บทที่ 603 รอโอกาสอย่างเงียบๆในที่ลับ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 603 รอโอกาสอย่างเงียบๆในที่ลับ

“หืม?”

น้อยมากที่จะเห็นสีหน้าเย่แจ๋หยิ่งเคร่งขรึมเช่นนี้ เรื่องที่เขาคิดจะต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการรวมประเทศของฮ่องเต้แน่นอน ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามไปหนึ่งประโยค

“ท่านคิดถึงอะไร?”

“ปัจจุบันมีสี่ประเทศมหาอำนาจและประเทศเล็กๆที่อ่อนแอ สี่ประเทศมหาอำนาจแบ่งเป็นเชียนหลิง ก่วงส้า ซีเม่าและผึงไหล อดีตของประเทศก่วงส้าช่วงแรกเริ่มในการแบ่งแยกเป็นประเทศอันดับหนึ่ง

แม้แต่ช่วงราชวงศ์เก่า ก็คือตำแหน่งที่หนึ่ง แต่หลังจากที่ราชวงศ์เก่าถูกอัคคีภัยเผาทำลายล้าง เวลาเพียงไม่กี่สิบปี จากที่หนึ่งของสี่ประเทศมหาอำนาจ ร่วงลงมาอยู่อันดับที่สาม ผึงไหลที่กำลังทหารไม่แข็งแกร่งดูเหมือนว่าอยู่อันดับที่สี่ ความจริงกลับไล่และนำหน้าก่วงส้าไปนานแล้ว

ตอนนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ครองราชย์มากกว่าหนึ่งปีแล้ว วันปีใหม่ในปีที่แล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ทุกอย่างฉุกละหุกเกินไป เพื่อให้ได้ใจของราษฎร และเพื่อต้อนรับฮ่องเต้องค์ใหม่ บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดล้วนแนะนำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่พระราชทานอภัยโทษให้ทุกคน

นี่เดิมทีเป็นประเพณีที่กระทำมาทุกสมัยทุกราชวงศ์ แต่อดีตฮ่องเต้ไปทะเลทรายรอบหนึ่ง สิ้นพระชนม์กะทันหัน มีองค์ชายรัชทายาทกลับมาเพียงผู้เดียว ขุนนางที่อยู่ฝั่งเดียวกับอดีตฮ่องเต้ อ้างเรื่องนี้ก่อความวุ่นวาย สร้างความลำบากให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ ดังนั้นวันปีใหม่แรกที่เย่หลีเฉินเผชิญหน้าหลังจากที่ขึ้นครองราชย์อย่างฉุกละหุกก็คือความสับสนวุ่นวาย

ปีนี้หลังจากที่สามารถอดทนกดความหยิ่งผยองของพรรคพวกอดีตฮ่องเต้ฝั่งนั้นได้แล้ว วันปีใหม่จำเป็นจะต้องจัดขึ้นอย่างใหญ่โต แต่กลับไม่เคยคิดว่าสามประเทศมหาอำนาจที่เหลือล้วนส่งขุนนางผู้ใหญ่มาร่วมแสดงความยินดีด้วย จุดประสงค์ในนั้นแสดงออกอย่างชัดเจน…….”

ฟังเหล่านี้จบ

หลานเยาเยาค่อนข้างตะลึง

เย่หลีเฉินชั่งโชคร้ายจริงๆ เป็นองค์ชายรัชทายาทก็ต้องอดกลั้นความโมโห ซ่อนเร้นความสามารถ เป็นฮ่องเต้แล้วยังต้องกังวลทั้งภายในภายนอก ทำการลำบาก

เป็นฮ่องเต้มีอะไรดี?

ก่อนว่าการราชสำนักก็ต้องต่อกรกับขุนนางผู้ใหญ่ที่มีความคิดมากมาย หลังว่าการราชสำนักก็ต้องเผชิญหน้ากับการแย่งชิงที่ยุ่งเหยิงของวังหลัง ชั่งเหนื่อยจริงๆ!

แต่ทว่า

ที่เย่แจ๋หยิ่งพูดเรื่องเหล่านี้ มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นที่พวกเขาเห็นที่โรงเตี๊ยมตอนนี้?

