บทที่ 449 สืบหาความจริง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 449 สืบหาความจริง

หนิงอ๋องไม่พูด ฮ่องเต้จึงจำต้องส่งคนไปยังตำหนักบูรพาเพื่อเรียกไท่จื่อมาเข้าเฝ้า

ไท่จื่อฟื้นขึ้นมาหลังจากกู้เจียวออกไปได้ไม่นาน เขาไม่ได้ร้องโอดครวญ แต่กลับเหม่อมองเพดานอย่างเลื่อนลอย

‘ใช่เจ้าหรือไม่ เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ…เจ้ากลับมาหาข้าแล้วจริงๆ’

‘เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เจ้าโกรธข้าหรือ”

‘ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…’

‘…ข้าเพิ่งรู้ว่าคนที่อยู่ในใจข้ามาตลอดคือเจ้า ข้าเสียใจเหลือเกินที่ไม่ได้แต่งงานกับเจ้า”

‘เจ้าอย่าชอบคนอื่นได้หรือไม่ อย่าชอบนาง นางไม่คู่ควรกับเจ้า’

‘ได้เห็นเจ้าเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน จากนี้ได้อย่าไปจากข้าอีกเลย’

‘เราสองไม่พรากจากกันอีกแล้วได้หรือไม่ จากนี้ไปมาใช้ชีวิตด้วยกันดีไหม’

ไท่จื่ออยากสลัดเสียงของเวินหลินหลังออกไปจากหัว แต่กลับพบว่าตัวเขาไม่มีทางทำได้เลย

คำพูดเหล่านั้นดังก้องอยู่ในหัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมีดที่แทงหัวใจเขาจนพรุน

ไท่จื่อเฟยคุกเข่าอยู่ข้างเตียง สองแขนเกยอยู่บนขอบเตียงเฝ้ามองเขา

หากเป็นยามรักหวานชื่น ท่าทางนี้คงดูใกล้ชิดแสนลึกซึ้ง ทว่ายามนี้กลับกลายเหมือนนางกำลังอ้อนวอนผู้ที่อยู่เหนือกว่า

ตั้งแต่นางแต่งงานกับไท่จื่อก็ได้รับการทะนุถนอมเป็นอย่างดี ไท่จื่อไม่เคยทำให้นางลำบากกายหรือใจ เป็นห่วงเป็นใยว่าหนาวหรือไม่ ปวดเข่าหรือไม่ เมื่อยแขนหรือไม่…

ทว่ายามนี้ นางคุกเข่าฟุบอยู่ริมเตียงกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ไท่จื่อกลับไม่เอ่ยปากแม้สักคำ

“ฝ่าบาท” สุดท้ายนางก็เป็นฝ่ายที่อดไม่ได้ นางคว้าฝ่ามืออันเย็นเฉียบของเขาขึ้นมา เอ่ยเสียงอ้อนวอน “ท่านเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันถูกคนปองร้าย เป็นฝีมือกู้เจียว นางวางยาหม่อมฉัน…หม่อมฉันถึงได้พูดจาเหลวไหลเช่นนั้นออกไป”

ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไท่จื่อนั้น หากมองผิวเผินดูเหมือนนางเคารพเทิดทูนไท่จื่ออย่างเหลือล้น แต่ความเป็นจริงแล้วอำนาจนั้นอยู่ในมือนาง ไท่จื่อเชื่อฟังนาง มักจะถูกนางชักจูงเอาได้ง่ายๆ

ทว่าคราวนี้ไท่จื่อกลับไม่ตอบโต้แต่อย่างใด

เขาเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกดูดวิญญาณออกไปจนหมดสิ้น เหม่อมองเพดานด้วยแววตาเลื่อนลอย

“ฝ่าบาท…” ไท่จื่อเฟยยื่นมือออกไปประคองใบหน้าของเขา แต่ก่อนเขามักจะยกมือนางมากุมใบหน้าของตัวเอง ส่งยิ้มแล้วเรียกหลินหลัง

