บทที่ 533 ขยานีอยากเจอ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ศรัณย์ชะงักไปแล้วไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ยอมรับ

เมื่อทนายพิศาลเห็นสองพี่น้องแบ่งมรดกกันเรียบร้อยแล้วก็หยิบเครื่องบันทึกเสียงกับสมุดบันทึกออกมา “คุณหญิงวารุณีกับคุณชายศรัณย์ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับว่าจะแบ่งกันแบบนี้”

ศรัณย์เตรียมจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง

เมื่อวารุณีเห็นจึงชิงพูดออกมาก่อน “ตัดสินใจดีแล้วค่ะ”

“ดีครับ เครื่องบันทึกเสียงนี้เป็นหลักฐาน ผมจะแก้ไขพินัยกรรมให้สอดคล้องตามนี้ เมื่อพินัยกรรมฉบับใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองท่านจะไม่สามารถแก้ไขได้อีกแล้ว ขอทั้งสองท่านตัดสินใจให้แน่นอนก่อนครับ” ทนายพิศาลกล่าวย้ำอีกครั้ง

วารุณีพยักหน้า “ตัดสินใจดีแล้วค่ะ”

“ได้ครับ ผมจะรีบจัดการพินัยกรรมฉบับใหม่ให้เรียบร้อยแล้วส่งมาให้ทั้งสองท่านลงนามอีกครั้ง อย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้ว ขอตัวนะครับ”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็หยิบกองเอกสารทั้งหมดแล้วยืนขึ้น

ตอนที่เขายืนขึ้นแล้ว เอกสารแผ่นบนสุดก็ปลิวตกลงมาจากมือของเขามาอยู่บนพื้นตรงหน้าศรัณย์พอดี

ศรัณย์เก็บขึ้นมาแล้วพบว่าแผ่นหน้าเอกสารเขียนชื่อขยานีเอาไว้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเปิดดู “เอ๊ะ นี่คือมรดกที่ให้ขยานีเหรอครับ คุณสุภัทรแบ่งมรดกให้ขยานีด้วยงั้นเหรอ”

เมื่อได้ยินดังนั้น วารุณีก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “ให้ขยานีด้วยเหรอ”

ขยานีโดนตัดสินโทษประหาร มอบมรดกให้เธอจะมีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็ต้องตกเป็นของถวิตและจะกลายเป็นของปวิชไปฟรีๆ อีก

นัทธีคิดว่าสุภัทรไม่ใช่คนเลอะเลือน ขยานีทำกับเขาขนาดนั้น เขายังจะให้มรดกกับขยานีอีกหรือ

“พินัยกรรมฉบับนี้เป็นโมฆะครับ” ทนายพิศาลกล่าวอธิบายออกมาในตอนนั้น

วารุณีเงยหน้ามองเขา “โมฆะ?”

ทนายพิศาลพยักหน้า “ใช่ครับ พินัยกรรมฉบับนี้เป็นฉบับที่นายท่านสุภัทรเขียนเอาไว้ก่อนเข้าโรงพยาบาลครับ”

“เข้าใจแล้ว แสดงว่าฉบับนี้ทำขึ้นตอนที่เขายังไม่รู้ว่าขยานีทำเรื่องราวพวกนั้น” ศรัณย์เบะปากเล็กน้อย “แสดงว่าก่อนที่เขาจะตาย ถ้าเขาไม่รู้ว่าขยานีทำเรื่องพวกนั้น พินัยกรรมฉบับนี้ก็จะไม่เป็นโมฆะงั้นสิ”

ทนายพิศาลพยักหน้าอย่างลำบากใจ “ถูกต้องครับ”

ศรัณย์พ่นลมหายใจ “ให้ขยานีเจ็ดส่วน ให้พวกเราสองพี่น้องสามส่วน ดูแล้วยังไงในใจของเขาขยานีก็สำคัญกว่าพวกเราสองพี่น้อง ถ้าสุดท้ายเขาไม่รู้ว่าขยานีทำผิดต่อเขา เขาคงตัดสินใจไม่แบ่งให้ขยานีแบบนี้หรอก เฮ้อ เจ้าเล่ห์จริงๆ”

ทนายพิศาลทำเป็นว่าไม่ได้ยินและไม่ได้ตอบอะไรออกไป

ที่จริงแล้วในใจเขาเองก็คิดเช่นกันว่านายท่านสุภัทรเป็นคนเจ้าเล่ห์

แต่นายท่านสุภัทรเป็นผู้ว่าจ้างเขา ต่อให้เสียชีวิตไปแล้วก็ตาม เขาก็ไม่กล้าต่อว่านายท่านสุภัทร