หรือว่า……

“มีความเกี่ยวข้องกับทูตของแต่ละประเทศที่มาเมืองหลวง?”

ได้ยินดังนั้น!

เย่แจ๋หยิ่งพยักหน้า

“บางที”

คำนวณวัน ทูตแต่ละประเทศสองวันนี้ก็น่าจะถึงเมืองหลวงแล้ว

ได้ยินถึงตรงนี้ หลานเยาเยามองดูเย่แจ๋หยิ่งลึกๆแวบหนึ่ง ในแววตามีความไม่กระจ่างเล็กน้อย

“ทุกเดือนเย่หลีเฉินจะมาที่จวนอ๋องเย่ แต่ท่านกลับไม่พบเขา คนนอกคิดว่าท่านเสียใจจนสิ้นหวัง ไม่ได้ไถ่ถามเรื่องการบ้านการเมืองอีก ด้วยเหตุนี้เย่หลีเฉินที่ไม่มีรากฐานเป็นเพียงคนโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ดังนั้นกล้าบงการเรื่องในราชสำนัก แต่ดูสถานการณ์วันนี้ ท่านได้แอบช่วยเหลืออยู่ไม่น้อยล่ะสิ!”

สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีขุนนางผู้ใหญ่สนับสนุน แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ ก็กลายเป็นเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดเท่านั้น

แต่เย่หลีเฉินในเวลาหนึ่งปีสั้นๆ ก็กดพรรคพวกของอดีตฮ่องเต้ได้แล้ว เห็นได้ว่านอกจากความสามารถส่วนตัวของเย่หลีเฉินเองแล้ว เย่แจ๋หยิ่งได้แอบช่วยอย่างลับๆอยู่ไม่น้อยเป็นแน่

ไม่เช่นนั้น!

ขุนนางผู้ใหญ่ที่เคยไม่พอใจเย่หลีเฉินเหล่านั้น หากไม่ใช่ว่าสังเกตเห็นอะไรแล้ว จะหยุดการกระทำต่างๆลงได้อย่างไร?

เย่แจ๋หยิ่งมองดูนางอย่างเอ็นดู เอื้อมมือไปลูบศีรษะของนาง

“เสียใจเป็นที่สุดคือความจริง ช่วยเขาก็เป็นความจริง”

ต่อเขา หลานเยาเยาใช้เพียงสี่คำในการประเมินค่าเท่านั้น : หนึ่งใจใช้สองเรื่อง !

“หึงแล้ว?”

“ข้าหึงอะไร?”

นางยังสามารถโทษที่ในขณะเดียวกันกับที่เขาเสียใจสิ้นหวัง ยังคิดถึงเรื่องสำคัญของประเทศอีก? หลานเยาเยาเพ่งมองเขาแวบหนึ่ง ปัดมือที่ลูบศีรษะนางออก “พิลึก”

เย่แจ๋หยิ่งมองดูมือที่ดึงกลับมา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ดวงตาที่ลึกล้ำมีแสงเย็นเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจเงียบๆ ริมฝีปากบางๆขยับ

“ไม่ทำเรื่องอื่น คิดถึงแต่คนผู้หนึ่งอย่างเดียว ข้าจะต้องหาที่ตายแน่”

จากในทะเลทรายกลับเมืองหลวง ฟื้นมาครั้งแรก เขาไร้ความคิดและจิตใจ ทำไมเขาจะไม่เคยคิดจะตายเพื่อนาง แต่กลับไม่มีหนทางที่จะรับการความเจ็บปวดที่สูญเสียนางได้

แต่ว่า……

หลานเยาเยาไม่ใช่คนที่นี่ กลับสามารถพอที่จะยืมร่างกายคืนวิญญาณที่นี่ได้ ยังมียาอายุวัฒนะในตำนานอีก—ยาฉางตาน มีความเกี่ยวข้องที่แยกกันไม่ได้กับนาง

แต่เขากลับเป็นเหมือนดั่งจิตวิญญาณของฮ่องเต้ผู้นั้นที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายไปเป็นที่สุดแต่ทำไมถึงมีเพียงหลานเยาเยากับเขาที่มองเห็น? สุดท้ายในสมองของเขายังปรากฏความทรงจำของฮ่องเต้รุ่นแรกอย่างฉับพลัน…….

