บทที่ 599 เบ่งอำนาจสามารถกินได้หรือไม่?
บรรยากาศเดิมทีในห้องรับแขก หลังจากที่ยู่หลิวซูพวกเขามาถึงก็มีความอึมครึม ตอนนี้เมื่อเย่แจ๋หยิ่งเปล่งเสียงออกมา บรรยากาศลดลงถึงจุดเยือกแข็งในพริบตา ราวกับว่าต้องการทำให้ยู่หลิวซูพวกเขาแข็งตัวเช่นนั้น
“แฮ่มแฮ่ม!”
ยู่หลิวซูที่ดึงสติกลับมาได้เห็นสายตาที่ทำให้คนผวาของเย่แจ๋หยิ่ง ทำตัวไม่ถูกในพริบตา
“ขออภัยขอรับ ข้าเสียมารยาทแล้ว”
หลังจากพูดจบ
ยู่หลิวซูหันกลับไปมองผู้อาวุโสไม่กี่ท่านที่อยู่ด้านหลัง อยากให้พวกเขาช่วย สถานการณ์เช่นนี้ตอนนี้ กลับกันกับที่จินตนาการไว้
ซ่างกวนหนานซู่ผู้นี้ก็ดีมากนี่!
ตาหูจมูกปากสง่างาม รูปงามไม่ทำร้ายประเทศประชาชน และไม่ใช่ท่าทางที่จะมีเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก ท่าทางเช่นนี้ตรงไหนก็ดีหมด เขาไม่รู้สึกถึงว่ารำคาญสักน้อย กลับยังมีความรู้สึกเหมือนเพิ่งรู้จักก็สนิทกันแล้วอีก
เบ่งอำนาจอะไรไปเจอผีเถอะ!
ผู้อาวุโสไม่กี่ท่านอยากเบ่งอำนาจหรือหยั่งเชิงอะไร ก็ให้พวกเขาทำก็พอแล้ว เขาไม่เป็นห่วงสักนิดว่าซ่างกวนหนานซู่จะเสียเปรียบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!
คนที่อ๋องเย่ชอบพอจะต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถ?
หลานเยาเยาไม่รู้ เพียงแค่พบหน้าเท่านั้น ยู่หลิวซูก็ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับนางแล้ว
ใครจะรู้…….
ราวกับว่าผู้อาวุโสไม่กี่คนนั้นจะเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เห็นสายตาของเจ้าสำนักทอดมา แต่ละคนก็แอบสะกิดกันผลักกัน ในที่สุดแววตาทั้งหมดก็ตกไปอยู่บนร่างของผู้อาวุโสรองนิ่งๆ
ผู้อาวุโสรอง : “…….”
ล้วนมองข้าทำไม ดูเจ้าสำนัก ตอนนี้เจ้าสำนักเป็นพี่ใหญ่ เขาเป็นแค่ของจัดแสดง
แต่ผู้อาวุโสรองที่ไม่ถนัดการสื่อสารด้วยการยักคิ้วหลิ่วตา ก็ถูกพวกเขาจ้องมองโดยตลอด สุดท้ายจนปัญญา ดวงตาที่เปลี่ยนไปมาของเขาชำเลืองมองซ้ายขวาแวบหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาจ้องตรงไปที่เพดานของห้องรับแขก
อยากดูก็ดูเถอะ!
ยังไงซะก็ดูออกมาเป็นดอกไม้ไม่ได้
เบ่งอำนาจคืออะไร สามารถกินได้หรือ? หากสามารถกินได้เอามาปึกก็ได้
ยู่หลิวซูที่ไม่ได้รับการตอบสนอง กระแอมเบาๆ มองทางอ๋องเย่
“อ๋องเย่ ท่านนี้คิดว่าก็คงเป็นคุณชายซ่างกวนแล้วสินะขอรับ? ได้ยินไม่เหมือนได้พบ รัศมีไม่ธรรมดา สามารถรู้จักคุณชายซ่างกวนได้ เป็นโอกาสโชคดีมากที่ยากจะพบจริงๆขอรับ”
ดูเหมือนคำพูดทางการที่นอบน้อม แต่กลับเป็นใจจริง
เห็นพวกเขาเก็บสายที่จ้องตรงดิ่งแล้ว เย่แจ๋หยิ่งจึงเก็บสายตาเย็นยะเยือกที่ไม่พอใจทันที แล้วนั่งลงเอนพิงเก้าอี้เคลือบสีแดงที่หลานเยาเยานั่งต่อ ปล่อยให้หลานเยาเยาคุยเรื่องอดีตกับพวกเขา
“ข้าก็คือซ่างกวนหนานซู่ เจ้าสำนักยกย่องแล้ว”
หลังจากพบหน้ากัน ยู่หลิวซูนั่งที่ตำแหน่งของเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสไม่กี่ท่านก็นั่งลงตามลำดับ ต่อจากนั้นควรจะเป็นเวลาเบ่งอำนาจ ทำอะไรไม่ได้ไม่ว่าเป็นเจ้าสำนักยู่หลิวซู หรือว่าผู้อาวุโสไม่กี่ท่านที่นั่งอยู่ ล้วนไม่มีคนเริ่ม
แต่ละคนเจ้ามองดูข้า ข้ามองดูเจ้า หลังจากที่พูดไม่ออก ก็พยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มอย่างไม่เสียมารยาท สถานการณ์แปลกประหลาดอย่างมาก
หลานเยาเยาอึดอัดใจ!