เพราะอย่างไรก็ต้องเคารพคนตาย

“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นโมฆะไปแล้ว ก็คิดซะว่ามันไม่เกิดขึ้นจริง แต่พินัยกรรมที่เป็นโมฆะอันนี้ฉันขอได้ไหมคะ”วารุณีหยิบพินัยกรรมที่เป็นโมฆะขึ้นมา

ทนายพิศาลพยักหน้า “ได้สิครับ”

“ขอบคุณค่ะ” วารุณียิ้มพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงให้ศรัณย์ออกไปส่งทนายพิศาล

ในห้องรับแขกตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่วารุณีกับนัทธี

นัทธีมองเธอ “คุณจะเอามันไปทำอะไร”

“มันจะมีประโยชน์” วารุณียิ้มอย่างมีเลศนัย

เมื่อนัทธีเห็นว่าเธอไม่อยากพูดจึงไม่ถามต่อ

ถึงอย่างไรเมื่อถึงเวลาที่ต้องรู้ เขาก็จะรู้เอง ไม่จำเป็นต้องเค้นถามให้ได้ตอนนี้

“จริงสิ วันที่ขยานีจะต้องรับโทษคือวันไหนเหรอคะ” วารุณีถาม

นัทธีคิดสักพักก่อนตอบ “อีกสามวัน”

วารุณีพยักหน้าเป็นเชิงว่าจดจำได้

จากนั้นราวกับว่าเธอคิดบางอย่างออก จึงมองไปทางเขา “การตัดสินขั้นสุดท้ายของขงเบ้งใกล้จะถึงแล้วใช่ไหมคะ”

เมื่อกล่าวถึงขงเบ้ง รอบตัวของนัทธีคล้ายมีรังสีอำมหิตบางอย่างแผ่ออกมา

เขาพยักหน้าเล็กน้อย “เหลืออีกหนึ่งอาทิตย์”

“ถึงตอนนั้นคุณจะไปด้วยไหมคะ”

นัทธีตอบว่า “แน่นอน ผมต้องไปเห็นจุดจบของนัทธีด้วยตาของตัวเอง”

“อย่างนั้นฉันไปด้วยค่ะ” วารุณีจับมือของเขาเอาไว้

การตัดสินคดีของขยานี เขาเองก็อยู่เคียงข้างเธอตลอดเช่นกัน

แน่นอนว่าเธอก็ต้องทำเช่นเดียวกับเขา

นัทธีโอบวารุณีเอาไว้แล้วจูบเรือนผมของเธอ “โอเค”

“หม่ามี๊ ปะป๊า แอบจูบกันอีกแล้วนะ” ทันใดนั้นเสียงอ่อนเยาว์ก้องกังวานของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านบนขัดจังหวะสวีทของสองสามีภรรยา

สองสามีภรรยาเงยหน้าขึ้นไปมอง จึงเห็นเด็กทั้งสองจูงมือกันยืนยิ้มอยู่ด้านบนบันไดพลางมองมาที่พวกเขา

ใบหน้าของวารุณีแดงก่ำอย่างเคอะเขิน

การสวีทกันต่อหน้าเด็กน้อย เธอไม่หน้าหนาถึงขั้นทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

แต่คนหน้าหนาอย่างนัทธีกลับโบกมือให้เด็กทั้งสอง “มานี่สิลูก”

“มาแล้ว” เด็กทั้งสองหัวเราะคิกคักลงบันไดมาแล้ววิ่งมาหยุดตรงหน้าคนทั้งสอง

เมื่อลงมาถึงแล้ว เด็กทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนโซฟาระหว่างสองสามีภรรยา

“ปะป๊า เมื่อกี้ตอนหนูกับไอริณอยู่ข้างบนได้ยินว่าคุณตามีของให้พวกเราเหรอครับ” อารัณถามขึ้น

วารุณีกับศรัณย์เรียกชื่อของสุภัทร

แต่เด็กทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าคุณตา เพียงแค่ไม่เคยเรียกต่อหน้าสุภัทรก็เท่านั้นเอง

“เขาให้บ้านหนูกับไอริณคนละหลังจ้ะ” นัทธีปิดบังเรื่องที่บ้านหลังนี้เดิมทีเป็นของวารุณีแล้วหยิบเอกสารสองฉบับขึ้นมาส่งให้อารัณ

