ตอนที่ 621 ผลการทดสอบ
กลางคืนฝนตกหนักจนอากาศทั้งร้อนทั้งชื้น หลินม่ายเปิดพัดลมไฟฟ้าตลอดทั้งคืน และตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการไอและคัดจมูกในช่วงเช้าตรู่
เธอรู้สึกประหลาดใจมาก
เธอมักจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและไม่ค่อยไอจามมาตลอดทั้งปี
ทว่าฤดูร้อนในครั้งนี้ เธอกลับเป็นหวัดขึ้นมาเสียได้!
ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก และลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า
ฟางจั๋วเยวี่ยที่มีหนวดเครารกรุงรังเดินเข้ามายืนด้านข้างเธอราวกับสัมภเวสี “พี่สะใภ้ ช่วยเห็นแก่อารมณ์ไม่ดีของผมแล้วทำอาหารเช้าอร่อย ๆ มาเยียวยาความเจ็บปวดให้ผมทีได้มั้ย?”
ตั้งแต่เขาบอกคุณย่าฟางว่าเขาชอบเถาจืออวิ๋น เขาก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว และไม่ได้รู้สึกเนียมอายในการแสดงออกว่าชอบเถาจืออวิ๋นแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาชอบเถาจืออวิ๋น แถมยังรู้สึกผิดที่ดันไปชอบหล่อนเข้า ช่างปัญญาอ่อนเสียจริง!
หากเขารู้ใจตนเองตั้งแต่แรกและไปตามจีบเถาจืออวิ๋น ป่านนี้ทั้งสองคนคงจะได้อยู่ด้วยกันไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้หลิวหย่งเจียงทำคะแนนนำไปจนได้
เดิมทีหลินม่ายตั้งใจจะทำบะหมี่หมูฉีกเป็นอาหารเช้าง่าย ๆ
แต่เมื่อเห็นฟางจั๋วเยวี่ยผู้น่าสงสาร เธอจึงเปลี่ยนไปทำซุปลูกชิ้นเนื้อกับก๋วยเตี๋ยวหลอด
ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาในห้องครัว และถามเธอว่าต้องการเชิญบ้านสกุลไป๋มารับประทานอาหารเช้าที่บ้านหรือไม่
หลินม่ายส่ายหัว “ไม่ต้องหรอกค่ะ”
หลังจากกลับมาจากหมู่บ้านสกุลหวังเมื่อคืนนี้ หลินม่ายก็เมินเฉยต่อการทำอาหารค่ำให้พวกเขา และส่งพวกเขากลับไปยังที่พัก
ในเมื่อแม่ไป๋ปฏิบัติต่อเธอเช่นนั้น เธอก็จะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
หลินม่ายพูดตอบและกระแอมไอถึงสองครั้ง จนฟางจั๋วหรานกระวนกระวายใจ “เป็นหวัดเหรอ?”
”
หลินม่ายพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ดื่มน้ำร้อนสักสองสามแก้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ฟางจั๋วหรานไม่ฟังเธอ ปั่นจักรยานไปเอายาแก้หวัดที่โรงพยาบาลกลับมา และมองดูเธอกินยาด้วยความโล่งใจ
อาหารเช้าพร้อมแล้ว สมาชิกในบ้านต่างมานั่งลงที่โต๊ะอาหารและรับประทานอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นเนื้อก็ดี ก๋วยเตี๋ยวหลอดก็ดี ถึงกระนั้นหลินม่ายไม่ได้ทำสักสองเมนูนี้บ่อยนัก เพราะอาหารทั้งสองอย่างนี้ใช้เวลาทำนานเกินไป
อย่างลูกชิ้นเนื้อที่หลินม่ายเป็นคนทำไม่ใช่ลูกชิ้นเนื้อธรรมดาทั่วไป แต่เป็นลูกชิ้นเนื้อสไตล์แต้จิ๋ว
ลูกชิ้นเนื้อประเภทนี้ใช้ระยะเวลาในการทำนาน และต้องใช้แรงทำมากกว่าลูกชิ้นหมู
จะต้องเอาเนื้อวัวส่วนขามาผสมกับเนื้อส่วนอื่น หั่นเป็นชิ้น ๆ หลังจากนั้นเอาเส้นเอ็นออก วางลงบนเขียงขนาดใหญ่ และใช้มีดปังตอชนิดพิเศษมาสับรัวจนเละเป็นเนื้อบะช่อ
จากนั้นจึงใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ และกระหน่ำสับต่อไปอีกสิบห้านาที…
หลังจากทำทุกขั้นตอนเสร็จแล้ว ลูกชิ้นเนื้อที่ได้จะมีความเด้งหยุ่นชนิดโยนลงพื้นแล้วกระดอนขึ้นสูง เคี้ยวแล้วรู้สึกถึงความหนึบอร่อยและรสชาติที่ดีมาก
ถึงแม้ว่าหลินม่ายจะไม่ได้ทำลูกชิ้นแต้จิ๋วตามแบบฉบับคนแต้จิ๋วอย่างเคร่งครัด แต่รสชาติก็ใช้ได้ทีเดียว
สมาชิกครอบครัวต่างพากันกินโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
โดยเฉพาะฟางจั๋วเยวี่ยที่กินอย่างเอร็ดอร่อย
ลูกชิ้นเนื้อของหลินม่ายเด้งดึ๋ง ชุ่มฉ่ำ มีแต่เนื้อล้วน ๆ กัดแค่คำเดียวคงไม่พอ!
