ไท่จื่อคนหนึ่ง ไท่จื่อที่ไร้อนาคตคนหนึ่งหมายจะโค่นฮ่องเต้ยากเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
การจะสังหารฮ่องเต้นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะแม้แต่พระพักตร์ของเสด็จพ่อ เขายังไม่ได้เห็น
ยกทัพ? น่าขันสิ้นดี เขามีแค่ทหารใต้บังคับบัญชาในตงกงเพียงหยิบมือจะไปรบกับใครได้ แค่คิดหาวิธียังยากยิ่ง
ไท่จื่อทึ้งผมตัวเอง
ดูเหมือนว่าการใช้ทางตรงจัดการกับเสด็จพ่อคงยากเกินไป
ทำอย่างไรดี
ไท่จื่อนั่งนิ่งติดเก้าอี้ สายตาเหม่อลอยไปบนเพดาน สมองยังคงครุ่นคิดอย่างหนัก
อีกคนที่กำลังขบคิดอย่างหนักไม่ต่างกันก็คือฉีอ๋อง
เขาใคร่รู้ว่าไท่จื่อจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
แม้จะจุดประกายการเดิมพันครั้งสุดท้ายของไท่จื่อได้แล้ว แต่สุดท้ายพี่รองแสนโง่เขลาของเขาจะวางแผนทำอะไร เขาไม่อาจรู้ได้
นี่เป็นจุดที่ฉีอ๋องรู้สึกเสียดายยิ่งนัก
เขาอาศัยอยู่ที่นอกพระราชวัง ยากที่จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องในวังหลวง
ข้าหลวงสองคนในตำหนักบูรพาถูกชักจูงได้ง่ายเนื่องด้วยสถานการณ์ภายในตกอยู่ในสภาพง่อนแง่น
แค่เขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะเลี้ยงดูทั้งสองอย่างดี ทั้งคู่ก็ยินยอมพร้อมใจอย่างว่าง่าย
หากช่วยเป็นธุระให้เขา คนพวกนั้นก็ยังมีอนาคต แต่หากตามไท่จื่อ ทางรอดเดียวที่ยังเหลือก็คือหนทางสู่ความมรณา หากมิได้โง่จนเกินไป ก็คงรู้ว่าควรเลือกทางไหน
ไท่จื่อกระสับกระส่าย นั่งเหม่อเกือบทั้งวัน คล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ท่าทีของไท่จื่อทำให้พระชายาไท่จื่อเป็นกังวล ถึงแม้ว่านางจะหมดหวังในตัวบุรุษผู้นี้ไปแล้ว แต่ก็ยังมิวายเอ่ยโน้มน้าว “พระองค์ตั้งสติเสียหน่อยเถิดเพคะ อย่าปล่อยตัวปล่อยใจเช่นนี้เลย”
อดทนไว้ก่อน อดทนกว่าเสด็จพ่อจะทรงหายดีพอที่จะจัดการเรื่องปลดไท่จื่อ ครอบครัวจะอยู่อย่างสงบสุขเสียที
ครั้นไท่จื่อได้ยินพระชายาตรัสเช่นนั้นก็เร้าโทสะขึ้นมาทันที “เจ้าจะให้ข้าตั้งสติอะไรอีกเล่า ขนาดเจ้า เจ้ายังตุ๋นข้าวต้มไปถวายเอาใจเสด็จพ่ออยู่ทุกวัน เจ้าคิดว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยได้หรือ ในเมื่อหากเสด็จพ่อปลดข้า เจ้าคิดว่าตัวเองจะยังได้เป็นพระชายาไท่จื่อต่องั้นหรือ”
พระชายาไท่จื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป “หม่อมฉันมิได้เสียดายตำแหน่งชายาไท่จื่อเลยสักนิดเพคะ…”
ไท่จื่อบีบคางของนางอย่างเดือดดาล เอ่ยเสียงลอดไรฟัน “แล้วเจ้าอยากเป็นอะไร”
ไม่อยากเป็นพระชายาไท่จื่อ นางกำลังดูแคลนไท่จื่ออย่างเขาอยู่งั้นหรือ หรือว่าอยากเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋อง
เขากะแล้วเชียวว่าหญิงแพศยานางนี้จะต้องคิดไม่ซื่อกับเจ้าเจ็ด!
