บทที่ 453 ที่มาที่ไปของหลงอี (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 453 ที่มาที่ไปของหลงอี (1)

“เจ้าถอดหน้ากากเขาออกแล้วรึ” องค์หญิงซิ่นหยางถาม

หน้ากากขององครักษ์หลงอิ่งไม่ได้จะถูกใครถอดออกง่ายๆ เซียวเหิงเคยถอดหรือไม่นั้นนางไม่ทราบ แต่คนอื่นที่คิดจะปลดหน้ากากหลงอีออกน่ะ ยามนี้หญ้าบนหลุมศพสูงกว่าสองเมตรแล้ว

“เคยถอดไปรอบหนึ่งเพคะ” กู้เจียวทูลตามตรง

องค์หญิงซิ่นหยางถอนใจแผ่วเบา ไม่ได้ถามต่อว่านางถอดออกเพราะอะไร ไหนๆ ก็เคยถอดแล้ว ถามต่อไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี

“การถอดหน้ากากหลงอีออกเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ต่อไปนี้ทางที่ดีเจ้าอย่าทำตามอำเภอใจเช่นนี้อีก” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเตือนอย่างใจดี

กู้เจียวพยักหน้า “เพคะ”

องค์หญิงซิ่นหยางอดมองกู้เจียวใหม่ไม่ได้ เด็กคนนี้บางคราก็ตอกหน้าคนอื่นจนหน้าหงาย บางคราก็เชื่อฟังจนน่าเอ็นดู

นางจิบชาคำหนึ่งก่อนจะเอ่ย “รอยสักของหลงอีไม่ได้อยู่บนใบหน้า แต่อยู่ที่หลัง เป็นมังกรฟ้า”

“อ๋อ” กู้เจียวเบิกตาโต

อยู่บนแผ่นหลังอย่างนั้นรึ เช่นนั้นก็ช่างเถิด แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นรูปมังกรฟ้า

เพราะแบบนี้ถึงเรียกว่าหลงอีอย่างนั้นหรือ

“ในมือองค์หญิงยังมีองครักษ์หลงอิ่งคนอื่นอีกหรือไม่ พวกเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหรือ” กู้เจียวถาม

“ไม่มีแล้ว มีแค่หลงอีคนเดียวที่เป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ ล้วนสักเต่าดำเสวียนอู่บนหน้ากันหมด” องค์หญิงซิ่นหยางบอก

เหมือนกับองครักษ์หลงอิ่งของฮ่องเต้นี่นา

แต่เหตุใดจึงมีแค่หลงอีที่พิเศษเช่นนี้เล่า

กู้เจียวเอ่ยต่อ “คนอื่นๆ สู้เก่งเหมือนหลงอีหรือไม่”

องค์หญิงซิ่นหยางส่ายหน้าอีกหน “ไม่เช่นกัน วรยุทธ์ของหลงอีนั้นสูงที่สุด”

เช่นนี้ก็น่าแปลกขึ้นมาแล้ว เหตุใดวรยุทธ์ของหลงอีจึงสูงที่สุดเล่า หรือควรถามอีกอย่างหนึ่งว่า เหตุใดฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงประทานองครักษ์หลงอีที่มีวรยุทธ์สูงที่สุดให้กับองค์หญิงซิ่นหยางเล่า

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงอยากให้องค์หญิงซิ่นหยางก่อกบฏรึ

ราวกับองค์หญิงซิ่นหยางเดาความสงสัยของกู้เจียวออก นางแย้มยิ้มบางพลางเอ่ย “ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานองครักษ์หลงอิ่งให้แก่ข้าก็เพื่อป้องกันเซวียนผิงโหว”

กู้เจียว ‘…พระทัยฮ่องเต้ช่างยากแท้หยั่งถึงจริงๆ’

กู้เจียวชะงักไปก่อนจะถามต่อ “หากเซวียนผิงโหวก่อกบฏขึ้นมา ท่านจะสังหารเขาหรือไม่”

องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้บ่ายเบี่ยง บางทีอาจเพราะเก็บงำไว้นานหลายปีจนเหนื่อยแล้ว หรืออาจเพราะรู้สึกว่ากู้เจียวไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปบอกใคร นางจึงเอ่ยออกไป “ข้าจำเป็นต้องทำ”

หรือนี่จึงเป็นสาเหตุที่สามีภรรยาไม่ลงรอยกันเพราะระหว่างทั้งคู่นั้นแม้แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจพื้นฐานยังไม่มีเลย