กินลูกชิ้นเนื้อที ดื่มน้ำซุปสดใหม่ที ทำให้รู้สึกราวกับกำลังลอยขึ้นไปบนสรวงสวรรค์
ฟางจั๋วหรานชำเลืองมอง “ได้กินลูกชิ้นเนื้อที่พี่สะใภ้ทำแล้วรู้สึกดีขึ้นบ้างไหมล่ะ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้สึกขมขื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เดิมทีเขากำลังกินอาหารอย่างอร็ดอร่อย จนหลงลืมไปแล้วว่าเถาจืออวิ๋นคือใคร แต่พี่ชายใหญ่กลับพูดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ครอบครัวของหลินม่ายกำลังรับประทานอาหารเช้าอันแสนอร่อย ในขณะที่แม่ไป๋กำลังอารมณ์เสีย
นางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่เกือบจะเป็นเวลาแปดโมงแล้ว แต่ฟางจั๋วหรานกลับยังไม่มาเชิญพวกนางไปกินอาหารเช้าที่บ้านอีก
แม่ไป๋ไม่ได้สนใจอะไรอาหารเช้ามากนัก เพียงแต่นั่นคือการแสดงมารยาทอย่างหนึ่ง
นางวางแผนจะปฏิเสธอย่างเย็นชาครั้งเมื่อฟางจั๋วหรานมาเชิญพวกเขาไปรับประทานอาหารเช้า แต่แล้วก็ไม่มีใครมาเชิญพวกเขา จนนางที่คิดจะชักสีหน้าใส่ฟางจั๋วหรานต้องพับเก็บความคิดนี้ไป
แม่ไป๋พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “จนป่านนี้แล้วเสี่ยวฟางยังไม่ยอมมารับพวกเราไปกินข้าวเช้ากันอีก หยาบคายเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าม่ายจื่อคิดอะไรอยู่กันแน่”
ถึงแมว่าฟางจั๋วหรานจะไม่มารับพวกเขาไปรับประทานอาหารเช้า แต่แม่ไป๋ก็ยังกล่าวโทษหลินม่ายแต่เพียงผู้เดียว
เนื่องจากฟางจั๋วหรานเป็นคู่หมั้นของหลินม่าย เขาจะมารับพวกเขาไปรับประทานอาหารเช้าหรือไม่ขึ้นอยู่กับหลินม่ายล้วน ๆ
ไม่เช่นนั้นฟางจั๋วหรานจะได้เห็นดีแน่ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทไหน! และแม่ไป๋ก็เข้าใจได้ถึงจุดนั้น
ไป๋ซวงกุมหน้าอกและพูดกับแม่ไป๋ว่า “แม่ก็อย่าไปอารมณ์เสียนักเลยค่ะ พวกเรายังไม่ได้รับการยืนยันความสัมพันธ์อะไรกับม่ายจื่อสักหน่อย และถึงจะได้รับการยืนยันความสัมพันธ์ แต่หล่อนก็ไม่ชอบพอใจอะไรพวกเราอยู่ดี ไม่ได้เก็บเอาพวกเราไปใส่ใจด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่ลืมให้ศาสตราจารย์ฟางมาเชิญพวกเราไปกินอาหารเช้าที่บ้านหรอก พวกเราก็ลืมเรื่องอาหารเช้านั้นไปเถอะ ไปหาอาหารเช้ากินเองตามร้านค้าดีกว่า”
แม่ไป๋พยักหน้าด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ขณะที่พ่อไป๋มองดูไป๋ซวงด้วยสีหน้าแปลก ๆ
จนกระทั่งแปดโมงครึ่ง หลินม่ายก็ยังไม่ขับรถไปรับพวกเขา บ้านสกุลไป๋ที่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องไปรับรายงานผลการตรวจสอบที่ฟางจั๋วหรานจัดแจงไว้ให้ไป๋ซวงในวันนั้นที่โรงพยาบาลภายใต้แสงแดดที่แผดเผา
