บทที่ 602 น่าสงสัยเป็นอย่างมาก

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 602 น่าสงสัยเป็นอย่างมาก

พูดถึงตรงนี้ เย่แจ๋หยิ่งหัวเราะเจื่อนๆเสียหนึ่ง ในตามีความเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย

หลานเยาเยามองเย่แจ๋หยิ่งอย่างตะลึง นางเห็นดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยของเขา และริมฝีปากที่เม้มสนิท

นางก็เคยเดาตัวตนที่แท้จริงของเย่แจ๋หยิ่งได้อย่างเลือนราง กระดูกศพหลายชิ้นในสุสานหลวง ตัวตนปลอมของเซียวซื่อจื่อบนที่บวงสรวงเทพแห่งสวรรค……

เหล่านี้นางรู้ทั้งหมด

อย่างเดียวไม่รู้ก็คือ ตาเฒ่าเย่นยังเคยเป็นอาจารย์ของเขา

“เย่แจ๋หยิ่ง ท่านไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว ท่านคือทำเพื่อผู้คนบนโลกนะ!”

ตอนนั้นราชครูเทียนเวิงออกจากเมืองหลวง เดินทางไปเสาะหายาฉางตานที่ทะเลทราย ประจวบเหมาะกับวันที่เย่แจ๋หยิ่งถือตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่า นำผู้ใต้บัญชาเก่าของราชวงศ์เก่าเข้าโจมตีเมืองหลวง เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการยึดตำแหน่งฮ่องเต้ที่เดิมควรจะเป็นของเขาคืน

แต่ว่า……

เวลานั้นก็เป็นโอกาสที่ดีในการทำลายทุ่งดอกกระดูกขาวทั้งหมดในคราวเดียวพอดี โอกาสหายาก จะพลาดไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้โลกวุ่นวายใหญ่โต ประชาชนไม่มีทางมีชีวิตได้ ทั้งแผ่นดินใหญ่ใต้โลกอาจจะต้องกลายเป็นคนโดนมนต์ดำ

เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้มีความผิด!

ตาเฒ่าเย่นก็ไม่ได้ผิดหวัง เขาเพียงแค่เสียดาย…….

“อาณาประชาราษฎร์ใต้ผืนฟ้า?”

เย่แจ๋หยิ่งบ่นพึมพำไม่กี่คำนี้ จากนั้นก็ส่ายหัวเงียบๆ สีหน้าโศกเศร้าไปมาก

ใช่แล้ว!

อาณาประชาราษฎร์ใต้ผืนฟ้า

ตั้งแต่เด็กคนที่เขาใกล้ชิดรวมถึงเชื่อใจ ถ้าให้การสั่งสอนเขาก็คือราษฎร อาณาประชาราษฎร์ใต้ผืนฟ้า ไม่ก็คือเชื่อฟังคำสั่งเขา ซื่อสัตย์ไม่แปรผัน

เขาก็เคยคิดว่า ตัวเองมีชีวิตก็เพื่ออาณาประชาราษฎร์ใต้ผืนฟ้า เพื่อยึดชิงทุกอย่างที่เดิมทีควรเป็นของตัวเองกลับคืน

แต่ว่า หลังจากได้พบนาง จึงได้เข้าใจ ตัวเองที่อดีตเป็นเพียงคนไม่ได้เรื่องไม่มีปณิธาน ไม่มีอะไรแตกต่างกับคนโดนมนต์ดำ เพราะนางเพิ่มแสงสว่างเข้ามาให้ในชีวิต อบอุ่นจิตใจที่เย็นเป็นน้ำแข็งของเขา

ความเป็นความตายการจากลาไม่กี่ครั้ง เขาจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริง ในอาณาประชาราษฎร์ใต้ผืนฟ้าที่เขาต้องการปกป้องมีนางที่เขาทำใจตัดทิ้งไม่ลง

เพื่อนาง ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว ที่สำคัญกว่าอาณาประชาราษฎร์ใต้ผืนฟ้า เพียงแค่เพราะข้างในนั้นมีนาง

นางก็คืออาณาประชาราษฎร์ใต้ผืนฟ้าของเขา นางก็คือกรงขังของเขา นางก็คือคนที่เขายินยอมเสียสละทุกอย่าง และเขาก็ยินยอมพร้อมใจให้นางจำกัดขอบเขตการกระทำ ตกลงไปอยู่ในนั้น

โชคดี!