อารัณพลิกอ่านดู

ส่วนไอริณอ่านหนังสือยังไม่ค่อยออกนัก แต่ก็ยังหยิบขึ้นมาอ่านด้วย

“เพนท์เฮ้าส์กลางเมือง” อารัณกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจพลางเลิกคิ้วเล็กๆ ของเขาขึ้น

นัทธีลูบผมของเขา “รอให้ถึงวันเกิดของพวกหนูก่อน พ่อจะให้ของขวัญหนูสองคนเหมือนกัน รับรองว่าดีกว่านี้แน่นอน”

วารุณีหัวเราะ “แค่นี้คุณก็อิจฉาด้วยเหรอ”

พูดตามตรง ตอนที่เธอเห็นว่าสุภัทรยกเพนท์เฮ้าส์ให้ เธอเองก็แอบตกใจเช่นกัน

เพนท์เฮ้าส์กลางเมืองเป็นแบบตึกสี่ชั้น ในทุกๆ ชั้นจะมีสองห้อง แต่ละห้องจะมีเนื้อที่ประมาณสี่ร้อยกว่าตารางเมตร และแต่ละตารางเมตรราคาอยู่ที่ประมาณสามแสนบาท

แม้ว่าเพนท์เฮ้าส์จะเทียบกับวิลล่าไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นที่พักหรูหราเช่นกัน

“ผมไม่ได้อิจฉา ผมแค่อยากให้ลูกรู้ว่า ผมสามารถให้สิ่งที่ดีกว่านี้กับลูกได้” นัทธีด้วยท่าทีจริงจัง

วารุณีไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือร้องไห้ดี

เห็นชัดๆ ว่าอิจฉา พอเห็นลูกดีใจที่ได้บ้าน ก็ไม่อยากด้อยไปกว่าสุภัทร

แถมยังทำมาพูดเบ่งใส่แบบนั้นอีก

“เอาล่ะ เก็บเอกสารให้ดี หลังจากนี้มันจะเป็นของพวกหนูแล้ว” วารุณีหันไปพูดกับเด็กทั้งสอง

เด็กทั้งสองกอดเอกสารเอาไว้ในอกแล้วพยักหน้างกๆ เห็นได้ชัดว่าการได้บ้านมาฟรีๆ ทำให้พวกเขาดีใจมาก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้วสองวัน

วันนี้วารุณีเข้าออฟฟิศมาหารือเรื่องเสื้อผ้าคอลเลคชันใหม่กับปาจรีย์ ในตอนนั้นเองเธอก็ได้รับสายจากคุกโดยแจ้งว่าขยานีต้องการพบเธอ

หลังจากได้รับโทรศัพท์ วารุณีไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร

เธอคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าขยานีจะต้องขอพบเธอ และก็เป็นไปอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้

“โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันไปตอนบ่าย” วารุณีกล่าวกับปลายสาย

จากนั้นเมื่อจบบทสนทนา เธอก็วางโทรศัพท์ลง

ปาจรีย์เข้ามาใกล้เธอ “ขยานีขอพบเธอเหรอ”

“อืม” วารุณีพยักหน้า

“ทำไมเธอต้องขอพบด้วย” ปาจรีย์สงสัย

วารุณีส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ไปแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง”

“งั้นเดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนเธอก็แล้วกัน” ปาจรีย์กล่าว

“โอเค” วารุณีพยักหน้าไม่ได้กล่าวปฏิเสธ

เมื่อเวลาบ่ายมาถึง คนทั้งสองก็ขับรถไปยังเรือนจำ

เมื่อลงชื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เข้าไปยังห้องรับรอง

ตำรวจเรือนจำหญิงนำตัวขยานีออกมา

สภาพของขยานีตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคน

เมื่อปาจรีย์เห็นดังนั้นก็ตกใจ

เมื่อก่อนขยานีเป็นคนดูแลตัวเองอย่างดี หุ่นของเธออวบอิ่ม เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวสวยคนหนึ่ง

แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ผมสั้น ผิวเหลือง เบ้าตาลึก โหนกแก้มสูง ร่างกายซูบผอม มองดูแล้วคล้ายผู้หญิงวัยหก เจ็ดสิบปี ไม่มีความใกล้เคียงขยานีที่ตนเคยเห็นมาก่อน สภาพเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับยายแก่ๆ คนหนึ่ง

“วารุณี ทำไมหล่อนกลายเป็นแบบนั้นได้ล่ะ” ปาจรีย์กลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วหันมากระซิบถาม