ไม่มีใครยอมกลับ ล้วนแต่เดินเตร่อยู่ด้านนอก
ไม่นานนักก็เห็นไท่จื่อถูกข้าหลวงหามออกมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพา
พระชายาไท่จื่อเม้มปาก เดินตามไปเงียบๆ
หลู่อ๋องที่เดิมตามออกมา เดินตรงไปคุกเข่าอยู่ที่บันไดหิน
คนอื่นๆ ดึงมุมปาก หลุดขำพรืด
พระชายาหลู่อ๋องบึ้งหน้าเดินตามไป นางกัดฟันพลางถามเสียงต่ำ “เจ้าว่างนักหรือ”
คิดว่าเสด็จพ่อเป็นคนโง่หรืออย่างไร ถึงคิดว่าพระองค์จะไม่ทราบว่าเขาตั้งใจ
หลู่อ๋องเขม้นมองไปที่พระชายาก่อนจะถามเสียงต่ำดุจกัน “สตรีนางนี้นี่ เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับผู้เป็นสามีได้อย่างไร”
เขาอุตส่าห์เอาตัวเข้าแลกเพื่อเปิดโปงความชั่วช้าของไท่จื่อ จะมาบอกว่าเขาว่างได้อย่างไร
พระชายาหลู่อ๋องคุกเข่าลงข้างสามีด้วยใบหน้าถมึงทึง พลางกล่าวอย่างแค้นใจ “เสด็จพ่อเพิ่งตรัสให้พี่น้องรักใคร่ปรองดองกัน ยังไม่ทันไรเจ้าก็เหยียบกางเกงไท่จื่อจนร่วงลงมากอง แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่าเจ้าไม่ถูกกับไท่จื่อ แล้วเสด็จพ่อจะมองเจ้าเป็นคนอย่างไร”
หลู่อ๋องบุ้ยปากไม่เห็นด้วย “อย่างไรตอนนี้ข้าก็เป็นจวิ้นอ๋อง เสด็จพ่อมองเช่นไรจะมีประโยชน์อันใด เอาเถอะ เจ้ามิต้องมาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ รีบๆ กลับไปเลี้ยงลูกเถอะ พวกผู้หญิงนี่ผมยาว แต่วิสัยทัศน์สั้นจริง!”
เขาอุตส่าห์เอาตัวเข้าไปเสี่ยงเพื่อแฉไท่จื่อ ความสัมพันธ์ของเสด็จพ่อและไท่จื่อจะได้แย่ลง ไม่แน่ว่าบัดนี้เสด็จพ่ออาจตัดสินพระทัยปลดไท่จื่อแล้วก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็นับว่าคุ้มค่า
คุกเข่านิดหน่อยจะเป็นไรไป อย่างไรเสียหัวเข่าก็ด้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว!
……
ฉีอ๋องกลับมาถึงจวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าห้าก็เอากับเขาด้วย คราวนี้เสด็จพ่อคงหมดหวังในตัวไท่จื่อแล้วจริงๆ”
พระชายาฉีอ๋องกลับมีท่าทีว้าวุ่น “ท่านอ๋อง หรือว่าหลู่อ๋องก็วางแผนอยู่เหมือนกัน…”
ฉีอ๋องยิ้มไม่แยแส “ช่างปะไร เจ้าห้ากล้าหาญแต่ไร้แบบแผน เสด็จพ่อไม่มีทางเก็บเขามาเป็นตัวเลือก”
พระชายาฉีอ๋องพยักหน้า “ท่านอ๋อง พระองค์ว่าคราวนี้เสด็จพ่อหมดหวังในตัวไท่จื่อจริงๆ แล้วหรือเพคะ”
ฉีอ๋องยกชาขึ้นมาจิบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “จากที่รู้จักเสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อยังหวังในตัวไท่จื่อ ก็น่าจะแสดงท่าทีโกรธกริ้วออกมาบ้าง แต่เพราะทรงทอดทิ้งไท่จื่อแล้ว ถึงได้แสดงท่าทีเย็นชาเช่นนั้น”
พระชายาฉีอ๋องยินดีออกนอกหน้า “งั้นก็หมายความว่า เสด็จพ่อทรงวางแผนปลดไท่จื่อแล้วใช่ไหมเพคะ”
ฉีอ๋องวางถ้วยชาลงบนโต๊ะพลางกล่าวเย็นเยียบ “แค่นี้ยังไม่พอ”