นางยังอยู่

เขาก็ยังอยู่

เหมือนกับว่าเย่แจ๋หยิ่งจะนึกอะไรได้ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ปล่อยวางต่อสายตาที่ผิดหวังของตาเฒ่าเย่น

ตาเฒ่าเย่นผิดหวังต่อเขา แล้วทำไมเขาจะไม่เคยผิดหวังต่อตัวเองล่ะ?

รู้ว่าเขาสละตำแหน่งฮ่องเต้เพื่อหลานเยาเยา เขาก็ติดตามหลานเยาเยาไปที่ทะเลทรายอย่างรีบร้อน ไม่รู้เลยว่าในใจของเขา หลานเยาเยาก็คือญาติคนสนิทที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากภารกิจของเขา

“ได้ยินคนบอกว่า อาจารย์เคยหยิบไข่มุกใสๆเม็ดหนึ่งขึ้นมาชม จากนั้นก็เอาเรื่องอาณาประชาราษฎร์ใต้ผืนฟ้ามาพูดบ่อยๆ ทั้งยังจะสั่งสอนคนอื่นเสมอ : ‘เป็นคนก็ต้องเหมือนไข่มุกเม็ดนี้โปร่งใส่ชัดเจนมีสติ’ เขาทำได้แล้วจริงๆ”

เย่แจ๋หยิ่งหยิบธูปสามก้านที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา ยื่นไปด้านหน้าของหลานเยาเยา

“ช่วยข้าจุดธูปคารวะอาจารย์สิ!”

เห็นนางรับธูป เขาจึงเดินไปอีกข้างหนึ่ง ให้เวลาที่เพียงพอกับนาง

“ได้!” นางต้องการพอดี!

จุดธูปแล้ว เดินไปถึงหน้าป้ายศิลา หลานเยาเยาคุกเข่าลงสองข้างทำความเคารพอย่างมีมารยาท ไหว้เก้าครั้งโขกศีรษะสามที

“ตาเฒ่าเย่น ไม่สามารถมาเยี่ยมท่านได้ในเวลาแรก หลานสาวไม่กตัญญู แต่ข้าอยากบอกท่านที่สุดคือ ข้ายังมีชีวิตอยู่ หวังว่าวิญญาณบนสวรรค์ของท่านจะเป็นสุขสงบ”

ต่อจากนั้นนางก็พูดเรื่องจุกจิกเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังพูดจาเรื่อยเปื่อยกับตาเฒ่าเย่น พูดครั้งหนึ่งก็เป็นเวลาครึ่งก้านธูป เวลาอีกครึ่งก้านธูปหลัง นางก็นิ่งเงียบแล้ว จากนั้นพิงป้ายศิลาเล็กน้อยแล้วร้องไห้

ขณะที่จากไป เย่แจ๋หยิ่งเห็นตาของนางค่อนข้างบวมแดง จึงยื่นมือออกไป ให้แขนเสื้อกว้างๆที่หรูหราบังลมเย็นให้นาง เพื่อป้องกันพัดทำให้ตานางบาดเจ็บ

สองคนเดินออกจากสำนักหงอีตามลำดับก่อนหลัง ไม่บอกผู้ใด

ขณะที่ยู่หลิวซูและเหล่าผู้อาวุโสรู้ คนก็จากไปไกลนานแล้ว รู้ว่าพวกเขาไปเซ่นไหว้เย่นเฉิงเสี้ยงหลังเขาแล้ว คนทั้งกลุ่มไปที่ป่าไผ่หลังภูเขาอย่างรีบร้อน

ไฟธูปที่ไหว้ยังไม่มอดดับ กลิ่นหอมยังคงอยู่

“นี่อ๋องเย่หมายความว่าอย่างไร? เย่นเฉิงเสี้ยงก็ไม่อยู่แล้ว กลับพาคุณชายซ่างกวนมาเซ่นไหว้ด้านหน้าสุสานของเขา อยากให้เย่นเฉิงเสี้ยงฟื้นงั้นหรือ?”