สิ่งเหล่านั้น นางคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางสูญเสียไป

แม้จะสูญเสียไปแล้วก็คิดว่าจะเอากลับคืนมาได้อย่างง่ายดาย

ในส่วนลึกของหัวใจของไท่จื่อเฟยไม่เชื่อว่าไท่จื่อจะเมินเฉยตนเองได้

“ฝ่าบาท” นางกุมมือของไท่จื่ออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยกับเขา “หม่อมฉันถูกวางยาจริงๆ นะเพคะ หม่อมฉันตั้งใจไปซื้อขนมให้ท่าน ร้านชิงเหอไจ ท่านจำได้หรือไม่เพคะ ท่านชอบขนมร้านชิงเหอไจที่สุด โดยเฉพาะเหอเซียงซู…”

อันที่จริงไท่จื่อไม่ได้ชอบกินเหอเซียงซู แต่สิ่งที่กินยามเจอเวินหลินหลังครั้งแรกคือเหอเซียงซู ขนมชนิดนี้จึงตราตรึงอยู่ในใจของเขาคู่กับนาง

ตั้งแต่อายุสิบสามปีจวบจนตอนนี้ ระยะเวลาสิบปีเต็มๆ ความชอบอันแสนบริสุทธิ์ในวัยเด็กของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นความรักอันลึกซึ้ง แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคือคนคนนี้ที่อยู่ในใจเขามาโดยตลอด ทั้งยังนับวันยิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

ไท่จื่อเคยคิดว่าต่อให้เวินหลินหลังต้องการชีวิตของเขา เขาก็ยินยอมพร้อมมอบให้

ความจริงแล้วตั้งแต่วันแรกที่ได้แต่งงานกับนาง เขานั้นสัมผัสได้ว่านางไม่ได้รักเขา เพราะอย่างนั้นใจเขาถึงไม่เคยเป็นสุข แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาเชื่อมั่นว่าหากตนดีกับนาง สักวันหนึ่งนางจะมอบหัวใจให้กับเขา

แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ นางกลับมอบมันให้กับหนิงอ๋อง ไม่ใช่เขา!

ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงสะอื้น “ฝ่าบาท ท่านเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันถูกวางยาจริงๆ! หม่อมฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกไป… พวกเราโตมาด้วยกัน หม่อมฉันนิสัยอย่างไร ท่านจะไม่รู้เชียวหรือเพคะ”

นั่นสินะ เพราะโตมาด้วยกัน ถึงได้เข้าใจเป็นอย่างดี

ฉลาด ร้อยเล่ห์กล หากไม่มีใจให้ แล้วจะยอมให้หนิงอ๋องใกล้ชิดได้อย่างไร

สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของไท่จื่อไม่ใช่คำรักแสนลึกซึ้งเหล่านั้นของนาง คำพูดเหล่านั้นอาจจะเอ่ยออกมาเพราะถูกยาวางจริงๆ ก็ได้ แต่ภาพที่หนิงอ๋องกุมมือของนางไว้แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่าตนจะเป็นคนจัดการเองต่างหากคือมีดที่แทงกลางดวงใจของเขา!

“ฝ่าบาทแคลงใจความสัมพันธ์ของหม่อมฉันกับหนิงอ๋องหรือเพคะ ใช่เพคะ หม่อมฉันกับหนิงอ๋องเคยมีความสัมพันธ์กันจริง แต่หม่อมฉันถูกบังคับ…หม่อมฉันไม่มีตระกูลฝั่งแม่คอยหนุนหลัง ไม่มีอำนาจไม่มียศศักดิ์ เพราะอย่างนั้นที่พึ่งเดียวของหม่อมฉันคือความรักจากฝ่าบาท แต่เขากลับใช้ฝ่าบาทมาบีบบังคับหม่อมฉัน…” ไท่จื่อเฟยน้ำตาไหลพราก หยดลงบนหลังมืออันเย็นเฉียบปานน้ำแข็งของไท่จื่อ “เขาบอกว่าจะฆ่าฝ่าบาท ฆ่าหม่อมฉัน…”