ทั้งหมดของทุกอย่างนี้ แม้ว่าจะเหลือเชื่อ แต่ล้วนเกิดขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว

พระคุณเจ้าหยวนซูเขาก็เคยได้ยินมาก่อน

เย่หลีเฉินบอกว่าหลานเยาเยาถูกพระคุณเจ้าหยวนซูพาไป ทั้งที่รู้ว่าที่เขาพูดเป็นคำโกหก แต่ในใจของเขารู้สึกจริงๆว่านางยังจะกลับมา

แม้ว่าจะเป็นความหวังริบหรี่ เขาก็ต้องการรอ

นี่ไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่ารอจนกลับมาแล้วหรือ?

หลานเยาเยารู้ว่าเขาไม่ได้พูดโกหก เพียงแค่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เปลี่ยนเป็นพูดเรื่องจริงจัง

“ต่อจากนี้ทำอย่างไร?”

“ซ่อนตัวในที่ลับ รอเวลาอันสมควรเงียบๆ”

หลานเยาเยาพยักหน้า เมื่อครู่เขาให้คนขับรถม้าไปทางแยกอีกทาง ก็เดาการวางแผนของเขาได้เล็กน้อยแล้ว ตอนนี้ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ได้ยืนยันความคิดที่แท้จริงของตัวเองแล้ว

“ดี!”

รถม้าคันหนึ่งที่หรูหราโอ่อ่า หลังจากที่เคลื่อนที่ได้ระยะทางหนึ่งแล้ว เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ขับเคลื่อนเข้าในป่าลึกโดยตรง ปกคลุมอยู่ภายในร่มเงาตลอดปีของกลุ่มต้นไม้

ผ่านไปไม่นาน ทางข้างๆด้านนอกโรงเตี๊ยม ในที่ลับมีเงาร่างคนเพิ่มขึ้นไม่กี่คน เย่แจ๋หยิ่งและหลานเยาเยาก็อยู่ในนั้น พวกเขาจดจ่อทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวภายในโรงเตี๊ยม

พระอาทิตย์ในฤดูหนาว ถึงตอนใกล้ค่ำ ก็ลับยอดเขา เหลือไว้เพียงก้อนเมฆที่ย้อมเป็นสีแดงผืนหนึ่ง

ลมหนาวโชยมา เหมือนดั่งมีดกรีดใบหน้าและผิวหนังที่เผยออกมา

หลานเยาเยาเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อที่อบอุ่น สายตาจ้องมองโรงเตี๊ยมตลอด ฉับพลันนั้น เสื้อคลุมที่อบอุ่นผืนหนึ่งก็คลุมบนไหล่ของนาง บนไหล่มีความหนักขึ้นเล็กน้อย ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายเฉพาะตัวที่คุ้นเคยของเย่แจ๋หยิ่ง

รู้ว่าเขาอยู่ด้านหลัง หลานเยาเยาก็ไม่ได้มองเขา ยื่นมือไปด้านหลัง คว้าแขนของเขา ลากเขามาข้างกายของตัวเอง ดึงเสื้อคลุมครึ่งหนึ่งที่เพิ่งคลุมให้นาง คลุมบนไหล่ของเขา

จากนั้นมองกลับไปยิ้มบางๆให้เขา แล้วจ้องมองโรงเตี๊ยมต่อ

เย่แจ๋หยิ่งก็อยู่ข้างกายเขาตลอด มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ม่านดำยามราตรีปกคลุมลงมาแล้ว ในโรงเตี๊ยมมีแสงสว่าง

มีคนสัญจรเข้าไปในโรงเตี๊ยมเรื่อยๆ ทุกคนแต่งตัวแบบประชาชนธรรมดา รวมตัวกันกับลูกค้าที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ พวกเขาไล่เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อไปชั้นสอง ส่งคนไปเฝ้า ไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นกำลังหารืออะไรกันอยู่ที่ชั้นหนึ่ง

