บทที่ 569 แค่ไม่ชอบเห็นอาซือร้องไห้เท่านั้น

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 569 แค่ไม่ชอบเห็นอาซือร้องไห้เท่านั้น

บทที่ 569 แค่ไม่ชอบเห็นอาซือร้องไห้เท่านั้น

เจี่ยงเถิงมององค์รัชทายาทที่เงยหน้ามองตัวเอง แล้วอดขำไม่ได้ เขายังเด็กนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวเองจึงได้แสดงท่าทีเย่อหยิ่งเช่นนี้ “เอาสิ! ในเมื่อฝ่าบาททรงมุ่งมั่นข้าก็น้อมรับ! แต่หากพระองค์ปราชัยขึ้นมาอย่าทรงร้องไห้ขี้มูกโป่งนะพ่ะย่ะค่ะ!”

องค์รัชทายาทไม่สนใจเสียงเยาะเย้ยของเจี่ยงเถิง และเดินไปเตรียมตัวอีกด้าน

สนามนี้เขาต้องต่อสู้อย่างจริงจัง ให้อาซือได้เห็นว่าตัวเองนั้นเก่งกาจเพียงใด ยอดเยี่ยมเพียงไหน ส่วนเจี่ยงเถิงไม่เพียงแต่ฐานันดรไม่สูงส่ง เรื่องอื่นก็ยังสู้ตัวเองไม่ได้

ครั้นหลินซือเห็นเจี่ยงเถิงและองค์รัชทายาทลงสนาม ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ‘เหตุใดพี่อาเถิงถึงลงสนาม?’ ตัวเองจำไม่ได้เลยว่าเขาชอบการแข่งขันหม่าฉิวมาก่อน? องค์รัชทายาทก็ยังทรงเยาว์วัยแต่ก็ร่วมลงสนาม สมแล้วที่เป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์

ทั้งสองคนยื้อแย่งลูกหนังอย่างดุเดือดในสนาม หลินซือกินขนมพลางชมสถานการณ์ในสนามอย่างใจจดใจจ่อ สมรรถภาพของทั้งสองคนไม่ต่างกันมากนัก เรียกว่าสูสีกันเลยทีเดียว

นางคาดไม่ถึงว่าเจี่ยงเถิงจะเล่นหม่าฉิวเก่งเพียงนี้ รู้อย่างนี้ให้เขาสอนตัวเองดีกว่า มิเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้ผู้อื่นเยาะเย้ยเช่นนี้

ลูกหนังลูกสุดท้าย ถ้าเจี่ยงเถิงยิงเข้าก็ถือว่าเป็นผู้ชนะ องค์รัชทายาทรู้สถานการณ์ที่กดดันนี้ดี ระหว่างที่พุ่งตัวไปข้างหน้าเขาได้ใช้เข็มเงินที่เตรียมไว้ปักลงบนตัวม้าของเจี่ยงเถิง ส่งผลให้ม้าวิ่งไปวิ่งมาอย่างคลุ้มคลั่งเพราะความเจ็บปวด เจี่ยงเถิงเองก็ถูกสะบัดตกจากหลังม้าไปกองกับพื้น ลูกหนังลูกนั้นจึงไม่ได้ยิงเข้าประตูอย่างที่คาดหวังไว้…

องค์รัชทายาททรงชนะ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างที่เขาคิดไว้ หลินซือวิ่งลงมาจากที่นั่งด้านบน ตรงเข้าไปหาเจี่ยงเถิง จากนั้นก็ประคองตัวเขาขึ้นมา “พี่อาเถิง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? ม้าเป็นอะไร ทำไมจู่ ๆ ถึงได้สูญเสียการควบคุม? ท่านเดินไหวไหม? รีบลุกขึ้นมาให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่?”

เจี่ยงเถิงเองก็ไม่ทันได้เตรียมตัว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดม้าถึงได้คลุ้มคลั่ง ตอนที่ตกลงมาจึงไม่ได้ใช้กำลังภายใน รู้สึกเจ็บปวดร้าวไปทั่วแผ่นหลัง เกรงว่ากระดูกคงเคลื่อน

แต่ครั้นเห็นอาซือร้อนใจเหมือนจะร้องไห้ กลัวว่านางจะเป็นกังวล จึงอดกลั้นความเจ็บปวดแล้วยืนขึ้นมาลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่เป็นไร เด็กโง่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าทักษะของพี่อาเถิงของเจ้ายอดเยี่ยมมากเพียงใด? ล้มแค่นี้จะบาดเจ็บได้อย่างไร? ไม่ร้อง ๆ อาซือคนเก่ง ไปกันเถอะ ข้าแพ้การแข่งขันแล้วคงยืนอยู่ในสนามต่อไปไม่ได้”

หลินซือเช็ดหยาดน้ำตา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ใครบอกให้ท่านเข้าร่วมการแข่งขันเล่า ท่านไม่เคยเล่นกีฬานี้มาก่อน ทำไมต้องมุทะลุเล่นขนาดนี้ด้วย? ถ้าบาดเจ็บขาหัก เดินไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร? หรือแขนหัก เขียนหนังสือไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร? พี่ไม่นึกถึงตัวเองเลยหรือไร? ต่อให้พี่ไม่สนใจความรู้สึกของข้า พี่ก็ต้องนึกถึงท่านป้าเจี่ยงบ้างสิ ถ้านางรู้ว่าพี่ไม่รักตัวเองเช่นนี้ นางจะเสียใจมากเพียงใด!”

