บทที่ 452 แม่สามีลูกสะใภ้
ฉินกงกงได้ยินคำพูด ในใจก็กระตุกวูบ “ไทเฮาทรงไม่ได้คิดจะ…”
ความว่าสละอำนาจสองพยางค์จ่ออยู่ที่ริมฝีปาก นิ่งอยู่นานก็พูดไม่ออก
จวงไทเฮารู้ว่าเขาจะพูดว่าอะไร อันที่จริงนางเคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังมาแล้ว แต่ก่อนที่นางจะชิงอำนาจราชสำนักมาอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าเพื่อป้องกันตัวเองหรือเพื่อตระกูลจวง หรือเพื่อความสงบสุขของแผ่นดิน หรืออาจเป็นไปได้ว่าเพื่อเงินเล็กๆ น้อยๆ ในพระคลัง
ไทเฮาที่มีอำนาจก็ย่อมน่าเกรงขามกว่าไทเฮาที่ไร้อำนาจอยู่แล้ว
ทว่ายามนี้…
นางแทบไม่ต้องปกป้องตัวเอง และไม่จำเป็นต้องปกป้องตระกูลจวง หรือแม้แต่แผ่นดินหรือเงินทอง…
เอ่อ
เรื่องเงินนี่ก็เสียดายอยู่หรอก
แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ ที่บ้านมีเด็กเยอะ!
ฉินกงกงไม่รู้ว่าไทเฮาของตนนั้นใจลอยคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เขาเอ่ยเสียงตัดพ้อ “เฮ้อ ท่านเองก็เตือนตระกูลจวงมาตั้งนานแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะตระกูลจวงไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม”
สงสัยก็เพียงแต่ว่าแค่จวงกุ้ยเฟยยัดความคิดไม่เหมาะไม่ควรพวกนั้นใส่หัวหนิงอ๋อง แต่เหตุใดหนิงอ๋องถึงทำอะไรนอกลู่นอกทางเช่นนั้นได้ เกรงว่าราชครูจวงเองก็มีส่วน
ยามนี้พวกเขาได้ตัดอนาคตของเด็กคนนี้จนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
“ฮ่องเต้ตัดสินใจว่าจะลงโทษหนิงอ๋องเช่นไร” จวงไทเฮาถาม
ฉินกงกงเอ่ย “ได้ยินว่าจะปลดยศอ๋อง ให้เป็นสามัญชน ขับไล่ออกจากเมืองหลวง เนรเทศไปอยู่ถิ่นทุรกันดาร”
สำหรับลูกชายคนโตสุดที่รักของฮ่องเต้แล้ว บทลงโทษนี้นับว่าหนักหนาสาหัส เดาก็รู้ว่าฮ่องเต้เจ็บปวดปานถูกควักดวงใจที่ต้องตัดสินใจเช่นนั้น
เขาไม่ถามความเห็นจวงไทเฮาเลยสักนิด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคารพไทเฮา แต่เพราะเคารพไทเฮามากเกินไป จึงไม่อยากให้ไทเฮาต้องทรมานใจที่ต้องลงโทษหนิงอ๋อง
เมื่อราชโองการประกาศออกไป สายใยพ่อลูกขาดสะบั้น ไม่มีทางได้พบกันอีกชั่วชีวิต
นี่ไม่ต่างจากคนหัวหงอกส่งคนหัวดำเลย
เพราะอย่างนั้นเขาจะแบกรับทั้งหมดนี้ไว้เอง ความเสียใจที่ตัดขาดจากลูกชาย ความฝันที่มีลูกชายอยู่ในนั้น ให้มันเป็นเพียงความขมขื่นของเขาคนเดียวก็พอ
“หนิงอ๋อง…ไม่แก้ตัวเลยหรือ” จวงไทเฮาถาม
“แก้ตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่เป็นผล” ฉินกงกงทอดถอนใจ
ในความคิดของเขา คำแก้ตัวของหนิงอ๋องกับคำผรุสวาทของจวงกุ้ยเฟยนั้นแทบไม่ต่างกัน หากไม่ยั่วโมโหฮ่องเต้ก็ไม่ยอมเข้าประเด็นเสียที คำแก้ตัวเดียวที่ทำจะให้เขารอดพ้นได้จริงก็คือ…ผลักภาระให้กับไท่จื่อเฟยทั้งหมด
บอกว่านางยั่วยวนหนิงอ๋องก็ได้ หรือไม่ก็เซียวเหิง หรือว่าเวินหยางก็ดี ทั้งหมดล้วนแต่เป็นแผนการของนาง หนิงอ๋องแค่กำลังมัวเมา หากจนตรอกจริงๆ ก็บอกว่าตนเองถูกนางวางยาก็ได้
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร พวกเขาพี่น้องต่างหากที่เป็นสายเลือดที่แท้จริง ไท่จื่อเฟยเป็นเพียงแค่คนนอก ฮ่องเต้ย่อมเข้าข้างหนิงอ๋อง
ทว่าหนิงอ๋องกลับ…
เฮ้อ ช่างเถิด ชายผู้นี้หนอ
ไม่นานข่าวที่ฮ่องเต้จะปลดหนิงอ๋องก็แพร่มาถึงวังบูรพา
สองวันนี้ไท่จื่อเฟยเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง เซียวฮองเฮาไม่ได้มาไต่สวนนาง ทั้งยังไม่ลงโทษนาง ทว่านั้นยิ่งทำให้นางร้อนรนใจยิ่งกว่าเดิม