กู้เจียวครุ่นคิดก่อนเอ่ยถาม “เซวียนผิงโหวทราบหรือไม่”

องค์หญิงซิ่นหยางหลุบตาลงมองใบชาในถ้วย “ข้าไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่”

กู้เจียวเดาว่าจากสติปัญญาเซวียนผิงโหวน่าจะพอเดาได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เขาจะคิดอย่างไรกับเรื่องที่ตัวเองแต่งงานกับองค์หญิงที่สามารถปลิดชีพเขาได้ตลอดเวลาเช่นนี้

ข่าวลือลือกันว่าพวกเขาสามีภรรยาหมางเมินกัน แต่ดูเหมือนว่าเซวียนผิงโหวจะคอยปกป้ององค์หญิงซิ่นหยางมากทีเดียว

องค์หญิงซิ่นหยางตัดสินใจเสี้ยงดูเซียวเหิงเหมือนดั่งเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง เซวียนผิงโหวก็ยอมรับว่าเซียวเหิงเป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียวในชีวิตเช่นกัน

กู้เจียว ‘เห้อ ไม่เข้าใจผู้ชายสมัยโบราณเลย’

ถ้าเพื่อป้องกันเซวียนผิงโหว เช่นนั้นก็สามารถอธิบายการกระทำของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้แล้ว ไม่สิ กู้เจียวยังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ อยู่

กู้เจียวเคยเห็นฝีมือขององครักษ์หลงอิ่งมาเองกับตาแล้ว แค่องครักษ์ที่ฝีมือได้เรื่องไม่กี่คนก็เพียงพอแล้ว ไม่เห็นต้องส่งหลงอีที่เป็นยอดฝีมือก็ได้นี่

กู้เจียวเอ่ยถาม “องค์หญิง ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานองครักษ์หลงอิ่งให้กี่คนหรือ”

องค์หญิงซิ่นหยางตอบ “ห้าคน ทำไมรึ”

“เอ่อ…ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้ฝ่าบาทแค่สี่คนเอง” กู้เจียวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ การป้องกันเซวียนผิงโหวแน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ความปลอดภัยจักรพรรดิแห่งแคว้นก็สำคัญเช่นกัน ประทานให้ฝ่าบาทห้าคนยังสมเหตุสมผลเสียกว่า หรือคนละครึ่งก็ยังจะพอเป็นไปได้ แต่ให้องค์หญิงซิ่นหยางมากกว่าฮ่องเต้นี่มันแปลกเกินไปหรือเปล่า

“องค์หญิง องครักษ์หลงอิ่งคนอื่นๆ ของท่านก็เหมือนกันกับหลงอีหรือ” กู้เจียวชี้ไปที่หัวของตัวเอง

องค์หญิงซิ่นหยางเข้าใจในความหมายของกู้เจียว ดูเหมือนว่าตรงนี้ของหลงอีจะไม่เคยถูกฝึกฝนโดยสมบูรณ์

นางส่ายหน้าเป็นหนที่สาม “ไม่ องครักษ์พวกนั้นแตกต่าง”

กู้เจียวมองนางนิ่ง ในหัวมีการคาดเดาอันแปลกประหลาดผุดขึ้นมา “องค์หญิง หลงอีเป็นองครักษ์ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้จริงๆ หรือ เขาคงไม่ได้แฝงตัวมั่วซั่วเข้ามาหรอกกระมัง”

เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นหน่วยกล้าตายที่หลงทางคนหนึ่งที่เห็นเพื่อนร่วมทัพของตัวเองเข้า จึงเดินตามพวกเขาเข้ามาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว

แล้วพวกองครักษ์หลงอิ่งเหล่านั้นสู้เขาไม่ได้ ซ้ำยังสลัดเขาไม่หลุด จึงจำต้องปล่อยให้เขาตามมา

องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็กระจ่างทันใด “ข้าก็ว่าอยู่ ก่อนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะสวรรคตทรงบอกไว้แท้ๆ ว่ามอบให้ข้าสี่คน เหตุใดตอนมาถึงมือข้าจึงเพิ่มขึ้นมาอีกคนเสียได้ ข้าก็นึกว่าพระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย ส่งเพิ่มมาให้ข้าอีกคนเสียอีก”

กู้เจียว “…”

เช่นนั้นก็แปลว่าหลงอีมั่วซั่วเข้ามาน่ะสิ!!!