ผู้อาวุโสเจ็ดพูดจาห้วน แน่นอนว่าส่วนตัวแล้วเขาก็พูดเช่นนี้

“พวกท่านดู?”

ผู้อาวุโสสามดวงตาแหลมคม ทันทีที่มองก็เห็นไข่มุกใสๆแวววาวเม็ดหนึ่งในกองของเซ่นไหว้ นั่นคือไข่มุกที่เย่นเฉิงเสี้ยงชอบหยิบขึ้นมาดูตอนมีชีวิตอยู่

“เป็นมุกหมิงซิน! ไม่ใช่ว่าเย่นเฉิงเสี้ยงมอบให้อดีตเจ้าสำนักไปแล้วหรือ? ทำไมมันอยู่ที่นี่ได้?”

“คงจะเป็นอ๋องเย่หรือไม่?”

“อ๋องเย่ไม่เคยรู้ว่าไข่มุกของเย่นเฉิงเสี้ยงได้ส่งมอบออกไปแล้ว หากว่าเป็นเขาวาง ไม่ต้องไม่ให้พวกเราตาเฒ่าเหล่านี้รับรู้”

“เช่นนั้นเป็นใคร?”

บรรดาผู้คนเงียบแล้ว

ผู้อาวุโสรองมองดูมุกหมิงซินเม็ดนั้นแล้วตกอยู่ในความคิด เขารู้แล้วว่าใครทิ้งไว้ เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมซ่างกวนหนานซู่ถึงได้มีสิ่งของของอดีตเจ้าสำนัก

กลับเป็นยู่หลิวซูที่มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

ในทะเลทราย เย่หลีเฉินเคยบอก เทพธิดาที่มีชีวิตอีกไม่นานถูกพระคุณเจ้าหยวนซูพาไปแล้ว เดิมทีเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อปลอบขวัญผู้อาวุโสทุกท่าน เขาทำได้เพียงทำตามความหมายของเย่หลีเฉินบอกกล่าวแก่บรรดาผู้คนสำนักหงอี

ตอนนี้ดูเหมือนว่า เย่หลีเฉินไม่ได้โกหก!

เป็นท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ? เจ้าสำนัก!

หลานเยาเยากับเย่แจ๋หยิ่งออกจากสำนักหงอีเดิมทีวางแผนกลับเมืองหลวงโดยตรง แต่คิดไม่ถึงตอนครึ่งทางจะพบกับนักฆ่ากลุ่มหนึ่ง คนจำนวนมากมาย เหมือนว่าจะมีการเตรียมการมาแล้ว

นักฆ่ายังไม่เคยพบพวกเขา กลับถูกองครักษ์ลับที่ออกสำรวจเส้นทางก่อนพบ

รู้ว่าการเดินทางถูกเปิดเผย เพื่อเลี่ยงการใช้กำลังภายในของเย่แจ๋หยิ่ง หลานเยาเยาตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง อ้อมไปไกลและเดินทาง

นักฆ่ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น เดิมทีเย่แจ๋หยิ่งไม่ได้ใส่ใจ