ลูกกระเดือกของไท่จื่อขยับขึ้นลง ในที่สุดก็เอ่ยเสียงอันอ่อนแรงออกมา “คนที่อยู่ในใจเจ้า แท้จริงแล้วคืออาเหิง…หรือหนิงอ๋องกันแน่”

ไท่จื่อเฟยแข็งทื่อไปทั้งร่าง

เว่ยกงกงมายังตำหนักบูรพาเพื่อเชิญไท่จื่อ ทว่าไท่จื่อพลิกตัวหนี “ข้าไม่อยากพบใครทั้งนั้น”

ไท่จื่อที่แสนอ่อนแอมาโดยตลอด หลังจากพบเหตุการณ์สะเทือนใจแล้วกลับใจกล้าถึงขั้นขัดราชโองการของฮ่องเต้ เว่ยกงกงเองก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับไท่จื่อดีหรือไม่

เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น ย่อมไม่อาจปิดบังตำหนักคุนหนิงและตำหนักเหรินโซ่วได้ เซียวฮองเฮาเป็นห่วงลูกชายจึงรุดมายังตำหนักบูรพาเป็นคนแรก

เซียวฮองเฮาเอ่ย “เว่ยกงกง วานทูลฝ่าบาททีว่าไท่จื่อบาดเจ็บหนัก ลงจากเตียงไม่ไหว ประเดี๋ยวข้าจะถามความกับไท่จื่อให้กระจ่างแจ้ง แล้วจะทูลกับฝ่าบาทที่ตำหนักฮว๋าชิงเอง”

ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะ

เว่ยกงกงมองไท่จื่อที่เหมือนถูกสูบวิญญาณไปจนหมดสิ้นเบื้องหน้าอย่างระอาใจ เขาลอบถอนหายใจก่อนจะกลับตำหนักฮว๋าชิง

เซียวฮองเฮาดึงผ้าห่มคลุมให้กับไท่จื่อ ไท่จื่อไม่อยากให้เซียวฮองเฮาเห็นตนในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ เขารู้สึกอับอายเหลือเกิน ทั้งยังเจ็บใจและกล้ำกลืน

เขาหันหน้าเข้ากำแพง มุดหัวอยู่ในผ้าห่ม

“เสด็จแม่ หม่อมฉัน…” ไท่จื่อเฟยเพิ่งจะเอ่ยปาก เซียวฮองเฮาก็ยกมือขึ้นปราม บ่งบอกว่านางไม่จำเป็นต้องพูดอันใด

เซียวฮองเฮามายังห้องหนังสือของตำหนักบูรพา เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “เรียกบ่าวข้างกายของไท่จื่อและไท่จื่อเฟยมาให้หมด!”

ชุนอิ๋งและนางกำลังทั้งแปดถูกพาตัวเข้ามา นั่งคุกเข่าเรียงราย

เซียวฮองเฮาไม่ถามแม้สักคำ ประโยคแรกที่เปล่งออกมาคือ “ลงโทษ!”

ซูกงกงสะบัดพู่ในมือ ก่อนจะคว้าตะแกรงหนีบไม้ออกมา ร่วมกันกับเหล่าแม่นมและขันทีของตำหนักคุนหนิง ใช้ตะแกรงไม้หนีบท่อนขาของทั้งแปดคน

ในบรรดาทั้งแปดคนนี้ ชุนอิ๋งเป็นคนที่รู้เรื่องราวมากที่สุด ส่วนคนที่เหลือแม้มิได้สมรู้ร่วมคิด แต่หากเป็นฝีมือของใครคนหนึ่งละก็ ย่อมต้องเผยเบาะแสอะไรออกมาบ้าง หลายเบาะแสปะติดปะต่อกันสุดท้ายแล้วก็คงได้ข้อมูลไม่มากก็น้อย