เรื่องของหนิงอ๋องเกี่ยวโยงไปถึงสองคนในตำหนักบูรพาไม่พอ ยังเกี่ยวโยงไปถึงสาเหตุการตายของเซียวเหิงตอนนั้นด้วย สุดท้ายฮ่องเต้ตัดสินพระทัยเรียกองค์หญิงซิ่นหยางเข้าวัง และสารภาพเป็นการส่วนตัวกับนางในเรื่องนี้

กู้เจียวก็ตั้งใจว่าจะเข้าวังไปเยี่ยมท่านย่าอยู่พอดี จึงขึ้นรถม้าหรูหราคันใหญ่ขององค์หญิงซิ่นหยางเข้าไปในวังด้วย

เดิมทีฮ่องเต้ค่อนข้างอึดอัดกับองค์หญิงซิ่นหยางอยู่แล้ว มายามนี้ยิ่งเหมือนนั่งบนพรมเข็ม

“ฝ่าบาท” องค์หญิงซิ่นหยางเดินเข้าห้องทรงอักษรในตำหนักฮว๋าชิง ก่อนถวายคำนับให้

ฮ่องเต้อ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่ได้รีบร้อนตรัสอะไร

พระองค์กลัวว่าตัวเองไม่ทันระวังจะเผลอเรียกว่าเสด็จพี่เข้า ทั้งๆ ที่เสด็จน้องของพระองค์มาหาแท้ๆ

“เจ้า…นั่งก่อนสิ” ฮ่องเต้บอกให้องค์หญิงซิ่นหยางนั่งลง

องค์หญิงซิ่นหยางนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามฮ่องเต้ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน “มืดค่ำเพียงนี้ฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันเข้าวังมีอะไรจะรับสั่งหรือเพคะ”

ฮ่องเต้พลันกังวลพระทัยขึ้นมา ก่อนตรัสด้วยสีหน้าจริงจัง “เรา…มีอะไรจะบอกเจ้า เกี่ยวกับเซียวเหิง”

อีกด้านหนึ่ง กู้เจียวสะพายตะกร้าใบน้อยเข้าไปในตำหนักเหรินโซ่ว

เสี่ยวจิ้งคงไปทักทายท่านย่าที่ตำหนักเหรินโซ่วและไปหาเพื่อนใหม่อย่างหลงอีต่อ

เขาตั้งใจว่าจะพาหลงอีไปแนะนำให้เพื่อนเก่าของเขาอย่างฉินฉู่อวี้ได้รู้จัก

ฉินฉู่อวี้หมู่นี้ย้ายกลับมาพักที่ตำหนักคุนหนิงแล้ว เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ ยังนึกว่าเขาอยู่ที่ตำหนักบูรพาเหมือนเช่นเคย

เสี่ยวจิ้งคงจึงพาหลงอีไปหาฉินฉู่อวี้ที่ตำหนักบูรพา

ณ ตำหนักบูรพา

ไท่จื่อเฟยขอร้องนางกำนัลนอกประตูให้ปล่อยตนออกไปนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าพวกนางไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

ไท่จื่อเฟยเอ่ย “งั้นเอาอย่างนี้สิ พวกเจ้าไปทูลไท่จื่อว่าข้าอยากพบเขา!”

นางกำนัลเอ่ย “ไท่จื่อไม่พบผู้ใดเพคะ”

ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงเย็น “ไท่จื่อไม่อยากพบเองหรือฮ่องเต้ไม่ให้พบกันแน่”

“ไม่ว่าจะผู้ใด ยามนี้ไท่จื่อเฟยก็พบไม่ได้ทั้งนั้น!” น้ำเสียงของนางกำนัลไม่ค่อยเกรงใจสักเท่าใด

ไท่จื่อเฟยที่เป็นที่รักของใครต่อใครยากจะรับได้กับการปฏิบัติเช่นนี้ นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ไม่อาจต่อกรกับเซียวฮองเฮาได้

นางรู้สถานะของตัวเองในยามนี้ดี มีเพียงเซียวฮองเฮาและไท่จื่อเท่านั้นที่จะช่วยนางได้

นางเปลี่ยนสีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึม มองนางกำนัลอย่างอ้อนวอนพลางเอ่ย “พวกเจ้าคิดเสียว่าช่วยข้าเถิดนะ ให้ข้าได้พบไท่จื่อสักคราได้หรือไม่ ยามนี้พวกเจ้าช่วยข้ายามทุกข์ร้อน เขาต้องตอบแทนพวกเจ้าเป็นเท่าตัวแน่!”