึกปรือเป็นสายลับมาอย่างดีเช่นเขามองออกว่าการที่หลินถงกำหมัดแน่นและการที่ตลอดทั้งร่างของนางเกร็งขมึงหมายถึงสิ่งใด แต่เขามิได้ก้าวเข้าไปปลอบโยนนาง เพราะเขาทราบว่าสิ่งที่ขวางระหว่างพวกเขาทั้งสองคือหุบเหวลึกยิ่งนัก แทนที่จะมัวเมากับฝันหวาน มิสู้ตัดความรู้สึกให้เด็ดขาดเช่นนี้จะดีกว่า ดรุณีผู้งดงามดุจเปลวเพลิงผู้นี้ จะเป็นความลับที่ซุกซ่อนลึกสุดก้นบึ้งหัวใจของเขา
เขาเดินออกไปด้านนอกอย่างเงียบงัน วินาทีที่ประตูห้องพักปิดลง เขาพลันได้ยินเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้น แต่เขาอดกลั้นมิหันหลังกลับ เขาอาจไม่อาลัยหนานฉู่ ไม่อาวรณ์ต้ายง แต่บุรุษผู้ลึกล้ำดั่งมหาสมุทร อิสระเสรีราวสายลมคนนั้น คือนายท่านที่เขาไม่มีวันทรยศหักหลัง
มุมหนึ่งบนเกาะเผิงไหลเหนือทะเลตงไห่ จวนขนาดเล็กงดงามเรียบง่ายสะดวกสบายแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในอ่าวเล็กๆ ซึ่งด้านหน้าติดชายฝั่ง ด้านหลังติดขุนเขา มันมีนามว่าจวนจิ้งไห่ แม้จวนกินบริเวณกว้างขวาง แต่อาคารหอศาลาในนั้นมีน้อยนิดไม่กี่หลัง แทรกตัวซ่อนอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี ประหนึ่งแดนเซียน ภายในหอวิจิตรสีแดงหลังน้อยตรงไหล่เขา บุรุษรูปงามในอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งกำลังคัดลายมือ รอยลากอักษรบนกระดาษเซวียนจื่อสีขาวพิสุทธิ์ดั่งเมฆคล้อยสายน้ำไหล ตอนนี้เอง ด้านหลังพลันมีเสียงอ่อนหวานแฝงความกังวลดังขึ้น “หลันเอ๋อร์อายุยังน้อย ท่านวางใจปล่อยให้นางไปสถานที่เช่นนั้น ท่านเป็นบิดามิปวดใจหรือ ข้าคนนี้เป็นมารดายังปวดใจ”
บุรุษชุดเขียววางพู่กันลงพลางมองตัวอักษรที่ตนคัดเสร็จอย่างพึงพอใจ จากนั้นคลี่ยิ้มตอบว่า “กล่าวกันว่ามารดาใจดีมักมีบุตรไม่เอาไหน คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลย เรื่องนี้ท่านมิต้องกังวล ข้าจะไม่ส่งคนไปคุ้มกันหลันเอ๋อร์หรือไร”
ม่านมุกขยับไหว ร่างอ้อนแอ้นอรชรขาวพิสุทธิ์ดั่งแสงจันทร์ร่างหนึ่งก้าวออกมาจากด้านใน เสียงหวานบ่นตำหนิ “ท่านก็ชอบทำตัวลึกลับนัก เอาเถิด ข้าไม่เถียงกับท่านแล้ว หากหลันเอ๋อร์บาดเจ็บที่ใดขึ้นมา ข้าจะไม่ละเว้นท่าน”
บุรุษชุดเขียวหัวเราะลั่น เขาเอื้อมมือโอบสตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นเข้ามาในอ้อมแขน แล้วคลี่ยิ้มเอ่ยตอบ “ได้ หากหลันเอ๋อร์บาดเจ็บที่ใดขึ้นมา ข้าจะให้ท่านลงโทษตามใจ” เขาเงยหน้าขึ้น เผยดวงหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาให้เห็น คนผู้นี้ยากจะบอกอายุ หากดูเพียงหน้าตาน่าจะอายุราวยี่สิบถึงสามสิบปี แต่เส้นผมของเขากลับเป็นสีเทาอ่อน แม้เป็นประกายเงางามมิแพ้คนหนุ่ม แต่มิว่าอย่างไรก็มีร่องรอยของการผ่านวันเวลามาบ้างแล้ว จอนผมสองข้างยิ่งแต้มสีขาวดั่งเกล็ดน้ำค้างแข็ง หากมีคนบอกว่าเขาอายุสี่สิบถึงห้าสิบปีเพราะสิ่งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ แต่สีหน้าและท่าทางของเขากลับสุขุมสงบนิ่งประหนึ่งบึงน้ำกลางขุนเขา ต่อให้กล่าวว่าเขาอายุหกสิบเจ็ดสิบปี ถึงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวบนโลกจนรู้ซึ้งแล้วก็คงไม่มีผู้ใดสงสัย
สตรีอาภรณ์สีขาวผู้นั้นเห็นใบหน้าเขาก็ถอนหายใจแผ่วเบาอย่างอดมิได้ นางอิงแอบในอ้อมแขนเขาอย่างว่าง่ายแล้วไม่พูดคำใดอีก เวลานี้เอง ด้านหลังพลันมีเสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้น ทั้งสองคนจึงยิ้มให้กันแล้วจับจูงมือเดินเข้าไปด้านใน
…………
เพื่อเป็นการตอบแทนนักอ่านที่สนับสนุน Fictionlog เสมอมา
เราขอมอบโค้ดเหรียญทองให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่นักอ่านผู้โชคดีที่เข้ามาอ่านนิยายในตอนนี้
*โค้ดมีจำนวนจำกัด และต้องเติมภายในวันที่ 31 มกราคม 2566

ทั้งนี้ โค้ดเหรียญทองต้องพิมพ์เป็นตัวใหญ่ ไม่มีสัญลักษณ์อื่นนอกจาก – _ และไม่มีเว้นวรรคทั้งหน้าและหลังโค้ด
.
สวัสดีปีใหม่ ขอให้ปีใหม่นี้มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามานะคะทุกคน ^^
ตอนต่อไป