แต่ภายใต้ความแน่วแน่ของนาง เย่แจ๋หยิ่งลูบหัวของนาง ตกลงแล้ว

หลังจากอ้อมทาง ตลอดทางสงบไร้อุปสรรค

ใกล้ค่ำ รถม้าหยุดลงตรงข้างๆโรงเตี๊ยมที่หนึ่ง เวลานี้ลูกค้าที่ไปๆมาๆจะมากกว่าตอนเที่ยงนิดหน่อย แต่ก็เป็นโรงแรมตามป่า เทียบกับโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงที่การค้ารุ่งเรืองไม่ได้

หลานเยาเยาเหยียบเข้าไปในร้าน ฝีเท้าชะงัก ด้านในมีลูกค้าบางตา นั่งกระจัดกระจาย สวมชุดที่จงใจแต่งให้เหมือนกับชาวบ้านธรรมดา แต่แรงสังหารที่ดุเดือดบนร่างกายนั้นอย่างไรก็เก็บไม่อยู่

แต่นางก็เพียงแค่ชะงักเท่านั้น แล้วก็เข้าไปในร้านพร้อมกับเย่แจ๋หยิ่ง หาโต๊ะว่างนั่งลง สั่งเหล้าอาหารค่อยๆกิน

แต่ลูกค้าคนอื่นในร้าน ในขณะที่พวกเขาเข้ามายังจงใจมองดูพวกเขามากขึ้นอีกแวบหนึ่ง สาเหตุก็เพราะโฉมหน้าและรัศมีของพวกเขา หลังจากนั่งลง ก็ไม่ได้มองมาทางพวกเขาทางนี้อีก

พวกเขากินข้าวเชื่องช้าเป็นอย่างมาก หลังจากกินเสร็จคิดเงิน พบว่าพวกเขายังอยู่

ขึ้นรถม้า ทันทีที่มือใหญ่ของเย่แจ๋หยิ่งโบก รถม้าเคลื่อนที่แล้ว แต่กลับไม่เดินทางไปทางเมืองหลวง แต่คือมุ่งไปที่ทางแยกอีกทางหนึ่ง

“เย่แจ๋หยิ่ง คนเหล่านั้นมีความแปลกประหลาด”

ข้าวถั่วลิสงหนึ่งจาน เหล้าเข้มหนึ่งชาม ทำไมสามารถทำให้คนไม่กี่คนที่นั่งแยกกัน ไม่พูดจาแต่กลับสามารถนั่งได้ครึ่งวัน อีกทั้งเมื่อมองดูท่าทางของพวกเขา ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยสามารถอดกลั้นได้ชนิดนั้น

“อืม!” เย่แจ๋หยิ่งพยักหน้า “แรงสังหารรุนแรงมาก!”

“ก่อนออกมา ท่านยังจำคำที่เสี่ยวเอ้อพูดพึมพำกับตัวเองได้ไหม?”

นึกย้อนถึงเมื่อครู่ พวกเขาเพิ่งจะเหยียบออกจากโรงเตี๊ยม ก็ได้ยินเสี่ยวเอ้อที่ยืนอยู่ข้างๆบ่นกับตัวเองว่า : “ไม่กี่วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลูกค้าที่มาในร้านสั่งอาหารไม่กี่อย่าง พอนั่งก็นั่งทั้งวัน เมื่อฟ้าเริ่มมืดก็ยังยิ่งรวมกันมากขึ้นเรื่อยๆ เอาโรงเตี๊ยมทำเป็นอะไรแล้ว?”

คนเหล่านี้น่าสงสัยเป็นอย่างมากจริงๆ

เมื่อหลานเยาเยาเข้าโรงเตี๊ยมก็พบว่า ตอนนี้แต่ละครัวเรือนล้วนกำลังจับจ่ายของใช้ปีใหม่ ไหนเลยจะมีเวลาว่างสบายๆมาถึงโรงเตี๊ยมพอนั่งก็นั่งทั้งวัน หลังจากถึงกลางคืนดึกดื่นยังจะรวมตัวกันขึ้นมาอีก

นี่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก!

เย่แจ๋หยิ่งก็เห็นแล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม

“จำได้แน่นอน หวังว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเหมือนที่ข้าคิด”