“ท่านอ๋อง…”
แววตาฉีอ๋องขับประกายเย็นชา “พระทัยของเสด็จพ่อยากแท้หยั่งถึง การที่ไท่จื่อถูกปลด ยังได้คืนสู่ตำแหน่ง ฉะนั้นจะรับประกันได้อย่างไรว่าหากปลดครั้งที่สอง ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยเดิม”
“พระองค์หมายความว่า…”
ฉีอ๋องกล่าวเนิบนาบ “หากตาย ประวัติศาสตร์ก็จะไม่มีทางซ้ำรอยเดิม”
พระชายาขมวดคิ้ว “แต่จากที่หม่อมฉันเห็น ต่อให้เสด็จพ่อจะเลือกองค์รัชทายาทคนใหม่ แต่ก็มิได้หมายจะเอาชีวิตไท่จื่อนะเพคะ”
“เรื่องนั้นก็ไม่แน่” ฉีอ๋องคลี่ยิ้มกว้าง
……
ไท่จื่อที่ถูกข้าหลวงพาตัวกลับไปที่ตงกงรู้สึกผิดหวังเต็มประดา เขาคว้ามือพระชายาไท่จื่อพลางถาม “เสด็จพ่อจะไม่ทรงยกโทษให้ข้าอีกแล้วงั้นหรือ”
พระชายาไท่จื่อจดจ้องไปที่ข้อมือที่ถูกบีบรัดพลางกล่าวเสียงเรียบ “หม่อมฉันมิทราบเพคะ”
ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ บุรุษผู้นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า หากเสด็จพ่อยังมีเยื่อใยอีกสักนิด พระองค์คงไม่ทรงเงียบเฉย ไม่ตำหนิอะไรเช่นนี้
ไท่จื่อสลัดมือนางทิ้งพลางกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่ทราบ ไม่ทราบ แล้วเจ้าทราบอะไรบ้าง ข้ารู้ว่าเจ้าพาฉุนเกอเอ๋อร์ไปประจบเสด็จพ่อ คิดหรือว่าหากข้ามีอันเป็นไป แล้วพวกเจ้าจะได้อยู่อย่างสุขสบาย”
พระชายาไท่จื่อพิศมองไปที่ผู้เป็นสามีแล้วถอนหายใจ นางกล่าวสะท้อนคำของไท่จื่อ “พระองค์ตรัสถูกต้องแล้วเพคะ เราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน หากชีวิตของพระองค์ตกต่ำ ชีวิตของหม่อมฉันและฉุนเกอเอ๋อร์จะดีได้อย่างไร ดังนั้นหากพระองค์จะทำสิ่งใด ก็ขอให้คิดถึงฉุนเกอเอ๋อร์ให้มากเถิดเพคะ”
“เจ้าไม่ต้องมาสอนข้า!” ไท่จื่อกล่าวด้วยความอัดอั้น เขาพ่นออกมาเพียงประโยคเดียวก็หันหลังเดินหนีไป
……
วันถัดมา ไท่จื่อยังมิได้แม้เฉียดกรายไปใกล้ตำหนักหย่างซินก็ถูกข้าหลวงเชิญให้กลับไป
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งงดเว้นการน้อมทัก องค์รัชทายาทมิจำเป็นต้องเสด็จมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับยังสวนในตำหนักบูรพาอย่างรวดเร็ว และทิ้งตัวนั่งลงในที่สุด
เบื้องล่างคือผืนหญ้าอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมรวยรินปกคลุมอยู่ทั่ว
ไท่จื่อปิดหน้าด้วยความสิ้นหวัง
เขาควรจะทำเช่นไร
จู่ๆ ก็มีเสียงกระซิบถกเถียงลอดผ่านมาทางพุ่มไม้
“หากไท่จื่อโดนปลด พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
ไท่จื่อกำหมัดแน่น ร่างแทบพุ่งปราดไปสอยคนพูด
คนนอกคิดเห็นเช่นนั้นก็ว่าหนักแล้ว แต่คนในตำหนักของเขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ
เขายังเป็นไท่จื่ออยู่นะ!