พวกเขานี่คือกำลังจะทำอะไร? คงไม่ได้อดกลั้นจนย่ำแย่หรอกนะ?
สุดท้ายยังเป็นหลานเยาเยาที่ทำลายบรรยากาศที่เก้ๆกังๆ นางเอาเรื่องที่คนโดนมนต์ดำในเมืองหลวงพูดออกมาอย่างง่ายดายรอบหนึ่ง จึงได้เอ่ยปากถึงความคิดที่มาที่นี่ :
“ได้ยินว่าหนึ่งปีก่อน หลังจากเรือของท่านชายหยิ่งเจ้าของเรือเรือแห่งความสิ้นหวังถูกราชครูเทียนเวิงเผาทำลาย ร่างกายท่านชายหยิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกส่งต่อมาที่สำนักหงอี ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขา ดังนั้นอยากพบคนผู้นี้”
สามารถถอนพิษพิษกู่จิ้นได้ ทำให้คนโดนมนต์ดำเป็นคนปกติได้ มีเพียงนางที่สามารถปรุงยาถอนพิษได้ รวมถึงหลังจากที่เคยโดนพิษกู่จิ้นแล้วกินยาถอนพิษ เลือดในร่างกายก็จะเกิดภูมิต้านทาน เลือดชนิดนั้นก็สามารถถอนพิษของคนโดนมนต์ดำได้เช่นกัน
คนที่เคยกินยาถอนพิษแล้ว ก็มีไม่กี่คน
นอกจากนางและเย่แจ๋หยิ่ง ก็มีจื่อซีจื่อเฟิงรวมถึงหานแสแล้ว
ร่างกายเดิมของนางตายไปตั้งนานแล้ว และจื่อซีจื่อเฟิงก็เป็นองครักษ์ลับของเย่แจ๋หยิ่งโดยตลอด เลือดบนร่างของพวกเขาหากมีความผิดปกติ เย่แจ๋หยิ่งจะต้องรู้แน่นอน
ตัวเย่แจ๋หยิ่งเองก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว อดีตเขาเองอยากทำลายทุ่งดอกกระดูกขาวมากขนาดไหน ตอนนี้ก็ไม่ยินยอมที่จะเห็นคนโดนมนต์ดำปรากฏตัวอีกมากเท่านั้น
เช่นนั้นก็เหลือเพียงหานแสแล้ว…….
หานแสคนผู้นี้ทั้งมีมโนธรรมทั้งโหดร้าย มือหนึ่งจัดการเรือแห่งความสิ้นหวัง มือหนึ่งควบคุมยิงจวน ทำการค้าแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะการฆ่าคน เรือแห่งความสิ้นหวังถูกทำลายแล้ว เขายิ่งต้องเพิ่มความใส่ใจในการทำการค้าของยิงจวน
วันนั้นในลานของซอยลึก ถังมู่หวั่นรักษาคนตระกูลใหญ่โตที่หนีออกมาจากในโรงหมอของนาง นางก็เคยเห็นเงาร่างสีม่วง
สีม่วงเป็นสัญลักษณ์ของหานแส ด้วยเหตุนี้นางยิ่งสงสัยมากขึ้น ดังนั้นจึงได้มาที่สำนักหงอี
ยู่หลิวซูขมวดคิ้ว รู้ลึกเรื่องราวเหล่านี้ไม่ธรรมดา จึงได้ตอบตามความจริง :
“หานแสคนผู้นี้ตอนที่ส่งมาที่สำนักหงอีได้ไม่นานก็จากไป ผู้อาวุโสรองในสำนักเคยเอาเรื่องนี้ส่งพิราบข่าวบอกแก่อดีตเจ้าสำนัก แต่เพราะขณะนั้นอดีตเจ้าสำนักกับข้าอยู่ที่ทะเลทรายด้วยกัน จึงไม่ได้รับข่าวสาร
หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีก จนกระทั่งตอนนี้ตัวของหานแสอยู่ที่ใด พวกเราก็ไม่รู้”
ที่แท้เป็นเช่นนี้
ตอนนั้นนางตัดสินใจเอาคนส่งมาที่สำนักหงอีอย่างลับๆ ก็เพื่อรักษาชีวิตของหานแสพวกเขาไว้ อย่างไรเสีย บุญคุณของการช่วยเหลือของหานแสต่อนาง แม้ว่าจะเป็นเพียงมีใจหลอกใช้ประโยชน์
“เช่นนั้นป่ายเม่ยเซิง ซาหมั่นเฉิงพวกเขาล่ะ?”