พระชายาไท่จื่อไม่ทราบว่าไท่จื่อเอาความคิดอกุศลเช่นนั้นมาจากที่ใด ขนตาของนางสั่นระริก ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ย “หม่อมฉันแค่อยากเป็นมารดาของฉุนเกอเอ๋อร์นานๆ ก็เท่านั้นเพคะ”
ต่อให้นางจะต้องเป็นสามัญชน นางก็ยอม นางกลัวว่าไท่จื่อจะพานางไปพบจุดจบอันโหดร้าย จนนางไม่มีโอกาสได้เห็นบุตรชายเติบโต ยิ่งไปกว่านั้นคือนางกลัวว่าฉุนเกอเอ๋อร์จะพลอยตกระกำลำบากไปด้วย…
ใบหน้าของพระชายาไท่จื่อซีดขาวราวหิมะ นางไม่กล้าคิดต่อ
คำตอบนั้นทำให้ไท่จื่อชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่จะปะทุอีกครั้ง มือข้างหนึ่งฟาดลงบนหน้าของพระชายา “นางตัวซวย นี่เจ้ากำลังแช่งข้าหรือ!”
พระชายากุมแก้มข้างที่แสบร้อน ไม่กล้าสบตาไท่จื่อ
ความสัมพันธ์ของนางและไท่จื่อกระท่อนกระแท่นมานานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไท่จื่อลงไม้ลงมือกับนาง
ครั้นเห็นพระชายามีท่าทีเช่นนั้น ไท่จื่อยิ่งได้ใจ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความเย็นชา “ในเมื่อเสด็จพ่อเลิกหวังในตัวข้าไปแล้ว เจ้าคิดหรือว่าข้าจะสนใจ”
ใจของนางเริ่มเย็นยะเยือก
เมื่อก่อนที่ชายผู้นี้ไม่ทำร้ายนางก็เพราะกลัวว่าหากเสด็จพ่อทรงทราบจะทรงพระพิโรธ ในเมื่อบัดนี้แก้วแตกจนไม่มีชิ้นดีแล้ว เขาถึงได้เหิมเกริมเพียงนี้
“อีกน้อยก็เลิกพูดจาอัปมงคลเสียที!” ไท่จื่อพ่นประโยคนั้นแล้วก็สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
พระชายาไท่จื่อจดจ้องไปที่แผ่นหลังของไท่จื่อเงียบงัน ความคิดผุดขึ้นในหัวของนาง ในเมื่อไท่จื่อรู้แล้วว่าไม่อาจรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ แล้วเหตุใดเขาถึงได้ดูมั่นอกมั่นใจเพียงนั้น
ไท่จื่อเดินหนีพระชายาออกมา และตรงดิ่งไปหานางในคนโปรด
นางในเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “องค์รัชทายาทไม่สบายพระทัยหรือเพคะ”
ไท่จื่อชำเลืองมองไปที่หญิงนั้น ทว่ามิได้โต้ตอบ
“อารมณ์ขุ่นมัวจะเป็นการรทำร้ายสุขภาพนะเพคะ พระองค์เสวยพระสุธารสชาหน่อยเถิดเพคะเผื่อจะดีขึ้นเพคะ” นางในส่งถ้วยชาให้ไท่จื่อ
ไท่จื่อรับไปดื่ม แต่ในใจยังคงว้าวุ้น เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะพลางรำพึง “จะทำให้คนๆ หนึ่งตายอย่างไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุได้อย่างไร”
“พระองค์ตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”
ไท่จื่อ ‘สนทนา’ กับนางในผู้นี้มานานแรมปี ในสายตาของเขา นางเป็นเหมือนที่พึ่ง ในเมื่อไม่รู้จะถามใคร เขาจึงถามนาง “เจ้าว่า มีวิธีใดที่จะฆ่าคนโดยที่คนอื่นๆ ไม่รู้หรือเปล่า”
ใบหน้าของนางในซีดลงเล็กน้อย นางขบริมฝีปากพลางเอ่ย “วางยาพิษ?”
ไท่จื่อส่ายหัว “วางยาพิษไม่ได้ เพราะทำเช่นนั้นสามารถหาสาเหตุได้”
อันดับแรกเขาต้องไปหายาพิษ ส่วนลำดับถัดมาเขาต้องวางยาเสด็จพ่อ ซึ่งทั้งสองขั้นตอนล้วนแล้วเป็นไปไม่ได้
ไท่จื่อท้อใจ
เขาคิดมาสารพัดวิธีแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบ เขาถึงได้มาถามจากนางใน หากเขายังคิดไม่ออก แล้วนางในธรรมดาๆ จะคิดออกได้อย่างไร
แต่แล้วก็ได้ยินนางในผู้นั้นเอ่ยแผ่วเบา “ทำคุณไสย?”