อย่างเช่น ไท่จื่อเฟยมักจะออกนอกตำหนักเพียงลำพัง

แล้วก็อย่างเช่น วันนี้ไท่จื่อรู้ข่าวว่าไท่จื่อเฟยหายตัวไป ชุนอิ๋งเป็นคนมารายงาน

สายตาเย็นชาของเซียวฮองเฮาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของชุนอิ๋ง ชุนอิ๋งตัวสั่น ร่างทั้งร่างแทบจะแดดิ้นไปกับพื้น “ฮอง ฮองเฮา…”

หากเซียวฮองเฮาจะง้างปากนางกำนัลสักคนหนึ่งย่อมมีวิธีอยู่แล้ว มีหรือที่หญิงตระกูลเซียวจะจิตใจเมตตาดังนางฟ้านางสวรรค์ ดูจากเซวียนผิงโหวเอาก็รู้ ชายผู้นั้นใจดำอมหิตเพียงใด แล้วน้องสาวของเขาจะจิตใจขาวสะอาดได้สักแค่ไหนกันเชียว

เซียวฮองเฮาส่งสายตาให้ซูกงกง ซูกงกงเข้าใจในทันใด ก่อนจะลากตัวชุนอิ๋งออกมา

ชุนอิ๋งทนฤทธิ์ซูกงกงได้ไม่นานก็สารภาพจนหมดเปลือก

ไท่จื่อเฟยมีนอกมีในกับหนิงอ๋อง

ชุนอิ๋งถูกหนิงอ๋องซื้อตัวไป

เรื่องคราวนี้เป็นฝีมือของเชลยแคว้นเฉิน ชุนอิ๋งถูกซื้อตัวโดยเชลยแคว้นเฉิน

คำพูดจากปากของชุนอิ๋งไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น นางหวาดกลัวจนเสียสติ พูดจาไม่มีหัวไม่ท้าย แต่ซูกงกงทำงานข้างกายเซียวฮองเฮามานานหลายปี เรื่องแค่นี้จะจัดการไม่ได้เชียวหรือ

ประเด็นสำคัญที่ต้องเค้นออกมา เขาได้เค้นจนหมดแล้ว

เซียวฮองเฮาเอ่ย “หากเป็นเช่นนั้น เรื่องคราวนี้เป็นฝีมือของเชลยแคว้นเฉินที่จัดฉากขึ้นมา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไท่จื่อเฟยกับหนิงอ๋องเป็นความจริง”

ซูกงกงลอบยกนิ้วให้ สมกับเป็นฮองเฮา สรุปความได้ชัดเจนยิ่งกว่าเขาเสียอีก

แววตาของเซียวฮองเฮาเยือกเย็น ทว่านางไม่เคยเสียสติเพราะความเดือดดาล นางยังคงสง่างามสมกับเป็นฮองเฮาแห่งแคว้นเช่นเคย

นางถามอย่างสงบนิ่ง “ข้ากำลังคิดว่า เหตุใดเชลยแคว้นเฉินถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ มีผลดีอะไรกับเขา”

เปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่ในวังหลวง ขายหน้าราชวงศ์อย่างนั้นหรือ

ตื้นเขินเกินไป

หากเป็นคนธรรมดาสามัญทำเรื่องเช่นนี้ก็คงไม่แปลก แต่หยวนถังเป็นถึงรัชทายาทแคว้นเฉิน สิ่งที่เขาหมายปองต้องมากกว่าความอัปยศอดสูของราชวงศ์แน่นอน

หากมองการณ์ไกลกว่านี้ แสร้งทำเป็นไม่รู้ ปล่อยให้หนิงอ๋องลอยนวล ปล่อยให้หนิงอ๋องกับไท่จื่อเฟยมีความสัมพันธ์กันต่อไปต่างหากถึงจะทำให้ราชวงศ์แคว้นเจาล่มสลาย

“ดูเหมือนแก้แค้นเสียมากกว่า หนิงอ๋องกับเขาเป็นศัตรูกันหรือ” เซียวฮองเฮาจับเบาะแสสำคัญได้ “เรียกองค์ชายหกแคว้นเฉินมาที่ตำหนักบูรพา”