ประกอบกับได้ยินข่าวว่าหนิงอ๋องจะถูกปลด ในใจของนางก็เต้นระส่ำ
หนิงอ๋องเป็นลูกชายแท้ๆ ของฮ่องเต้ยังถูกลงโทษหนักขนาดนั้น แล้วจุดจบของนางจะเป็นอย่างไรไปได้
แม้นางจะไม่ใช่ตัวการ แต่เพราะข้องเกี่ยวกับนาง ทำให้พี่น้องต้องแตกหัก ฮ่องเต้ต้องโยนความผิดให้นางแน่นอน
นางเปิดประตูออก นางกำนัลที่เฝ้ายามอยู่หน้าห้องก็ขวางเอาไว้
นางเอ่ยเสียงอ้อนวอน “พวกเจ้าให้ข้าไปเยี่ยมไท่จื่อเถิด”
หนึ่งในนางกำนัลเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ฮองเฮาสั่งห้ามไท่จื่อเฟยออกไปไหนเพคะ”
…
สองวันที่ผ่านมากู้เจียวไม่ได้เข้าวัง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องโกลาหลอะไรขึ้นในวัง บ่อนพนันแห่งหนึ่งในเมืองหลวงเกินเหตุทะเลาะวิวาท มีคนบาดเจ็บหลายสิบ ส่วนคนที่เจ็บสาหัสแปดคนถูกส่งตัวมาที่เมี่ยวโส่วถัง
กู้เจียวกับหมอซ่งและคนอื่นๆ ยุ่งจนขาเป็นระวิง ตกค่ำแล้วถึงเย็บแผลทุกคนเสร็จ
นางจำได้ว่ายาขององค์หญิงซิ่นหยางใกล้หมดแล้ว นางต้องแวะไปที่ถนนจูเชวี่ยสักหน่อย
เสี่ยวจิ้งคงเล่นอยู่ที่กลางลาน ได้ยินว่านางจะไปที่ใด เขาก็เดินมือไพล่หลังตามติด เอ่ยถามเสียงน่าเอ็นดู “เจียวเจียว ข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากไปหาหลงอี”
เขารู้จักเพื่อนใหม่คนหนึ่งชื่อว่าหลงอี
กู้เจียวไม่คัดค้าน
มีเสี่ยวจิ้งคงคอยก่อกวนหลงอี หลงอีก็จะไม่ชวนนางหักดินสออีกต่อไป พอดีเลยเชียว
กู้เจียวพาจิ้งคงไปยังถนนจูเชวี่ย โดยนั่งรถม้าของเสี่ยวซานจื่อเหมือนเช่นเคย
“หลงอี!”
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงรถม้า วิ่งไปหาหลงอีที่ลานบ้านอย่างไม่รีรอ
กู้เจียวไปตรวจอาการองค์หญิงซิ่นหยาง วันนี้อากาศดีไม่น้อย องค์หญิงซิ่นหยางนั่งอยู่ริมหน้าต่าง สามารถชมวิวทิวทัศน์ในสวนได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่ามองเห็นเด็กหัวกลมด้วยเช่นกัน
เด็กน้อยหัวกลมเห็นนางก็หยุดลงก่อนจะทักทายนางอย่างนอบน้อม “องค์หญิงซิ่นหยาง”
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้าให้น้อยๆ
เจ้าเด็กหัวกลมยังคงยืนนิ่ง ราวกับรออะไรบางอย่าง
องค์หญิงซิ่นหยางมองนางด้วยความสงสัย
เจ้าเด็กน้อยไพล่มือไว้ด้านหลัง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องมององค์หญิงซิ่นหยางด้วยสีหน้าจริงจังพลางเอ่ย “ท่านยังไม่ได้ทักทายข้าเลย”
องค์หญิงซิ่นหยางชะงักไป “จิ้งคง“
เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะไปมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะวิ่งตึงตังไปหาหลงอี
หลงอีไม่ปล่อยให้เสี่ยวจิ้งคงต้องตามหานาน ทะยานตัวลงมาจากกำแพง
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่พากันไปรังแกดอกไม้ขององค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
คราวก่อนทั้งสองก็ก่อเรื่องมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้จึงชำนิชำนาญมากขึ้น เพียงแต่กู้เจียวนั้นไม่รู้ว่าทั้งสองเล่นซนเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง นึกว่าเพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกเสียอีก
การกระทำเช่นนี้ ต้องห้ามปรามตั้งแต่ครั้งแรก
กู้เจียวเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคงจากหน้าต่าง “จิ้งคง ห้ามทำแปลงดอกไม้คนอื่นเสียหายนะ“
เสี่ยวจิ้งคงแสนว่าง่ายยามอยู่ต่อหน้ากู้เจียว กู้เจียวว่าอย่างไรก็เชื่อฟังทั้งนั้น ไม่ทำให้กู้เจียวต้องลำบากใจ
เสี่ยวจิ้งคงตอบในทันใด “ได้เลย เจียวเจียว!”