หลินม่ายรออยู่ที่ห้องโถงผู้ป่วยนอกแล้ว
แม่ไป๋กำลังสงบสติอารมณ์อยู่บนท้องถนน เพื่อไม่ให้ตนเองก่นด่าหลินม่ายทันทีที่เห็นเธอ
เธอไม่ได้เติบโตขึ้นมาต่อหน้า และไม่มีสายสัมพันธ์ใด ๆ กับพวกเขา จึงไม่สามารถถามจู้จี้อะไรเธอได้มากนัก
นางมองดูรูปลักษณ์ที่สดชื่นของหลินม่าย และมองดูสมาชิกครอบครัวที่เหงื่อออกเพราะแสงอาทิตย์ ใบหน้าแต่ละคนมันย่องจนเป็นประกายแวววาว น่าอับอายขายขี้หน้าและไม่สบายตัวยิ่งนัก
นางทุกข์ใจมากเมื่อมองดูไป๋ซวงที่มีสุขภาพร่างกายไม่ดี และดูร่วงโรยราวกับดอกไม้ที่โดนแดดเผา
จึงอดไม่ได้ที่จะพูดวิจารณ์หลินม่ายด้วยสีหน้าจริงจัง “ม่ายจื่อ พวกเราเดินทางมาจากปักกิ่งเพื่อมาหาเธอที่เจียงเฉิงเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นฉัน พ่อเธอ พี่ชายพี่สาว หรือซวงเอ่อร์ เราต่างไม่ชินกับอากาศที่เจียงเฉิงกันทั้งนั้น อากาศที่นี่ร้อนจะตาย เธอไม่ขับรถมารับพวกเราได้ยังไง ดูซวงเอ่อร์สิว่าตากแดดยังไงบ้าง”
ไป๋ซวงจับแขนแม่ไป๋และพูดว่า “หนูไม่เป็นไรค่ะ แม่อย่าอารมณ์เสียนักสิ”
หลินม่ายชำเลืองมองไป๋ซวง ก่อนจะถามแม่ไป๋ “แล้วคุณได้คิดบ้างไหมคะว่าทำไมฉันถึงไม่ชวยพวกคุณไปกินอาหารเช้าที่บ้าน และไม่ขับรถพาพวกคุณมาโรงพยาบาลด้วย?”
สีหน้าแม่ไป๋ดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น “จะมีเหตุผลอะไรได้อีกล่ะ? ก็เพราะเธอไม่สนิทกับพวกเรา และไม่อยากมาเชิญพวกเรายังไงล่ะ!”
หลินม่ายพยักหน้า “คุณพูดถูกค่ะ ฉันไม่อยากสนิทกับพวกคุณและไม่อยากเชิญพวกคุณ แต่ที่ฉันไม่อยากสนิทกับพวกคุณไม่อยากเชิญพวกคุณก็เพราะว่าทุกคนไม่ได้เต็มใจขนาดนั้น ถ้าฉันไปสนิทกับพวกคุณ เชิญพวกคุณมาร่วมด้วย ไป๋ซวงลูกรักของคุณจะต้องไม่มีความสุขมากแน่ และจะต้องใช้กลอุบายอะไรมาต่อต้านฉันอีก ฉันกลัวว่าหล่อนจะวางแผนต่อต้านฉัน ยังไงซะมีเรื่องน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์ใจน้อยเท่านั้น ฉันถึงได้ยอมให้พวกคุณด่าทอที่ฉันไม่ยอมเข้าไปสนิทชิดเชื้อไม่ยอมไปชวนพวกคุณดี ๆ เพราะฉันเองก็ไม่อยากถูกหล่อนเล่นแง่ใส่อีกแล้ว”
แม่ไป๋ถึงกับพูดไม่ออก
จู่ ๆ ไป๋ซวงก็น้ำตาไหล และมองดูแม่ไป๋ด้วยสายตาน่าสงสาร “แม่ ม่ายจือไม่ยกโทษให้ฉันหรอกค่ะ”
หลินม่ายยิ้ม “งั้นก็บอกเหตุผลที่ฉันควรยกโทษให้มาหน่อยสิ”
ไป๋ซวงตกตะลึง ด้วยไม่สามารถหาเหตุผลมาให้หลินม่ายยกโทษให้ได้
หลินม่ายเยาะเย้ย “เธอหาเหตุผลให้ฉันยกโทษให้เธอไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วยังจะมาขอให้ฉันยกโทษให้เธออีก หนังหน้าเธอนี่มันหนากว่าหนังหมูจริง ๆ!”