“อย่าพูดจาเลอะเทอะ ไท่จื่อเพิ่งจะได้กลับมาดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน จะถูกปลดซ้ำสองได้อย่างไร”
“พูดเลอะเทอะที่ไหนกัน เจ้าไม่เห็นท่าทีของฝ่าบาทหรือ”
“ฝ่าบาทก็มิได้แสดงอาการกริ้วใส่ไท่จื่อนี่หน่า…”
“นั่นยิ่งแย่ใหญ่”
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น”
“เจ้าลองคิดดู องค์รัชทายาทสำคัญต่อความเป็นอยู่ของแผ่นดินต้าโจว แล้วฮ่องเต้จะไม่ทรงสนพระทัยใยดีได้อย่างไร แต่วันนี้ฝ่าบาทกลับไม่กริ้วไม่โกรธไท่จื่อ ก็แสดงว่าอาจมีความคิดเป็นอื่น…”
“เจ้าหมายถึงฝ่าบาทจะทรงปลดไท่จื่อเป็นครั้งที่สองอย่างนั้นหรือ…”
“เบาเสียงหน่อย!” อีกคนกล่าวเสียงต่ำ “เราไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์เรื่องของพระองค์ท่าน อย่างไรพวกเราก็เป็นคนของตงกง หากไท่จื่อถูกปลด พวกเราก็คงมีจุดจบไม่ต่างกัน พวกคนก่อนๆ คงรู้ดี”
“งั้นจะทำอย่างไร ไม่มีทางออกอื่นแล้วหรือ”
“ทางออกอื่น? ในเมื่อก้าวเท้าเข้ามาอยู่ในตงกงแล้ว เจ้าคิดว่าจะมีทางออกอื่นให้ไปงั้นหรือ ทุกความรุ่งเรือง ทุกความตกต่ำของพวกเราล้วนขึ้นอยู่กับไท่จื่อทั้งสิ้น”
“หากองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ก็คงดี”
“อยากตายหรืออย่างไรถึงได้กล้าพูดออกมาแบบนั้น!”
“พวกเราคุยกันเบาจะตาย ไม่มีใครได้ยินหรอกน่า ข้าก็แค่เสียดาย พระองค์อุตส่าห์ดำรงตำแหน่งมาตั้งสามสิบกว่าปี แค่อีกนิดเดียว แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น…”
อีกคนถอนหายใจพร้อมพ่นลมออกมา “คงเป็นโชคชะตา ฮองเฮาพระองค์ก่อนก็ไม่อยู่ปกป้องไท่จื่อเสียด้วย...”
ไท่จื่อกำหมัดแน่นกว่าเก่าจนเส้นเลือดสีน้ำเงินปูดนูนขึ้นมา
ไท่จื่อไม่ได้แสดงตัว
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะลากคอสองคนนั้นมาสั่งสอน แต่ทว่าตอนนี้กลับไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้น
คนพวกนั้นว่าถูกแล้ว เสด็จพ่อไม่แม้แต่จะโมโหเขาเสียด้วยซ้ำ คงตัดสินพระทัยแล้วว่าจะปลดเขาแล้วจริงๆ
ถูกปลดถึงสองครั้ง...เขาได้กลายเป็นเรื่องชวนหัวครั้งใหญ่บนหน้าประวัติศาสตร์เป็นแน่!
ไท่จื่อเผ่นพรวดไวว่องเข้าไปที่ห้องตำรา แล้วหยิบบันทึกประวัติศาสตร์ออกมาดู
เขาพลิกดูเล่มแล้วเล่มเล่า จุดจบของเหล่าองค์รัชทายาทที่ถูกปลดแต่ละคนชวนให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
เขาเจอแม้กระทั่งว่า องค์ชายที่ถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทตั้งแต่เกิดและได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นมีเพียงหยิบมือ โดยมากแล้วมักจะพบจุดจบอันน่าเศร้าสลด
ไท่จื่อซัดหมัดใส่ชั้นวางหนังสือ
ไม่ได้ เขาจะปล่อยให้ตัวเองพบเจอจุดจบเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด!
ถ้างั้นเขาควรทำอย่างไร
คำพูดของข้าหลวงผุดขึ้นในหัว
‘หากองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ก็คงดี’
‘พระองค์อุตส่าห์ดำรงตำแหน่งมาตั้งสามสิบกว่าปี แค่อีกนิดเดียว แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น…’
ไท่จื่อใจเต้นรัว
ทำอย่างไรเขาถึงจะได้ขึ้นครองราชย์
แทนที่จะมานั่งวิตกว่าจะถูกเสด็จพ่อปลด หากได้เป็นฮ่องเต้ ผู้ใดจะปลดเขาได้
จริงสิ หากเขาจะเป็นฮ่องเต้ เขาก็ต้องขึ้นครองราชย์ก่อนที่เสด็จพ่อจะปลดเขาจากตำแหน่งไท่จื่อ!
ไท่จื่อกดมือลงบนตำแหน่งหัวใจพร้อมกับความคิดแวบแล่นในหัว หากจะขึ้นครองราชย์ ก็ต้องทำให้เสด็จพ่อสวรรคตเสียก่อน!