เด็กซนบ้านอื่นถูกจัดการแล้ว องค์หญิงซิ่นหยางเองก็รู้สึกว่าเด็กดื้อบ้านตัวเองก็ต้องกำราบเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงขายหน้าแย่
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยกับหลงอี “เจ้าก็ห้ามเด็ดดอกไม้อีกเช่นกัน”
หลงอีไม่เด็ดดอกไม้ตามที่ว่าจริงๆ
เพราะเขาถอนขึ้นมาทั้งรากเลยน่ะสิ!
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
ในเมื่อเอาหลงอีไม่อยู่ องค์หญิงซิ่นหยางเองก็ยอมแพ้ อยากทำอะไรก็ทำไปเถิด
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่พากันไปเล่นซนในลานบ้าน
กู้เจียวจับชีพจรให้องค์หญิงซิ่นหยางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็หยิบหูฟังออกมาแนบใต้สาบเสื้อขององค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางมองมือของกู้เจียวที่ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของนาง ก่อนจะมองหูฟังที่คล้องบนหู สีหน้าประหลาดใจ “เจ้าไปเอาของประหลาดพวกนี้มาจากไหนกัน ข้าไม่เคยพบเจอหมอเช่นเจ้ามาก่อน เจ้าคงไม่ได้คิดฉวยโอกาสข้ากระมัง”
กู้เจียวถอดหูฟังแล้วใช้มือคลำแทนที่ “นี่ต่างหากที่เรียกว่าฉวยโอกาส”
องค์หญิงซิ่นหยางก้มหน้ามองมือที่ขยำหน้าอกของนางอยู่ “…”
เจ้ากลัวว่าชีวิตนี้ยังลำบากไม่พอหรือ อยากไปอยู่จวนใต้ดินหรืออย่างไร
กู้เจียวคว้าหูฟังขึ้นมาใหม่ ก่อนจะฟังเสียงหัวใจของนางด้วยใบหน้าเรียบเฉย
สัมผัสนุ่มมือไม่น้อย
โชคดีที่องค์หญิงซิ่นหยางบ่มเพาะภูมิคุ้มกันมาจากหลงอีแล้ว ไม่อย่างนั้นกู้เจียวมีหวังคงมือขาด
เสี่ยวจิ้วคงเล่นอย่างสนุกสุดเหวี่ยงที่ลานบ้าน
“หลงอี หลงอี! จับข้าให้ได้สิ!”
เขาหลบอยู่หลังต้นไม้ ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หลงอี
พริบตาเดียวหลงอีก็ปรากฏตัวด้านหลังเขา
“ไอ้หยา!”
เสี่ยวจิ้งคงสะดุ้งตกใจ ยกไม้ยกมือวิ่งหนีไป!