ต่อจากนั้นก็กลายเป็นคนสามกลุ่มห้ากลุ่มออกมาจากด้านในโรงเตี๊ยม จากนั้นก็ไปทางทิศทางเดียวกัน

รอจนลูกค้าทั้งหมดไปหมดแล้ว เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อถึงได้กล้าลงมาจากชั้นสอง

พวกเขาตระหนกจนเหงื่อไหล เพราะพวกเขามองเห็นลูกค้าเหล่านั้นเผยมีดที่แหลมคมออกมาให้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ และบนมีดที่แหลมคมนั้นยังจะคราบเลือดที่แข็งตัวแล้วเปื้อนอีกด้วย

ฆ่าคนแล้ว!

ฆ่าคนแล้วเป็นแน่!

ทำให้พวกเขาหวาดผวาเก็บกวาดสัมภาระทั้งคืน ขับไล่ลูกค้าที่มาที่ร้าน ปิดโรงเตี๊ยมก็วิ่งหนีไปทางในบ้าน

ใครจะรู้……

พวกเขาเพิ่งจะปิดประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม ก็ถูกคนขวางไว้แล้ว

เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อหวาดผวายกใหญ่ รีบคุกเข่าร้องขอชีวิต ขณะที่พวกเขาเงยหน้าถึงรู้ว่า ที่ขวางทางไปของพวกเขาไว้เป็นผู้ชายหน้าตาสง่างามผู้หนึ่งอย่างคาดไม่ถึง ดูท่าทางยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี

แต่คำพูดที่เอ่ยปาก ก็ทำให้พวกเขาตัวสั่นเทา

“เมื่อครู่คนเหล่านั้นไปไหนแล้ว?”

……

สถานที่ที่อยู่ในระยะห่างไกลจากโรงเตี๊ยมในป่าแห่งนั้น มีป่าไม้ที่รกทึบผืนหนึ่ง ไม่มีหมู่บ้านและร้านค้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังเป็นป่าไม้ วังเวงอย่างมาก

ที่ลึกลับในป่าลึกมีบ่อน้ำลึกที่หนึ่ง เวลานี้สีสันยามราตรีกำลังมืด หลานเยาเยากับเย่แจ๋หยิ่งมาถึงอย่างเงียบๆ ใช้แสงยามค่ำคืนดูรอบๆคร่าวๆ

“เถ้าแก่บอกว่าที่คนเหล่านั้นไปก็คือทางนี้ แต่ที่นี่นอกจากบ่อน้ำลึก เหมือนว่าไม่มีอะไรเลย”

คนที่พูดคือหลานเยาเยา หลานเยาเยาก็คือคนก่อนหน้าที่ขวางทางไปเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อไว้

ที่รู้จากปากของพวกเขา ลูกค้าที่แปลกประหลาดเหล่านี้ ปรากฏตัวในโรงเตี๊ยมสองสามวันแล้ว

คืนนี้ยังน้อยที่สุดด้วย สองวันก่อนยังดี ตอนกลางคืนคนเยอะรวมตัวด้วยกัน ไม่นานก็ออกไป เดิมทีพวกเขาไม่กลัว แต่คืนนี้ไล่พวกเขาสองคนขึ้นไปชั้นสอง เห็นมีดแหลมคมที่เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งของพวกเขา

ดังนั้นในใจหวาดผวา ตัดสินใจหนี

“ไม่รีบร้อน รออีกหน่อย”

เขาส่งคนไปสะกดรอยตามคนเหล่านั้นแล้ว เชื่อว่าไม่ช้าก็จะมีข่าวคราวมา

“ข้ารู้สึกว่าควรหารอบๆอีก บางทีอาจจะพบอะไรโดยบังเอิญ”

“ดี!”

ทั้งสองกำลังดำเนินการพอดี นาทีนั้นที่ลุกขึ้น ก็นั่งยองลงไปพร้อมกันอีก แอบซ่อนอยู่ในที่ลับ..