ตอนนั้นเจี่ยงเถิงคิดแค่อยากประลองกับองค์รัชทายาทเท่านั้น ไม่ได้คิดมากมายเพียงนั้น

อาซือน่ะมักจะกลัวตัวเองบาดเจ็บ กลัวว่าตัวเองจะทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเสมอเลย เด็กโง่เอ๊ย

“ไอหยา ไอหยา ข้ารู้ผิดแล้ว อาซือคนเก่ง ไม่ร้องไห้สิ ข้าไม่เล่นหม่าฉิวแล้วอย่างไรเล่า อาซือพูดถูก ของแบบนี้ไม่น่าสนุกเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดค้นกีฬาที่น่าเบื่อเช่นนี้ ไปกันเถอะ พี่อาเถิงจะพาเจ้าไปหาของกินอร่อย ๆ” ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นหลินซือร้องไห้ก็ต้องยอมแพ้ ทำได้แค่พูดปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วเบา

เมื่อหลินซือได้รับการปลอบใจอยู่พักใหญ่ก็สงบลงได้ในที่สุด ได้กินขนมกุ้ยฮวาสองสามชิ้นอารมณ์ก็ดีขึ้น “วันนี้แค่ข้าได้เห็นหน้าขนมดอกกุ้ยฮวาชิ้นนี้ ก็ให้อภัยท่านแล้ว แต่ถ้ามีครั้งต่อไปอีก ไปเสี่ยงทำเรื่องที่อันตรายโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเองเช่นนี้อีก ข้าจะไม่เล่นกับท่านอีก”

เจี่ยงเถิงกลั้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “ก็ได้ ๆ เชื่อฟังเจ้าทุกอย่างเลย เจ้าขนมกุ้ยฮวา ต้องขอบใจเจ้ามากนะ ที่ทำให้อาซือไม่ถือสาผู้น้อยและให้อภัยข้าได้”

หลินซือหลุดหัวเราะกับท่าทีหยอกเย้าของเจี่ยงเถิง แม้ว่าหางตาจะยังมีหยาดน้ำตาจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ก็ทำให้นางดูน่ารักระคนน่าสงสารในเวลาเดียวกัน

เจี่ยงเถิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหางตาของนาง จากนั้นก็เช็ดมุมปากของนาง “เด็กโง่ กินเลอะเทอะหมดแล้ว ที่นี่คนเยอะเพียงนี้ ถ้าถูกท่านอาซูเห็นเข้าต้องถูกหาว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไม่ระวังตัวเป็นแน่ ต่อไปใครจะกล้ามาสู่ขอเจ้ากันเล่า?”

หลินซือถลึงตาใส่เขาพลางกล่าวว่า “เฮ้ ๆ!พี่อาเถิงพูดจามั่วซั่ว ท่านแม่ของข้าไม่พูดแบบนี้หรอก ท่านแม่บอกข้าเสมอว่าหญิงสาวที่เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว ต่อไปคนที่รักข้าต้องไม่สนใจกฎระเบียบที่ยุ่งยากซับซ้อนเหล่านั้นแน่นอน คนผู้นั้นต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกับข้า ถ้าเขาไม่ชอบความเป็นธรรมชาติของข้า เช่นนั้นจะอยู่ด้วยกันได้อย่างนั้นหรือ?”

เหยาซูผู้มาจากยุคปัจจุบัน มีความเป็นตัวเองสูงมาก รู้ว่าผู้หญิงจะคล้อยถามผู้ชายตลอดไปไม่ได้ ถ้ามีกิจการของตัวเอง มีคุณค่าในตัวเอง ถึงจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น และเจอความหมายในการใช้ชีวิตและการดำรงอยู่ของตัวเอง

แต่ในสมัยนี้ แม้ว่าเหยาซูจะมีความคิดเช่นนี้ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดของคนในโลกนี้ได้

ในยุคสมัยนี้ สตรีถูกกำหนดให้กลายเป็นเหยื่อในการแย่งชิงของบุรุษ กลายเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงพลังอำนาจของเหล่าบุรุษ

พวกนางไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนศึกษามากเพียงนั้น ตั้งแต่เด็กจนโตต่างถูกสอนให้กลายเป็นสตรีไร้ความสามารถที่มีคุณธรรม คิดว่าการโผล่หน้าออกไปข้างนอกเป็นเรื่องที่น่าอับอาย