ซูกงกง “พ่ะย่ะค่ะ”

หยวนถังมาถึงอย่างรวดเร็ว

เขาพบเซียวฮองเฮาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขก

เซวียนผิงโหวได้ชื่อว่าหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจา…เฮ้ย ไม่ใช่ ชายงาม ส่วนน้องสาวของเขาก็ย่อมไม่ต่างไม่เป็นธรรมดา

หากว่ากันด้วยใจไร้อคติ เทียบกันแล้วความงามของเซียวฮองเฮานั้นยังเป็นรองพี่ชายของนางอยู่หลายขุม

แล้วชายผู้นั้นจะงดงามถึงเพียงนั้นไปเพื่ออะไร

หยวนถังลูบพัดไปมา ก่อนจะยกมือคำนับเซียวฮองเฮาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หยวนถังถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวฮองเฮามองหยวนถังด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กิริยาเสแสร้งจอมปลอมเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องทำให้เสียเวลา เจ้าวางแผนไว้มากมาย มิใช่เพราะต้องการพบข้าหรอกหรือ เจ้ามีความแค้นกับหนิงอ๋อง ข้าเองก็อยากกำจัดหนิงอ๋อง มีอะไรเจ้าก็พูดมาตามตรง”

“เรื่องนั้นหรอกหรือ…” หยวนถังลูบสันจมูก เผยยิ้มพลางเอ่ย “ท่านพูดตรงเสียขนาดนี้ หยวนถังผู้นี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเช่นกัน อันที่จริงก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกพ่ะย่ะค่ะ ก็แค่เรื่องหนิงอ๋องกับไท่จื่อเฟยคบชู้กันแล้วถูกรุ่ยอ๋องเฟยกับเพื่อนของนางคนหนึ่งบังเอิญเจอเข้า หนิงอ๋องอยากฆ่านางแล้วโยนความผิดให้ข้า ข้าเกือบตายเพราะมือสังหารของเขา ข้ายอมไม่ได้จึงวางแผนเล็กๆ น้อยๆ เปิดโปงความสัมพันธ์ของทั้งสองให้ไท่จื่อและฝ่าบาทได้รับรู้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นศัตรูกับเซียวฮองเฮา หากล่วงเกินอันใดไป ขอฮองเฮาได้โปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เขาปิดปากสนิทไม่เอ่ยถึงว่ากู้เจียวมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ เอ่ยถึงกู้เจียวอ้อมๆ เพียงแค่ว่า ‘เพื่อนคนหนึ่งของรุ่ยอ๋องเฟย’ และแน่นอนว่าไม่เอ่ยถึงเรื่องที่หลิ่วอีเซิงนิ้วขาดด้วย

เซียวฮองเฮามองเขาด้วยสายตาน่าเกรงขาม “ที่เจ้าว่ามาจริงหรือไม่ ข้าจะพิสูจน์เอง”

หยวนถังยิ้ม “แล้วแต่เซียวฮองเฮาจะโปรด”

หยวนถังไม่กลัวว่านางจะสืบ กลัวนางไม่สืบเสียมากกว่า

“ฮองเฮา” หลังจากหยวนถังกลับไป ซูกงกงกระซิบเรียกสตินาง

เรื่องราวระหว่างเวินหลินหลังกับหนิงอ๋องนั้นเรียกได้ว่ากระทบกระเทือนจิตใจเซียวฮองเฮาไม่น้อย แม้ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง ทว่าในใจนั้นปั่นป่วนดั่งคลื่นพายุ

เพียงแต่พี่ชายสอนนางตั้งแต่เด็กว่า ยามพบเจอเรื่องอันใดอย่างได้ตื่นตระหนก นางคือน้องสาวของเซียวจี่ นางต้องแข็งแกร่งกว่าหญิงอื่นนับร้อยนับพัน

เซียวฮองเฮาหลับตาลง พ่นลมหายใจยาวก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรียกตัวรุ่ยอ๋องเฟยมา”