ไป๋เซี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ช่างเปรียบเปรยได้เห็นภาพชัดเสียจริง
ไป๋ซวงรู้สึกอับอายและโกรธมากเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขา
หลินม่ายพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เอาล่ะ ไปรับผลทดสอบของไป๋ซวงเถอะค่ะ”
พ่อแม่ไป๋ไปรับผลทดสอบทั้งหมดมา และไม่มีความสุขแม้แต่น้อยหลังจากอ่านมันจบ
หลินม่ายพอจะคาดเดาผลลัพธ์ได้ทั้งที่ไม่ได้ดูผลการทดสอบด้วยซ้ำ เธอยืนด้วยท่าทางสงบนิ่งขณะมองดูปฏิกิริยาของพ่อไป๋และแม่ไป๋
ไป๋เซี่ยกับไป๋ลู่มองดูพ่อแม่ตนเองด้วยความสงสัย และมองดูผลการตรวจสอบกองหนาปึก
ไป๋ลู่อ่านจบแล้ว และดูไม่เชื่อสักเท่าไหร่
ทว่าไป๋เซี่ยกลับหัวเราะเบา ๆ ด้วยความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรม และพูดกับหลินม่ายว่า
“ฉันเคยบอกพ่อกับแม่แล้วว่าไป๋ซวงไม่ได้ป่วยอะไร หล่อนแค่ไม่ชอบฉันและหาเรื่องโยนความผิดมาที่ฉัน แกล้งทำเป็นป่วยและบอกว่าฉันทำให้หล่อนโมโหจนเกิดอาการแน่นหน้าอก แม่ไม่เชื่อและหาว่าฉันบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ ไม่ยอมรับผิด ตอนนี้มีผลตรวจมายืนยันแล้วว่าไป๋ซวงไม่ได้ป่วยอะไร แม่จะได้เชื่อสิ่งที่ฉันพูดก่อนหน้านี้สักที”
หลินม่ายฟังคำพูดของไป๋เซี่ย และเข้าใจได้ว่าทำไมไป๋เซี่ยถึงดูเกลียดชังไป๋ซวงนัก กลับกลายเป็นว่าเขาเองก็ถูกไป๋ซวงใส่ร้ายเช่นกัน
แม่ไป๋หันหน้าไปถามไป๋ซวงด้วยสีหน้าตกใจ “ซวงเอ่อร์ ลูกแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อหลอกพวกเราจริง ๆ เหรอ?”
ไป๋ซวงส่ายหน้าด้วยความสิ้นหวัง “ไม่ได้ทำนะแม่ ฉันไม่ได้ทำ!”
หล่อนชี้ไปที่หลินม่ายและพูดว่า “คู่หมั้นของม่ายจื่อเป็นศาสตราจารย์ที่โรงพยาบาลนี้ ถ้าเขาจะเข้าไปยุ่งกับผลการตรวจสอบมันก็ง่ายจะตาย! แถมม่ายจื่อยังไม่ได้ผลการตรวจสอบด้วยซ้ำ แต่ทำอย่างกับรู้ผลลัพธ์มานานแล้ว!”
แม่ไป๋หันไปมองหลินม่ายด้วยความสงสัยทันที
หลินม่ายส่งยิ้มหวานให้ไป๋ซวง “หลักฐานน่าเชื่อถือขนาดนี้ เธอยังพยายามพลิกสถานการณ์อีก สมควรไปเป็นลูกสาวของหลินเจี้ยนกั๋วกับซุยกุ้ยเซียงจริง ๆ ร้ายกาจมาก! และถ้าเธอกังวลว่าคุณหมั้นฉันจะเข้าไปยุ่งกับผลการตรวจสอบ ลองไปทำการทดสอบที่โรงพยาบาลอื่นดูมั้ยล่ะ เธอกล้าไหม?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดูๆ แล้ว ม่ายจื่ออย่ามีแม่แบบนี้เลยค่ะ แยกมาอยู่บ้านพี่หมอดีกว่า ถ้าไปอยู่ครอบครัวไป๋ก็ไม่รู้ว่าจะปวดหัวขนาดไหน ขนาดยังไม่แน่ใจว่าใช่ลูกสาวตระกูลนี้หรือเปล่ายังจู้จี้จุกจิกขนาดนี้ ถ้าได้เป็นลูกสาวตระกูลไป๋จริงก็คงไม่พ้นโดนตีกรอบชีวิตอะ
ไหหม่า(海馬)