ไท่จื่อผงะไปก่อนจะถามซ้ำ “เจ้าว่าอะไรนะ”
ใบหน้าของนางในขาดสี น้ำเสียงสั่นด้วยความขลาดกลัว “ที่บ้านเกิดของบ่าวทำไสยศาสตร์กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งวิธีนี้สามารถทำให้คนเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุเพคะ…”
“แล้วต้องทำอะไรบ้าง” ไท่จื่อรุกคืบเสียงสั่น
นางในขบริมฝีปากอีกครั้ง “ไม่ยากเพคะ นำไม้ถงมาแกะเป็นหุ่นคน และให้สลักวันเกิดและคาถาไว้บนหุ่นไม้ จากนั้นให้นำไปฝัง…”
ดวงตาของไท่จื่อเปล่งประกายพร้อมหัวใจที่เต้นรัว
……
โรคมาเยือนไวปานเขาถล่ม โรคหายใช้เวลานานปานเก็บใยจากหนอนไหม จิ่งหมิงฮ่องเต้ล้มป่วยมาระยะหนึ่ง แม้ตอนนี้จะยังดูไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ตัดสินใจออกว่าราชการที่ท้องพระโรง
การมิได้ออกว่าราชการนานๆ คงไม่ดี
เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก็รื่นเริงยินดี
ในที่สุดพระอาการของฝ่าบาทก็ดีขึ้น พวกเขาจะได้เบาใจลงเสียที
สองสามวันนี้ เหล่าขุนนานต่างก็มาเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเฉียนชิงตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ก็ได้ทราบข่าวว่าพระอาการประชวรของฝ่าบาทยังไม่ดีขึ้น จึงงดเว้นกิจของราชสำนัก แต่เมื่อวันนี้ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทำให้ทุกคนต่างปีติยินดี
มิใช่เรื่องแปลก แม้องค์รัชทายาทจะเข้าสู่วัยที่สามารถขึ้นครองราชย์ได้แล้ว แต่เพราะยังทำตัวเหลวไหลไม่เอาถ่าน หากฮ่องเต้ทรงเป็นอะไรไปเสียก่อน มีหวังต้าโจวคงตกอยู่ในวิกฤตเป็นแน่
พานไห่พยุงจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินออกมาประทับบนบัลลังก์มังกร รอจนกระทั่งเหล่าขุนนางถวายความเคารพแล้วก็กล่าวเสียงเรียบ “ยืดหลังขึ้นเถิด”
เหล่าขุนนางยืดแผ่นหลังกลับสู่ท่าเดิมแล้วรีบสอดส่ายสายตาไปที่ฮ่องเต้ทันที เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
พระพักตร์ของฝ่าบาทดูแจ่มใสขึ้นมากแล้ว ขอบคุณสวรรค์
“อ้ายชิงทั้งหลายมีเรื่องอันใดก็รายงานมาเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้ออกว่าราชการหลายวันจึงรู้สึกคิดถึงอยู่เล็กน้อย การได้กลับมาอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยทำให้มีรอยยิ้มปรากฏชัดบนใบหน้า
เขาไม่ได้ยินเสียงคนแก่หงำเหงอะพวกนี้ถกกันเอาเป็นเอาตายมาพักใหญ่แล้ว
ขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมาก่อนจะรายงานสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา
ตามมาด้วยขุนนางอีกคน
พวกเขาเฝ้ารอวันที่ฮ่องเต้จะเสด็จว่าราชการ ถึงได้กระตือรือร้นกันเพียงนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดทนฟังอย่างใจเย็น แต่ในใจยังคงใคร่ครวญเรื่องที่จะปลดไท่จื่อ
การปลดไท่จื่อครั้งที่สองมิใช่เรื่องเล็ก ต้องใจเย็นไว้ก่อน อย่างน้อยๆ ต้องไม่ใช่ตอนที่เขาเพิ่งจะหายดี เพราะหากเอ่ยเรื่องนั้นตอนนี้ เหล่าขุนนางคงได้ใจหายใจคว่ำกันอีกรอบ
ฝ่ายบรรดาขุนนางก็เห็นว่า ฮ่องเต้เพิ่งหายจากอาการประชวร จึงไม่อยากยกปัญหาหนักๆ ขึ้นมารายงาน ฉะนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไม่ได้เห็นฉากที่เหล่าขุนนางถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายวันนี้ ไม่นานนัก กิจการงานทั้งปวงก็เป็นอันเสร็จสิ้น
“หากมีเรื่องก็รายงานออกมาได้ แต่หากหมดเรื่องแล้วก็ออกไปได้…”
ทั้งหมดค้อมตัว “กระหม่อมน้อมส่งฝ่าบาท”
พานไห่พยุงจิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกจากที่นั่ง เดินไปได้เพียงสองก้าวก็รู้สึกเจ็บแปลบที่บริเวณหัวใจ จากนั้นร่างทั้งร่างก็เซล้มลง