คำพูดที่หลุดจากปาก ทำให้เย่แจ๋หยิ่งมองดูนางเงียบๆแวบหนึ่ง เบื้องลึกในตามีความไม่พอใจเล็กน้อยอีกแล้ว
ทุกคนในเรือแห่งความสิ้นหวัง ราวกับว่านอกจากหานแส ก็คือป่ายเม่ยเซิงที่ทำให้นางมีความทรงจำลึกซึ้งที่สุด แต่เขายังคงจำได้อย่างชัดเจนว่าป่ายเม่ยเซิงคิดทำพฤติกรรมไม่เที่ยงตรงต่อเยาเยาในน้ำ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มืออีกข้างของเย่แจ๋หยิ่งที่ไม่ได้อยู่เฉยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะกำแน่นขึ้น
พูดถึงพวกเขา ยู่หลิวซูมองดูซ่างกวนหนานซู่อย่างแปลกประหลาดแวบหนึ่ง
ป่ายเม่ยเซิง ซาหมั่นเฉิงและโจ๋จุนชิงคือหนึ่งในสี่ของผู้ควบคุมหลักของเรือแห่งความสิ้นหวังทั้งสี่ คนปกติที่พูดถึงพวกเขา ไม่เรียกว่าผู้ดูแล ก็จะเรียกพวกเขาฉายาของพวกเขา เช่นฉายาของป่ายเม่ยเซิงบุรุษพันหน้า และไม่เหมือนซ่างกวนหนานซู่ที่เรียกชื่อนามสกุลเช่นนี้ ทั้งยังเรียกได้อย่างรื่นปากเช่นนี้อีก
นอกจากเขาจะสนิทสนมเป็นพิเศษกับพวกเขา……
หากว่าไม่ได้มากับอ๋องเย่ เขาก็สงสัยว่าซ่างกวนหนานซู่เป็นคนของหานแสแล้ว
“หลังจากหานแสจากไป คนที่เหลือก็ทยอยฟื้นตามในไม่กี่วัน โจ๋จุนชิงมือปีศาจเลือดเย็นไปโดยไม่อำลาเหมือนกับหานแส ป่ายเม่ยเซิงบุรุษพันหน้ากลับอยู่ต่อสองสามวัน เขาคอยดูแลซาหมั่นเฉิงพ่อครัวศักดิ์สิทธิ์ถูยู่โดยตลอด รอจนเขาฟื้นหลังจากนั้นจึงได้จากไป”
“เช่นนั้นซาหมั่นเฉิงล่ะ?”
ยังไงซะเมื่อครู่ได้พลั้งปากเอ่ยชื่อของป่ายเม่ยเซิงพวกเขาแล้ว ตอนนี้นางอยากเรียกฉายาของพวกเขาก็ค่อนข้างปลอมแล้ว ดังนั้นเรียกทั้งชื่อนามสกุลต่อไป
“เขาอยู่ต่อแล้ว”
“อยู่ต่อแล้ว?
…….
สำนักหงอี ห้องครัว
ส่วนผสมอาหารแต่ละอย่างที่กองเต็มอยู่บนโต๊ะยาว คุณลุงวัยกลางคนรวบเส้นผมดกดำเงาที่มีเส้นผมสีเงินแซมไม่กี่เส้นขึ้นทั้งหมด ใช้ปิ่นหยกทำให้แน่น ไม่ให้ผมสักเส้นตกลงมา
หนาวเคราหนาและสั้น ร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำ เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของชายวัยกลางคน
ทำให้ผู้หญิงด้านนอกที่แอบมองเขาด้วยความหลงใหล
เวลานี้!
ชายวัยกลางคนเลือกส่วนผสมอาหารไม่กี่อย่างได้แล้ว จัดวางแต่ละอย่าง เนื้อและผักจัดเข้าด้วยกัน
แต่ข้างกายของเขาวางหนังสือเล่มหนึ่ง ยังมีพู่กันและแท่นหมึกหิน หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกสีดำ แล้วเริ่มเขียนตัวอักษรบนหนังสือ
เขาจัดทำตำราอาหารแล้วสามเล่ม ทุกครั้งที่สร้างสรรค์อาหารชุดใหม่ๆ เขาล้วนจะจดไว้ในหนังสือ ด้วยความภูมิใจในสิ่งนี้
แต่วันนี้เพียงแค่ถือพู่กันแล้วเขียนสองสามคำเท่านั้น เขาก็ชะงัก
“คำว่าผักยงของผักยงเขียนอย่างไร?” เขาใช้อีกด้านหนึ่งของพู่กันเกาศีรษะ
ครั้งก่อนสาวน้อยที่เขินอายผู้นั้นเคยสอนเขาแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมลืมอีกแล้วล่ะ!
ดูท่าเขายังจำเป็นต้องขายหน้าตาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ตอนกำลังคิด สายตาสายตาหนึ่งตกลงบนร่างของเขาอย่างกะทันหัน ไม่เหมือนกับสายตาที่แอบมองเขาก่อนหน้านั้น คุณลุงวัยกลางคนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปทางสายตาที่ไม่ได้เพิ่มความซ่อนเร้นแม้แต่น้อย
ทำไมทันทีที่มอง ทั้งยังเป็นคุณชายที่หล่อเหลาสง่างามด้วย เป็นบุรุษที่เหมือนดั่งหยก
หากว่าสามารถทำเป็นอาหารได้ก็ดี….