“เขาเหมือนอาเหิงนัก” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยพลางมองเสี่ยวจิ้งคงที่กระโดดโลดเต้นวิ่งไปมา
“ตอนเป็นเด็กน่ะ” นางเอ่ยเสริม “เว้นเสียแต่หน้าตาที่ไม่เหมือน แต่สีหน้าและท่าทางนั้นเหมือนกันมาก”
กู้เจียว ‘อย่างนี้นี่เอง วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น’
องค์หญิงซิ่นหยางทอดสายตามองทั้งสองที่เล่นซนกันอยู่กลางลานบ้าน “หลงอีเห็นเขาเป็นอาเหิงตอนสี่ขวบไปแล้ว”
เอ๊ะ
เรื่องนั้นกู้เจียวไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย เพราะในความเป็นจริงเซียวเหิงนั้นเติบโตแล้ว ไม่มีทางกลับไปเป็นเด็กได้อีก
เพียงแต่ความคิดความอ่านขององครักษ์หลงอิ่งนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป หลงอียอมรับการมีอยู่ของเซียวเหิงน้อยไปพร้อมๆ กับการมีอยู่ของเซียวเหิงในวัยหนุ่ม การมีอยู่ของทั้งสองไม่ได้รบกวนกันและกัน
แต่ไม่รู้ว่าหากทั้งสองปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันจะเป็นเช่นไร
พูดยังไม่ทันขาดคำ…
เสียงของเสี่ยวซานจื่อที่อยู่หน้าประตูก็ดังขึ้น “เอ๊ะ ท่านพี่เซียว! ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร! ท่านมารับแม่นางกู้หรือ แม่นางกู้อยู่ข้างในน่ะ!”
เซียวลิ่วหลังไม่รู้ว่ากู้เจียวอยู่ที่นี่ เขาแค่ผ่านทางมา
แต่เสี่ยวซานจื่อลากตัวเขาเข้ามาแล้ว
หลงอีที่กำลังวิ่งไล่จับเสี่ยวจิ้งคงได้ยินความเคลื่อนไหวที่หน้าประตู เขาเหลียวไปมอง ก่อนจะเห็นเซียวลิ่วหลังที่หน้าประตู จากนั้นก็เหลียวกลับมามองเสี่ยวจิ้งคงตรงหน้า หัวสมองก็พลันชะงักไปอีกครั้ง!
…
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเซียวลิ่วหลังไม่สามารถปรากฏตัวพร้อมกันกับเสี่ยวจิ้งคง
ไม่อย่างนั้นหลงอีจะสับสน
สายตาของเซียวลิ่วหลังทอดมองไปยังริมหน้าต่าง สบตากับองค์หญิงซิ่นหยางไกลๆ ดวงตาของทั้งสองฉายแววซับซ้อน
เซียวลิ่วหลังเหลือบไปมองกู้เจียวที่อยู่ข้างกัน จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไปที่รถม้า
องค์หญิงซิ่นหยางหลุบตาลง ยกถ้วยชาที่เย็นชืดบนโต๊ะขึ้นมา เอ่ยถามราวกับไม่ใส่ใจ “แผลที่มือของเขาหายหรือยัง”
กู้เจียวเก็บหูฟังก่อนจะยักคิ้วหลิ่วตา “เหตุใดไม่ถามเองเล่าเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่บอกก็ช่างเถิด”
กู้เจียวถอนหายใจอย่างเอือมระอา “ก็ได้ บอกก็ได้ ข้าบอกก็ได้ ยังไม่หายดีหรอกเพคะ”
เรียวนิ้วที่กำถ้วยชาบีบแน่น
กู้เจียวยกมือทำท่าก่อนจะทอดถอนใจ “มีรอยแผลเป็นนิดหน่อย ต้องทายารักษาแผลทุกวัน อีกสามเดือนผิวหนังถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
องค์หญิงซิ่นหยางหน้านิ่งพลางเหลือบตามองนาง “เจ้าพูดให้จบทีเดียวได้หรือไม่”
กู้เจียวยักไหล่ “เพราะอย่างนั้นถึงให้ท่านไปถามเองอย่างไรเล่าเพคะ เขาคงพูดจบในคราวเดียว”
องค์หญิงซิ่งหยาง ‘เด็กคนนี้นี่!’
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งเล่นในลานบ้านอยู่พักใหญ่ ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาพร้อมเหงื่อท่วมตัว แล้วเอ่ยกับกู้เจียว “เจียวเจียว ข้าก็อยากใส่หน้ากากเหมือนกัน”
กู้เจียวหยิบหน้ากากจากตะกร้าใบน้อยออกมายื่นให้เขา
องค์หญิงซิ่นหยางมองขนนกยูงแปลกประหลาดบนหน้ากาก หนังตาก็กระตุกยิกขึ้นมา
รสนิยมของเด็กหญิงผู้นี้ช่าง…!
“ขอบคุณเจียวเจียว!” เสี่ยวจิ้งคงสวมหน้าหาก ก่อนจะวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น “หลงอี หลงอี ข้าก็มีหน้ากากแล้วเหมือนกัน!”
ภาพเบื้องหน้าในตอนนี้ทำให้นางนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา นางเท้าคางทอดสายตามองหลงอีกลางลานบ้าน พลางถามองค์หญิงซิ่นหยาง “องค์หญิง เหตุใดบนหน้าของหลงอีถึงไม่มีรอยสักเล่าเพคะ”