เหยาซูก็ใช่ว่าจะไม่เคยจินตนาการมาก่อน นางอยากเปลี่ยนโลกใบนี้

แต่ต่อมานางก็พบว่า ตัวเองนั้นตัวเล็กเกินไป ไม่อาจสั่นคลอนกฎของโลกใบนี้ได้ เรื่องพวกนั้นสำหรับตัวเองไม่เหมาะสมเอาเสียเลย ทว่าไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง

เพราะการพัฒนาของที่นี่ไม่ก้าวหน้ามากพอ บุรุษจึงมีบทบาทที่สำคัญที่สุดในสังคม

เหยาซูตระหนักถึงเรื่องนี้นานแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอีก แต่นางมักจะสอนหลินซือตั้งแต่เด็กว่าอย่าคิดว่าการออกเรือนคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตัวเอง แต่จงรู้ไว้ว่า ทุกเสี้ยวเวลาที่มีความสุขของตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญและมีความหมายมากที่สุด

ภายใต้การสั่งสอนของเหยาซู หลินซือจึงรู้ว่าคนที่ตัวเองตามหาคือคนที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ไม่ใช่คนที่เอาอำนาจและความมั่งคั่งมาให้ตน ของเหล่านั้นเป็นเพียงภาพลวงตา มีแค่ความสุข ความรักที่จริงใจ ถึงจะเป็นสิ่งที่มีค่าและสมจริงที่สุด

หลินซือจำเรื่องที่มารดาเคยเล่าให้ตนฟังได้ บอกว่าเมื่อนานมาแล้ว มีองค์ชายพระองค์หนึ่ง เพื่อช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิ จึงสู่ขอบุตรีของท่านแม่ทัพมาเป็นพระชายา สุดท้ายก็ได้ครอบครองตำแหน่งจักรพรรดิ แต่พระมเหสีกลับถูกเขารังแก

หลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ก็สังหารท่านแม่ทัพที่คุกคามตำแหน่งจักรพรรดิของตัวเอง ทั้งที่แม่ทัพผู้นั้นเป็นคนช่วยผลักดันเขาขึ้นครองตำแหน่งองค์จักรพรรดิ

หลังจากที่พระมเหสีรู้ความจริง นางก็ผิดหวังอย่างมาก

นางไม่กล้าเชื่อว่าคนที่นอนข้างกายตัวเองในทุกวันจะสังหารบิดาของตนได้อย่างเลือดเย็น ตอนแรกตนเป็นคนดึงดันอยากอภิเษกสมรสกับเขาเอง บิดาไม่เห็นด้วย หาว่านางคิดมากไป สุดท้ายก็ทนคำอ้อนวอนของตนไม่ไหว บิดาจึงต้องจำยอมตกลง ท้ายที่สุดจึงเป็นตัวเองที่นำพาความตายมาสู่บิดาของตน

หญิงสาวตรอมใจ นางจึงตัดสินใจหอบลูกในท้องกระโดดลงมาจากศาลาประตูเมืองจบชีวิต ก่อนจากไปนางได้ทิ้งท้ายด้วยประโยคหนึ่งว่า ‘ข้าหวังว่าท่านจะมีชีวิตอย่างสงบสุขบนผืนแผ่นดินที่นองไปด้วยเลือดแห่งนี้’ ต่อมาองค์จักรพรรดิก็ไม่เคยเสด็จไปยังศาลาประตูเมืองอีกเลยเพราะความหวาดกลัว

ทุกครั้งที่เห็นศาลาประตูเมือง เขามักจะนึกถึงพระมเหสีผู้มีชีวิตชีวาอยู่เบื้องหน้าของตนเสมอ สุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดดจบชีวิตเช่นกัน

เขาวางแผนไว้นานมาก บัดนี้สมหวังดั่งปรารถนาแล้ว ได้ขึ้นครองบัลลังก์เหนือคนนับหมื่น แต่ตำแหน่งองค์จักรพรรดิกลับถูกแลกมาด้วยชีวิตที่สดใสมากมายเหล่านั้น รวมถึงความสิ้นหวังและความตรอมตรมใจของนาง

หลังจากที่มารดาเล่าเรื่องนี้จบนางก็เซื่องซึมอยู่เนิ่นนาน ตอนนั้นตัวเองไม่เข้าใจ ก็แค่เรื่องเล่า ต่อมาจึงได้รู้ว่าประวัติศาสตร์นั้นเคยเกิดขึ้นมาก่อน

พระมเหสีผู้นั้นต้องสิ้นหวังขนาดไหน! หลังจากที่หลินซือได้ฟังเรื่องเล่านี้ ก็ยิ่งมั่นคงในตัวเองว่าจะไม่มีวันเข้าวังเด็ดขาด

วังหลวงแห่งนั้น ดูภายนอกงดงามวิจิตร สูงส่ง ความจริงแล้วภายในแปดเปื้อนไปด้วยชีวิตของคนนับไม่ถ้วน กี่ชีวิตแล้วที่ต้องถูกฝังอยู่ในนั้น

……………………………………………………………………………………………………………….